Blue O'Clock

สตูดิโอผลิตและพัฒนาสื่อการเรียนรู้ด้านการลงทุน ธุรกิจ จิตวิทยาและการพัฒนาตนเอง อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

THE CEO STORY

ประวัติ Larry Page และ Sergey Brin ผู้ก่อตั้ง Google คู่หูอัจฉริยะพลิกโลกออนไลน์

หากกล่าวถึง Serch Engine อันดับหนึ่งของโลก คนอาจจะยังไม่คุ้นเคยกันมากนัก แต่หากบอกว่า Google แล้วล่ะก็ เป็นต้องร้องอ๋อกันแทบทุกราย เพราะไม่ว่าจะมีปัญหาอะไร หรืออยากค้นหาเกี่ยวกับอะไร ก็ให้ไปถาม Google เอา เพราะสามารถตอบคำถามได้แทบทั้งสิ้น

โดยผู้ที่ให้กำเนิด Google ผู้ให้บริการการค้นหา (Serch Engine) อันดับหนึ่งของโลก นั่นก็คือ Larry Page และ Sergey Brin คู่หูดูโอ้ ที่ร่วมกันก่อตั้งบริษัท Google Inc. ที่ ณ ปัจจุบันนี้ ทำให้พวกเขา กลายเป็นมหาเศรษฐีอันดับต้น ๆ ของโลก โดยขึ้นเป็น Billionaire หรือเศรษฐีพันล้านได้เมื่อปี 2004 เมื่อตอนที่ทั้งคู่อายุได้เพียง 30 ปีเท่านั้น

Sergey Mikhaylovich Brin หรือ Sergey Brin เกิดเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม ปี 1973 ณ มอสโก ประเทศรัสเซีย โดยคุณพ่อของเขาชื่อว่า Michael Brin ที่เป็นนักคณิตศาสตร์ และคุณแม่ของเขา Eugenia Brin เป็นอดีตนักวิทยาศาสตร์ที่ศูนย์การบินอวกาศ Goddard ของ NASA ซึ่งต่อมาได้เป็นผู้อำนวยการที่ HIAS ซึ่งเป็นองค์กรที่มุ่งช่วยเหลือต่อผู้อพยพชาวยิวรัสเซียและชาวยิวอเมริกัน

ก่อนที่ครอบครัวของเขาจะลี้ภัยจากเหตุการณ์ล่าชาวยิวในปี 1979 โดยย้ายมาอยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งหากดูจากพื้นฐานครอบครัวของเขาแล้วก็ถือว่าได้ DNA ความเฉลียวฉลาดของพ่อกับแม่มาเต็ม ๆ แถม Sergey ในวัย 9 ขวบ ยังได้รับของขวัญเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์อีกด้วย และนั่นก็ทำให้เขาสนใจเรื่องที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์นับตั้งแต่นั้นมา

จนกระทั่งเขาได้เข้าเรียนระดับมหาวิทยาลัยที่ วิทยาลัยปาร์กแห่งมหาวิทยาลัยแมรีแลนด์ จนได้รับปริญญาวิทยาศาสตร์บัณฑิตเกียรตินิยม ส่งผลให้เขาได้รับทุนไปเรียนต่อระดับปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยสแตมฟอร์ด ซึ่งเป็นสถานที่ที่ทำให้เขามาพบกับคู่หูของเขา Larry Page

Lawrence Edward Page หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ Larry Page เกิดเมื่อวันที่ 26 มีนาคม ปี 1973 ณ เมือง East Lansing, Michigan ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นชาวอเมริกันเชื้อสายยิว เป็นบุตรของ Carl Victor Page ซึ่งเป็นศาสตราจารย์สาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ และคุณแม่ของเขา Gloria Page เป็นอาจารย์สอนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ซึ่งทั้งคู่สอนอยู่ที่มหาวิทยาลัย Michigan State University

Larry นั้นได้เจริญตามรอยของคุณพ่อของเขา โดยได้เลือกเข้าเรียนในสาขาวิศกรรมคอมพิวเตอร์ที่มหาวิทยาลัยเดียวกันกับคุณพ่อ จนได้รับปริญญาเกียรตินิยม (นี่มันตระกูลที่เกิดมาเพื่อคอมพิวเตอร์ระดับ DNA เลยนี่นา)

และเขาก็ได้เรียนต่อระดับปริญญาโทที่ Stanford University ซึ่ง Larry Page ได้พบกับ Sergey Brin ในฐานะผู้นำเยี่ยมมชมมหาวิทยาลัย จนกระทั่งทั่งคู่เริ่มสนิทสนมกันและได้เข้าพิธีสมรสกันในที่สุด ถะ ถะ ถุ้ยยยย! และทั้งคู่ก็ได้ให้กำเนิด Google ขึ้นมาในที่สุดนั่นเอง

