Blue O'Clock

สตูดิโอผลิตและพัฒนาสื่อการเรียนรู้ด้านการลงทุน ธุรกิจ จิตวิทยาและการพัฒนาตนเอง อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

Quote

100 บทเรียน จาก คมสันต์ แซ่ลี ผู้ก่อตั้ง Flash Express ยูนิคอร์นไทยคนแรกที่เริ่มจากศูนย์

คมสันต์ แซ่ลี ผู้ก่อตั้งบริษัท Flash Express จากเด็กบนดอยวาวีที่เติบโตมาในครอบครัวฐานะยากจน สู่การเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทสตาร์ทอัพระดับยูนิคอร์นไทยรายแรก ที่มีมูลค่าบริษัทมากกว่า 3 หมื่นล้านบาท และนี่ ก็คือ 100 ข้อคิด 100 บทเรียน ที่เราสามารถเรียนรู้ได้จากเขา

  1. จงอดทนผ่านช่วงลำบากแล้วจะพบกับความสำเร็จที่งดงาม – คุณคมสันต์ ส่วนตัวเขาชื่นชอบคำพูดของแจ็ค หม่า ที่เคยพูดเอาไว้ว่า“วันนี้ไม่ง่าย พรุ่งนี้ก็เช่นกัน แต่ถ้าเราผ่านพ้นวันพรุ่งนี้ไปได้…เราจะเจอวันที่สวยงาม” ซึ่งสะท้อนว่าต้องไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคที่ถาโถมเข้ามาในชีวิต

  2. ความสำเร็จจำเป็นต้องใช้เวลา – เพราะ “กำแพงหรือบ้านไม่ได้สร้างเสร็จในวันเดียว” คุณคมสันต์ เขาย้ำว่าผู้คนส่วนใหญ่มักเห็นแค่ผลลัพธ์ปลายทาง แต่ไม่เห็นความพยายามระหว่างทาง ที่ต้องใช้ความอดทนในการทำสิ่งต่าง ๆ ทีละขั้นจนกว่าจะประสบความสำเร็จ

  3. ตั้งเป้าหมายให้ใหญ่เข้าไว้ – คุณคมสันต์ เขาเชื่อว่าถ้าเราอยากได้สิ่งที่ยิ่งใหญ่จริง ๆ อุปสรรคทั้งหลายที่ถาโถมเข้ามาจะกลายเป็นแค่เรื่องเล็ก และไม่สามารถหยุดยั้งเราให้ไปถึงเป้าหมายนั้นได้

  4. สู้แบบไม่มีทางถอยหลังกลับ – คุณคมสันต์ เน้นแนวคิดที่ว่า “เราเจ๊งไม่ได้” เพราะถ้าธุรกิจล้ม เขาจะมีหนี้มหาศาล และอาจต้องใช้เวลาทั้งชีวิตในการชดใช้หนี้ ทำให้ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องทำให้สำเร็จเท่านั้น

  5. ชีวิตของสตาร์ทอัพนั้นโหดร้ายแต่ก็ต้องสู้ – “ในหลายครั้งการจะวัดว่า จะตายหรือไม่ตาย ตัดสินกันอยู่แค่คืนนี้และวันพรุ่งนี้” เพราะการทำบริษัทสตาร์ทอัพคือการเดิมพันที่ต้องสู้แบบวันต่อวัน ต้องใช้ทุกวิถีทางให้อยู่รอดจนกว่าจะเห็นแสงของวันใหม่

  6. จงเผชิญหน้ากับปัญหาด้วยใจที่แน่วแน่ – คุณคมสันต์ แนะว่าเมื่อเจออุปสรรคให้เราตั้งสติและลงมือแก้ด้วยความมุ่งมั่น อย่ายอมแพ้ง่าย ๆ ต่อความยากลำบาก