ที่มาก่อนที่จะถือกำเนิด Google นั้น เริ่มต้นมาจากการที่ Larry Page กำลังทำวิทยานิพนธ์ปริญญาเอก โดย Larry นั้น สนใจที่จะทำเกี่ยวกับเรื่อง World Wide Web เพื่อศึกษาเกี่ยวกับจำนวนของเว็บไซต์ที่มีอยู่บนโลกออนไลน์และกำลังเพิ่มขึ้นด้วยตัวเลขที่มหาศาล ซึ่งแต่ละเว็บไซต์นั้น ก็มีการสร้างลิงค์เชื่อมโยงกันไปมา และเมื่อลองนำแผนผังการเชื่อมโยงของแต่ละเว็บไซต์ลงบนกราฟแล้ว Larry ก็พบว่า มันคือเครือข่ายการเชื่อมโยงที่ใหญ่ที่สุดตั้งแต่ที่มนุษย์เคยสร้างมา แต่ด้วยความซับซ้อนของระบบการเชื่อมโยงซึ่งต้องอาศัยนักคณิตศาสตร์ที่มีฝีมือพอตัว และในช่วงนี้นี่เองที่ Sergey Brin ถูกดึงตัวมาร่วมโปรเจคในครั้งนี้ที่มีชื่อว่า “BackRub Project”

แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ให้กำเนิด Serch Engine หรือผู้ให้บริการการค้นหาเป็นคนแรก แต่เจ้าที่มีอยู่ในปัจจุบันนั้นก็ยังทำได้ไม่ดีพอ ยกตัวอย่างจาก Yahoo! ที่สมัยนั้นยังคงใช้มนุษย์ในการเลือกเว็บไซต์เข้ามา ซึ่งหากดูปริมาณการเพิ่มขึ้นของเว็บไซต์เป็นจำนวนมากแบบทวีคูณแล้วล่ะก็ มนุษย์คงรองรับปริมาณงานขนาดนั้นไม่ไหวแน่ ๆ

จนกระทั่ง Larry Page ได้พัฒนาระบบการจัดอันดับเว็บไซต์โดยเขียนโปรแกรมเพื่อสร้างหุ่นยนต์ที่ชื่อ Spider หรือเรียกสั้น ๆ ว่า bot ที่จะคอยไต่ไปตามลิงค์ต่าง ๆ บนเว็บไซต์แต่ละเว็บ เพื่อเก็บข้อมูลว่าแต่ละเว็บไซต์มีลิงค์เชื่อมโยงเข้าหากันอย่างไรบ้าง และเมื่อ bot เก็บข้อมูลมาได้แล้ว Larry Page ได้ตั้งชื่อให้ระบบนี้ว่า PageRank ที่เป็นการจัดอันดับเว็บไซต์ด้วยการวัดปริมาณ Traffic หรือจำนวนคนที่เข้าเว็บไซต์นั้นที่มีปริมาณมากกว่า มักจะได้อันดับที่ดีกว่า เมื่อมีคนค้นหา แต่ในปัจจุบัน Google ใช้การจัดอันดับที่เรียกว่า SEO หรือ Serch Engine Optimization ที่มีตัวแปรมากกว่า 200 ตัวแปร เพื่อมาประมวลผลในการจัดอันดับการค้นหา

และหลังจากนั้นไม่นานโปรเจค BackRub ก็ได้เปลี่ยนชื่อเป็น Google ที่มาจากคำว่า Googolplex ซึ่งหมายถึง เลข 1 แล้วตามด้วยเลข 0 หนึ่งร้อยตัว เพื่อแสดงให้ว่า มันมีข้อมูลมหาศาลมากมายแค่ไหนบนโลกออนไลน์ โดยพวกเขาได้จดทะเบียนเว็บไซต์โดยใช้ชื่อ Google.com แต่ก็พบว่ามันสะกดผิด จึงกลายเป็นคำศัพท์ใหม่ขึ้นมาซะอย่างงั้น เลยตามเลยก็แล้วกัน

และเมื่อได้ระบบการจัดอันดับการค้นหาหรือที่เรียกว่า Algorithm ได้ดีระดับหนึ่งแล้ว ทั้ง Larry Page และ Sergey Brin ก็ได้ตระเวนเสนอขายระบบการจัดอันดับการค้นหา และเกือบที่จะขายระบบไปด้วยกันหลายครั้ง แม้กระทั่ง Yahoo! ที่เป็นเจ้าของ AltaVista ก็ปฏิเสธที่จะซื้อระบบของ Google ที่ตอนนั้น Larry Page และ Sergey Brin เสนอขายในราคา 1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ แต่โชคดีที่ผู้ซื้อหลาย ๆ เจ้าไม่สนใจและยกเลิกการซื้อขายไป ไม่เช่นนั้นแล้ว เราคงไม่เห็น Google ที่เป็นเหมือนอย่างทุกวันนี้