  7. อย่าประมาทคู่แข่งที่ดูเงียบ ๆ – โดยเขายกตัวอย่างจากนักกีฬาโอลิมปิกจีนคนหนึ่ง ที่มักบอกว่าตนเองนั้นซ้อมไม่เต็มที่ แต่กลับคว้าชัย เพราะ คู่แข่งบางคนเขามาแบบเงียบ ๆ แต่เตรียมพร้อมมาเป็นอย่างดี ดังนั้น เราจึงไม่ควรตัดสินศักยภาพใครจากภายนอกหรือเพียงแค่คำพูดของเขา

  8. ในโลกธุรกิจที่ไม่แน่นอน คุณคมสันต์ เน้นว่า ผู้นำต้องพร้อมปรับตัวอยู่ตลอดเวลา โดยแนวคิดในการบริหารคือต้องเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ไม่ยึดติดกับวิธีการแบบเดิม ๆ

  9. จงกล้าลุยงานใหญ่ตั้งแต่อายุยังน้อย – คุณคมสันต์ เล่าว่าสมัยที่เขาอายุประมาณ 21 ปี เขาได้อาสาเข้าไปพลิกฟื้นธุรกิจเหมืองทรายแห่งหนึ่งที่ใกล้เจ๊ง โดย ใช้ความกล้าได้กล้าเสียแบบ ตามสำนวนไทยที่ว่า “วัวอ่อนไม่กลัวเสือ” คือ ไม่หวั่นเกรงแม้จะต้องชนกับปัญหาใหญ่และในที่สุดเขาก็สามารถกู้ธุรกิจนั้นขึ้นมาได้สำเร็จ

  10. อย่ายอมแพ้เพียงเพราะมันเริ่มต้นได้ยาก – คุณคมสันต์ แชร์ว่า ตอนไปบุกตลาดฟิลิปปินส์ในช่วงแรกของการเริ่มต้นธุรกิจนั้น แทบไม่เห็นผลเลย (“มันเหมือนกับกระต่ายที่ขุดหลุมลึกแต่ไม่เจอแครอท”) แต่พอเขากัดฟันสู้ต่ออีก 3 ปี ในท้ายที่สุด เขาก็เจอ “แครอทยักษ์” จนได้ และนั่นคือความสำเร็จครั้งใหญ่ในตลาดนั้น

  11. จงทุ่มสุดตัวเพื่อความฝัน – คุณคมสันต์ เขาได้ลงทุนโดยใช้เงินเก็บทั้งหมด เพื่อเปิดบริษัท Flash Express เขา ยอมขายบ้านขายรถเพื่อมาลงทุนแบบหมดหน้าตัก นั่นทำให้เขาถอยหลังกลับไม่ได้อีกแล้ว ต้องมุ่งหน้าเพียงอย่างเดียวเพื่อให้ความฝันนั้นสำเร็จขึ้นมาให้ได้

  12. อย่าทำเพื่อเงินเพียงอย่างเดียว – คุณคมสันต์ เขาบอกว่าเหตุผลที่ลุยธุรกิจนี้ไม่ใช่แค่เพื่อผลกำไรส่วนตัวเพียงอย่างเดียว เพราะ “ในหลาย ๆ ครั้งเราทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยที่ไม่ได้เอาเงินเป็นตัวตั้ง เราแค่มีความฝันว่าอยากทำก็เท่านั้นเอง” ดังนั้น เงิน จึงไม่ใช่แรงขับเคลื่อนหลักของเขาในการลงมือทำ

  13. จงคว้าโอกาสก่อนที่จะสายเกินไป – คุณคมสันต์เคยถามคุณพ่อของเขาว่า ทำไมสมัยที่มีเงินเยอะ ๆ อยู่ไม่ซื้อที่ดินในกรุงเทพฯ เอาไว้ เพราะถ้าซื้อเอาไว้ ในวันนี้ ชีวิตเขาคงสบายกว่านี้แล้ว นั่นคือบทเรียนที่เขาเรียนรู้ว่า เมื่อโอกาสมาถึง เขาจะไม่ปล่อยให้โอกาสนั้นมันหลุดลอยไป เพราะเขาไม่อยากเสียใจในภายหลัง หรือรอให้ลูก ๆ หลาน ๆ ถามเขาว่าทำไมไม่ลงมือทำเมื่อมีโอกาสที่ดีอยู่ตรงหน้า