และเมื่อการตระเวนเร่ขายระบบการค้นหาไม่ได้ผล แถมเงินทุนก็เริ่มร่อยหรอจนเกือบจะหมดอยู่แล้ว แต่ทั้งคู่ก็ยังไม่หมดหวัง และแทนที่จะเปลี่ยนจากการขายระบบ ทั้ง Larry Page และ Sergey Brin จึงเบนเข็มไปที่การค้นหาแหล่งเงินทุนใหม่ ๆ เพื่อมาสานต่อโปรเจคให้มันดียิ่งขึ้น และพวกเขาก็มีโอกาสได้พบกับ Andy Bechtolsheim และ David Cheriton ซึ่งเป็น Angle Investor หรือนักลงทุนที่มักจะสนับสนุนและให้โอกาสบริษัทที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีใหม่ ๆ จึงตัดสินใจลงทุนใน Google ด้วยเงินจำนวน 100,000 ดอลล่าร์ฯ (หรือราว ๆ 3 ล้านบาท) ซึ่ง ณ ตอนนั้นยังไม่ได้จดทะเบียนบริษัทด้วยซ้ำไป แต่เขาก็เชื่อและให้โอกาสกับเด็กหนุ่มไฟแรงที่มีวิสัยทัศน์

ทั้ง Larry และ Sergey จึงตัดสินใจที่จะลาออกจากมหา’ลัย เพื่อออกไปลุยเต็มตัว (แถมยังลากเพื่อนที่ชื่อ Craig Silverstein ซึ่งเป็นโปรแกรมเมอร์ที่เรียนปริญญาเอกด้วยกันมาเป็นพนักงานคนที่ 3 ของ Google อีกคนด้วย และในปัจจุบันนี้เขาก็มีรายได้กว่า 950 ล้านเหรียญสหรัฐฯ อีกนิดเดียวก็จะกลายเป็นเศรษฐีพันล้านแล้ว และจากสุภาษิตที่ว่า คบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผลมันเป็นอย่างนี้นี่เอง) และถือกำเนิดบริษัท Google Inc. เมื่อวันที่ 7 กันยายน ปี 1998 โดยมี Larry Page และ Sergay Brin เป็นผู้ร่วมกันก่อตั้งขึ้น

ด้วยความที่ระบบการค้นหาของ Google นั้น สามารถตอบโจทย์และทำงานได้ค่อนข้างดีกว่า Serch Engine ที่มีอยู่ในปัจจุบัน ถึงขนาดที่นิตยสาร PC จัดอันดับให้เว็บไซต์ของ Google ติดอันดับ Top 100 ที่มีคนเข้าเยี่ยมชมมากที่สุด Google จึงเริ่มเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางโดยที่ไม่ต้องเสียเงินค่าโฆษณาเลย แต่ด้วยความที่หมดเงินทุนไปกับการซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์และจ้างพนักงานเข้ามาทำงานที่บริษัท เงินทุนก็เริ่มร่อยหรอลงเรื่อย ๆ แถมโมเดลการทำเงินก็ยังคงไม่ชัดเจนว่า จะสามารถหารายได้ที่มารันธุรกิจไปเดินต่อไปได้อย่างไร

Larry Page และ Sergey Brin จึงได้เข้าเจรจากับนักลงทุนที่เคยลงทุนเหล่าบรรดาบริษัทสตาร์ทอัพต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น Amazon.com, Compaq เป็นต้น โดยได้พบกับ John Doerr และ Michael Moritz ที่แม้ว่าจะยังงง ๆ กับแผนธุรกิจของพวกเขา แต่ก็เชื่อว่าพวกเขาจะพัฒนา Serch Engine ให้ดีอีกขึ้นได้ จึงออกเงินลงทุนคนละ 12.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (หรือราว ๆ คนละกว่า 300 ล้านบาท) โดยยังคงให้สิทธิและอำนาจการควบคุมบริหารอยู่ที่ Larry Page และ Sergey Brin อยู่ แต่มีข้อแม้ว่า พวกเขาจะต้องว่าจ้างผู้บริหารมืออาชีพมาทำให้บริษัทมีกำไรให้เสียที