  14. สร้างธุรกิจให้ตอบโจทย์อนาคต – คุณคมสันต์ เขาไม่ได้มองแค่ปัจจุบัน แต่ตั้งเป้าสร้าง Flash Express ให้พร้อมรองรับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนเร็วในโลกยุคดิจิทัล เช่น อีคอมเมิร์ซที่เติบโตต่อเนื่อง และความต้องการบริการที่รวดเร็วถึงบ้าน

  15. คุณคมสันต์ วางวิสัยทัศน์ให้ Flash Express เป็นมากกว่าบริษัทขนส่ง โดยตั้งเป้าเป็นผู้ให้บริการ E-Commerce แบบครบวงจร ผ่านบริการหลากหลาย เช่น Fulfillment, คลังสินค้า, การเงิน และจุดบริการทั่วประเทศ พร้อมลงทุนในเทคโนโลยีและขยายไปต่างประเทศ เพื่อสร้าง Ecosystem ที่สนับสนุนผู้ค้าออนไลน์ไทยให้แข่งขันได้ในระดับสากล

  16. เติบโตเพื่อยกระดับคนตัวเล็ก – คุณคมสันต์ เขาบอกว่าอยากเห็น Flash Express เติบโตเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อย ให้พวกเขาส่งของขายของได้ง่ายขึ้น ธุรกิจเล็ก ๆ จะได้มีโอกาสเติบโตไปพร้อมกัน

  17. เข้าใจวัฒนธรรมคู่ค้าและตลาด – การร่วมงานกับนักธุรกิจจีนสอนให้เขาต้องเข้าใจว่าทำไมคนจีนคิดและทำแบบนั้น และทำไมคนไทยเป็นแบบนี้ เพื่อปรับตัวเข้าหากันได้ถูกต้องในการเป็นพันธมิตรธุรกิจ

  18. เรียนรู้จากตลาดที่ประสบความสำเร็จ – ก่อนทำธุรกิจขนส่ง เขาศึกษาระบบโลจิสติกส์ของจีนอย่างจริงจัง นำวิธีลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ และบริการยุคดิจิตอลจากจีนมาปรับใช้ในไทยจนเกิดเป็นโมเดลของ Flash Express

  19. มองหาช่องว่างในตลาด – คุณคมสันต์เคยพาตัวแทนจาก Alibaba บริษัทอีคอมเมิร์ซระดับโลกจากจีน และหนึ่งในนักลงทุนรายใหญ่ของ Flash Express มาสำรวจร้านส่งพัสดุของคู่แข่งในไทย และพบว่าลูกค้าต้องต่อคิวยาวเพื่อส่งของ จุดนั้นทำให้เขาเห็นโอกาสทันทีว่า “ระบบรับพัสดุถึงบ้าน” ยังไม่มีใครทำในไทย เขาจึงรีบพัฒนาโมเดลนี้ขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์ลูกค้า และกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของ Flash Express

  20. สร้างบริการที่ตอบโจทย์ลูกค้า – จุดขายสำคัญของ Flash Express คือ “รับพัสดุฟรีถึงบ้าน 365 วัน” โดยลูกค้าไม่ต้องมาส่งเองที่สาขา และคิดราคาค่าส่งเริ่มต้นเพียง 19 บาทซึ่งถูกที่สุดในตลาดช่วงนั้น ทำให้บริการโดนใจลูกค้าเป็นอย่างมาก

  21. ใช้พันธมิตรให้เกิดประโยชน์ – ช่วงเริ่มต้น คุณคมสันต์ดึง Alibaba และ IBM มาร่วมเสริมจุดที่ยังขาด — Alibaba ช่วยถ่ายทอดประสบการณ์จากจีนและวางระบบหลังบ้าน ขณะที่ IBM พัฒนาเทคโนโลยีและระบบวิเคราะห์ข้อมูล การร่วมมือกับพันธมิตรระดับโลกนี้ช่วยให้ Flash Express เติบโตเร็วและตั้งมาตรฐานใหม่ให้วงการขนส่งไทย

  22. ควบคุมคุณภาพงานด้วยตนเอง – Flash Express เลือกที่จะไม่ใช้ Outsource ที่เป็นการจัดจ้างภายนอกและไม่ขายแฟรนไชส์ แต่เลือกที่จะสร้างทีมไอทีที่มีความสามารถขึ้นมาพัฒนาระบบหลังบ้านเองทั้งหมด แม้ต้องใช้เงินลงทุนสูง แต่สก็แลกมากับการควบคุมคุณภาพบริการได้อย่างเต็มที่

  23. ยอมขาดทุนระยะแรกเพื่อแย่งส่วนแบ่งในตลาด – ผลประกอบการ Flash Express ในช่วงแรกขาดทุนหนักหลายร้อยถึงพันล้านบาทต่อปี ซึ่งเขามองว่าเป็นการลงทุนเพื่อซื้ออนาคต ยอมเสียเงินวันนี้เพื่อฐานลูกค้าและปริมาณงานที่มากขึ้นในวันหน้า

  24. ขยายขนาดพร้อมลดต้นทุน – ธุรกิจขนส่งจะไปรอดได้ต้องมี economies of scale ต้องส่งของให้มากพอจนต้นทุนเฉลี่ยต่อชิ้นถูกลง หรือที่เรียกว่า “ยิ่งทำมาก ยิ่งต้นทุนต่อหน่วยถูกลง” เขาจึงทุ่มเงินพัฒนาเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่องโดยทุ่มกว่าเดือนละ ~60 ล้านบาทเพื่อให้ต้นทุนต่อพัสดุลดลงในระยะยาว นี่เป็นหัวใจที่ทำให้ Flash แข่งขันด้านราคากับรายใหญ่ได้

  25. สนุกกับงานที่ทำ – คุณคมสันต์ เติบโตมาในครอบครัวที่ทำการค้าขาย เขาตามพ่อแม่ไปทำงานตั้งแต่เด็ก และ ส่วนตัวของเขาเองนั้นเขาก็ชอบทำการค้าขายเช่นกันเพราะรู้สึกสนุก ซึ่งความสนุกและใจรักนี้นี่เองที่มีส่วนช่วยให้ธุรกิจที่ทำอยู่นั้นเติบโตอย่างรวดเร็ว

  26. ทุ่มเทเกินร้อยในช่วงบุกเบิก – ตอนตั้งบริษัทใหม่ ๆ คุณคมสันต์ เขา นอนกางเต็นท์ที่ทำงาน ไม่กลับบ้านเป็นปี ๆ พอตื่นนอนมาก็ทำงานทันทีเพื่อประหยัดเวลาในการเดินทาง ซึ่งเขาได้ทุ่มชีวิตให้กับธุรกิจจนกว่าจะเริ่มตั้งหลักได้

  27. ทำงานหนัก อย่างถูกวิธี – คุณคมสันต์ เขานิยามว่า “การทำงานหนักคือการทำอย่างใดอย่างหนึ่งจนจบปิดจ็อบ ให้ดีที่สุด” ไม่ใช่แค่ทำงานเป็นเวลานาน ๆ ฉะนั้นต้องโฟกัสที่คุณภาพและผลลัพธ์ของงาน ไม่ใช่ปริมาณชั่วโมงงานที่ใช้เพียงอย่างเดียว

  28. ตัดงานที่ไม่เกิดประโยชน์ทิ้งไป – คุณคมสันต์ เขาเตือนว่าอย่า “ขยันแค่เชิงปริมาณ” เช่น เอาแต่ตอบไลน์ในกลุ่มที่ไม่สำคัญหรือจมอยู่กับงานกระจุกกระจิกที่ไม่สร้างคุณค่าใด ๆ แต่ทำให้มันดูยุ่งเข้าไว้ แต่นั่นคือการเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ คุณควรโฟกัสกับงานหลักที่จะนำพาให้ธุรกิจไปพัฒนาไปข้างหน้ามากกว่า