ในช่วงแรกนั้น Google พยายามจะขายระบบการค้นหาให้กับเหล่าบรรดาบริษัทต่าง ๆ เพื่อใช้ในองค์กรมากกว่า แต่ต่อมาก็ได้คิดโมเดลรายได้จากการขึ้นโฆษณาในหน้าผลการค้นหาของ Google ซึ่งจะอยู่บริเวณอันดับต้น ๆ ของผลการค้นหา ซึ่งลักษณะที่แสดงนั้น ก็จะคล้ายคลึงกับผลการค้นหาทั่วไป เพื่อไม่ให้รบกวนผู้ค้นหามากเกินไป และโมเดลรายได้ใหม่ ๆ ก็เริ่มผุดตามขึ้นมา พร้อมกับการพัฒนาระบบการค้นหาที่ขึ้นเรื่อย ๆ จนแซงหน้าคู่แข่งอย่าง Yahoo! แบบไม่เห็นฝุ่น จน Google กลายเป็นเบอร์หนึ่งในด้านผู้ให้บริการการค้นหาหรือ Serch Engine และสามารถกำไรได้ครั้งแรกตั้งแต่ตั้งบริษัทมาในปี 2001 ที่มีกำไรแล้วประมาณ 7 ล้านเหรียญฯ (หรือราว ๆ กว่า 200 ล้านบาท)

และเนื่องจากนักลงทุนได้กดดันให้ทั้งคู่หา CEO มืออาชีพมาบริหารงานแทน ทั้ง Larry และ Sergey จึงไล่สัมภาษณ์ CEO คนแล้วคนเล่า แต่ก็ไม่เคยได้รับใครจริง ๆ สักคน จนกระทั่งได้พบกับ Eric Schmidt ซึ่งได้ตัดสินใจที่จะมาบริหารงานที่ Google แต่ Larry กับ Sergey ก็มีข้อแม้ว่า ถ้าต้องการเข้ามาบริหาร Google จริง ๆ จังแล้วล่ะก็ อย่างน้อยก็ควรควักเงินลงทุนส่วนตัวมาลงในบริษัท Google ด้วย เพราะถ้าบริหารไม่ดี Eric Schmidt ก็จะต้องสูญเงินก้อนนี้ที่เขากำลังจะลงทุนไปด้วย

แต่ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว Eric Schmidt จึงเล็งเห็นว่า บริษัทมีอนาคตไกล และหากเขาซื้อหุ้น Google ไว้ในตอนนี้ ในอนาคตจะต้องกลายเป็นเงินจำนวนมหาศาลได้อย่างแน่นอน

ในปี 2004 เขาจึงตัดสินใจลงทุนใน Google เป็นจำนวน 1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพื่อแลกกับการเป็นหุ้นส่วนของ Google และกลายเป็น CEO ของ Google (และในปี 2011 เขาก็ได้กลายเป็นหนึ่งในมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในโลกคนหนึ่ง โดยนิตยสาร Forbes ได้จัดอันดับให้เขาเป็นคนรวยลำดับที่ 136 ของโลกอีกด้วย ด้วยมูลค่าทรัพย์สินกว่า 7 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือราว ๆ กว่า 2 แสนล้านบาท และในปี 2018 เขาก็มีรายได้อยู่ที่ 13.4 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือราว ๆ กว่า 4 แสนล้านบาท และขึ้นเป็นมหาเศรษฐีอันดับที่ 106 ของโลกอีกด้วย)

จนกระทั่งในวันที่ 19 สิงหาคม ปี 2004 Larry Page และ Sergey Brin ได้นำพา Google เข้าสู่ตลาดหุ้น Nasdaq ทำให้มูลค่าของบริษัท Google พุ่งขึ้นเป็น 1.67 พันล้านเหรียญฯ ในทันที

โดยในปี 2017 Google มีมูลค่ากว่า 581 พันล้านเหรียญฯ และสองผู้ก่อตั้งของ Google

  • Larry Page Net Worth 2018 : 48.5 พันล้านเหรียญฯ (ราว ๆ 1.5 ล้านล้านบาท)
  • Sergey Brin Net Worth 2018 : 47.2 พันล้านเหรียญฯ (ราว ๆ 1.48 ล้านล้านบาท)

ณ ปัจจุบัน Google ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง และได้ขยายธุรกิจไปในอุตสาหกรรมอื่น ๆ อีกมากมายนับไม่ถ้วน ซึ่งมีธุรกิจทั้งที่ประสบความสำเร็จและเจ๊งไม่เป็นท่าก็มีให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง

Larry Page และ Sergey Brin ได้กล่าวทิ้งท้ายเอาไว้ว่า

 

It’s very hard to fail completely if you aim high enough.

หมายถึง มันเป็นไปได้ยากมากที่คุณจะล้มเหลว หากคุณมีความมุ่งมั่นที่มากพอ

Larry Page

 

We do lots of stuff. The only way you are going to have success is to have lots of failures first.

หมายถึง พวกเราผ่านการสูยศเยีอะไรมาอย่างมากมาย และหนทางเดียวที่จะประสบความสำเร็จได้ก็คือคุณจะต้องผ่านประสบการณ์ความล้มเหลวมามากพอเสียก่อน

Sergey Brin

Resources

https://www.celebritynetworth.com/richest-businessmen/craig-silverstein-net-worth/