  29. ตรวจสอบหน้างานด้วยตัวเอง – แม้ปัจจุบันจะมีทีมบริหารและได้รับรายงานอยู่แล้ว แต่คุณคมสันต์ เขาก็ยังพยายามลงพื้นที่อยู่เสมอ เพราะรู้ว่า “รายงาน” อาจถูกจัดข้อมูลมาให้ดูดี มากกว่าที่จะสะท้อนปัญหาที่ควรรู้จริง ๆ ซึ่งการไปเห็นด้วยตาตัวเอง จะช่วยให้เข้าใจสถานการณ์และแก้ไขปัญหาได้ตรงจุดมากกว่า

  30. ปรับตัวอยู่เสมอ – คุณคมสันต์เขาบอกว่านักธุรกิจหรือผู้ประกอบการ ต้องพร้อมปรับตัวอยู่ตลอดเวลา มันไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว เพราะเมื่อสภาพแวดล้อมหรือเทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงเมื่อไร เราก็ต้องยืดหยุ่นเปลี่ยนตามให้ทันเมื่อนั้น

  31. ไม่หยุดอยู่กับที่ – คุณคมสันต์ บอกว่า หลังจากที่เขาบรรลุเป้าหมายหนึ่งแล้ว เขาจะตั้งเป้าหมายใหม่ต่อไปเรื่อย ๆ ซึ่งเปรียบเหมือนกับการพิชิต “ภูเขาลูกต่อไป” เพราะธุรกิจไม่มีวันที่จะหยุดนิ่ง มันต้องมีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลา ต้องเติบโตขึ้นไปอีกขั้นเสมอ

  32. ให้ถอยออกมาหนึ่งก้าวเพื่อทบทวนตัวเอง – เพราะการทำงานหนักอาจทำให้เราหลงทางได้ คุณคมสันต์ เขาจึงมักจะหาเวลาไปเดินป่าหรืออยู่กับธรรมชาติเป็นระยะ ๆ เพื่อ ทบทวนจิตใจตัวเอง คิดไตร่ตรองถึงเรื่องต่าง ๆ อย่างสงบ แล้วกลับมาลุยงานด้วยความชัดเจนมากขึ้น

  33. มีความอดทนและพร้อมรับมือกับความไม่แน่นอน – คุณคมสันต์ เขาเปรียบเทียบว่าการทำธุรกิจก็เหมือนกับ “การตกปลา ที่เราไม่รู้ว่าปลาจะกินเหยื่อหรือเปล่า” ดังนั้น จะต้องใจเย็นและอดทนรออย่างมีความหวัง เพราะความสำเร็จจะมาเมื่อไรนั้น เราไม่อาจคาดเดาได้

  34. นอกจากการทำธุรกิจแล้วนั้น คุณคมสันต์ เขายังมีกิจกรรมที่ช่วยให้ผ่อนคลาย เช่น การดูงานศิลปะ เพราะ “ภาพศิลปะทำให้จิตใจสงบ” สิ่งนี้ เป็นการชาร์จพลังและลดความเครียดลงได้ และเมื่อใจสงบแล้ว เขาก็พร้อมกลับไปแก้ปัญหาได้ดียิ่งขึ้น

  35. คุณคมสันต์เขาเล่าว่า แต่ก่อนเวลาทำงานหนัก ๆ เครียด ๆ เคยดื่มเหล้าวันละขวดหลังเลิกงาน แต่ตอนนี้เขาเปลี่ยนมาทำสิ่งที่มีความหมายมากกว่าอย่างการอ่านนิทานให้ลูกฟังก่อนนอนแทน ซึ่งการใช้เวลากับครอบครัวช่วยให้เขาผ่อนคลายและเห็นคุณค่าของความสุขมากยิ่งขึ้น

  36. อย่าให้ความโลภนำทาง – เมื่อบริษัทเติบโตจนมีมูลค่าหลักหมื่นล้าน คุณคมสันต์บอกว่าทุกวันนี้เขาอยากพักจากความกดดัน และลดความโลภลง เพื่อหันกลับมาคิดว่า จะสร้างคุณค่าอะไรให้กับผู้คนและสังคมได้มากขึ้น ซึ่งนี่สะท้อนให้เห็นว่า การทำธุรกิจไม่ควรขับเคลื่อนด้วยความโลภ แต่ควรขับเคลื่อนด้วยคุณค่าที่แท้จริง

  37. จงยืนหยัดในสิ่งที่ถูกต้อง – โดยคุณคมสันต์มีหลักคิดที่ว่า “สิ่งที่ไม่ถูกต้อง ไม่ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนมันก็ไม่ถูกต้องอยู่วันยังคำ แต่ถ้าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ต่อให้ต้องใช้เวลานานแค่ไหน…มันก็เป็นสิ่งที่สมควรทำ” ซึ่งแนวคิดนี้สะท้อนให้เห็นว่า เขาจะเลือกทำในสิ่งที่ถูกต้องเสมอ แม้จะต้องเจอกับอุปสรรคหรือจะต้องใช้เวลานานมากแค่ไหนก็ตามที เพราะเขาเชื่อว่า ในท้ายที่สุดแล้ว ความถูกต้องจะให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

  38. เป็นซีอีโอนั้นต้องสวมหลายหมวกหลายบทบาท – คุณคมสันต์เขาเล่าว่า งานแต่ละวันของเขานั้นมีทั้ง ต้องหาเงิน (ระดมทุน), คุยกับนักลงทุน, หาคนเข้าทีม, วางแผน, หาโอกาสใหม่ ๆ และเติมเต็มสิ่งที่องค์กรยังขาด อยู่เสมอ ฉะนั้นการเป็นผู้นำจะต้องบริหารจัดการในหลาย ๆ ด้านในเวลาพร้อม ๆ กันให้ได้

  39. คุณคมสันต์เขาเชื่อว่าหัวใจของผู้บริหารมีผลต่อขนาดธุรกิจ เขาบอกว่า “กิจการของคุณจะใหญ่เท่าใจของคุณ…และถ้าคุณเป็นคนใจแคบธุรกิจมันก็จะไหนได้ไม่ไกล” ดังนั้นผู้นำที่เปิดใจกว้าง เปิดรับความคิดเห็น และมีการดูแลผู้คนได้อย่างทั่วถึง ธุรกิจย่อมเติบโตไปได้ไกลกว่าอย่างแน่นอน

  40. ดูแลทีมงานเสมือนครอบครัว – โดยคุณคมสันต์เขาบอกว่า “ให้มองคนที่อยู่กับเราเป็นความรับผิดชอบ” ของเราเอง เพราะคนที่เชื่อมั่นเดินมาด้วยกันนั้น พวกเขาต้องได้รับสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่ตัวของเขาจะให้ได้ ดังนั้น ผู้บริหารจึงต้องใส่ใจความเป็นอยู่และความก้าวหน้าของทีมงานอย่างสม่ำเสมอด้วยความจริงใจ

  41. แลกใจกับทีมงาน – คุณคมสันต์เขาเน้นเรื่องความจริงใจและความเชื่อใจกับคนในทีม คุณ ต้องให้ใจกับลูกน้องแล้วพวกเขาจะให้ใจตอบ ซึ่งการสร้างความเชื่อถือซึ่งกันและกันในทีมนั้น คือพื้นฐานสำคัญของการบริหารคน

  42. คุณคมสันต์บอกว่า เขารู้สึกผูกพันกับบริษัทมากเขา เปรียบ Flash Express เป็นเหมือนลูกที่เขาคลอดเอง เพราะตัวของเขาได้ผ่านทั้งช่วงที่แย่และช่วงที่ดีมาด้วยสองมือของเขา ซึ่งการมี passion มีความรัก ความหลงใหลในสิ่งที่สร้าง จะช่วยทำให้เราไม่ทอดทิ้งธุรกิจและต่อสู้จนกว่าจะประสบความสำเร็จได้

  43. จงสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่แข็งแรง – โดยหลังผ่านช่วงวุ่นวายในยุคเริ่มต้นตั้งไข่ของบริษัทมาได้แล้ว ในตอนนี้ก็ถึงการก่อร่างสร้าง “ยุควัฒนธรรม” ในองค์กร โดยจะดึงคนที่มีค่านิยมและแนวคิดเดียวกันเข้ามาทำงานร่วมกัน เพื่อให้ทุกคนในทีมเดินไปในทิศทางเดียวกันและทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น

  44. ในยุคแรกเริ่ม “ยุคอันธพาล” ของบริษัท คุณคมสันต์เขาใช้ระบบความเชื่อและการมอบอำนาจให้พนักงานสามารถตัดสินใจได้เองในหลาย ๆ เรื่อง เพราะมันจะทำให้งานเดินหน้าได้เร็วเมื่อองค์กรยังมีขนาดเล็กที่ต้องการความคล่องตัวสูง

  45. เมื่อธุรกิจขยายตัวขึ้น และเข้าสู่ “ยุคการติดตาม” ผล ที่เน้นวัดผลการทำงานให้ถูกต้องตรงเวลา และดูว่า เมื่อทำไปแล้วจะเห็นผลหรือไม่ ถ้าไม่ ก็จะได้ปรับปรุงแก้ไขได้ทันการณ์และสามารถรักษามาตรฐานงานให้สูงขึ้น

  46. ใน “ยุคของการแข่งขัน” คุณคมสันต์ เขาได้ปลูกฝังวัฒนธรรมคุณธรรมให้กับองค์กร เพราะเมื่อพนักงานเยอะขึ้น เราก็ต้องดูว่าใครทำงานได้หรือไม่ได้ ซึ่งถ้าหากใครไม่สามารถทำได้ เราก็ต้องกล้าเรียกพนักงานคน ๆ นั้น มาคุยหรือปรับบทบาทหน้าที่ให้เหมาะสมกับความสามารถ และ ไม่ว่าพนักงานคน ๆ นั้น จะสนิทกันมากแค่ไหน คุณก็จำเป็นที่จะต้องตัดสินใจโดยใช้หลัก “ตัดสินใจแบบ CEO แต่ช่วยเหลือแบบเพื่อน” คือมีความเด็ดขาดแต่ก็ไม่ทอดทิ้งกัน

  47. อย่าพึ่งพาแต่ดาวเด่นจากภายนอก – คุณคมสันต์ เขาเตือนว่า “อย่าสร้างทีมออลสตาร์” ตั้งแต่แรก เพราะตอนเริ่ม Flash Express เขาเคยดึงคนเก่ง ๆ จากบริษัทใหญ่ ๆ มา เช่น CFO ที่ดูแลเรื่องการเงิน จากบริษัท DHL แต่พวกเขาเหล่านั้นทำงานในที่ ๆ เคยมีทีมซัพพอร์ตเยอะ แต่พอมาทำสตาร์ทอัพเล็ก ๆ ที่ไม่มีใครซัพพอร์ต ต่อให้คนเก่งแค่ไหนก็ไปไม่รอด เพราะงานแทบทุกอย่างจะต้องลงมือทำเองและสร้างทีมขึ้นใหม่ที่พร้อมจะลุยไปด้วยกันจากศูนย์

  48. Put the right man in the right job – คุณคมสันต์ เขาให้ความสำคัญกับการเลือกคนให้เหมาะกับงาน เราต้องมองให้ออกว่างานแต่ละประเภทต้องการคนแบบไหน เช่น งานดูแลศูนย์ขนส่งต้องการคนที่ลุยบู๊ได้ เพราะมีพนักงานบางส่วนที่ห้าวหัวดื้อ ก็จำเป็นที่จะต้องมีคนคอยคุมที่เอาพวกเขาเหล่านั้นให้อยู่หมัด แต่ถ้าเป็นงานในออฟฟิศอาจจะต้องการคนที่มีความสุขุมเป็นหลักในการดูแล

  49. เวลาที่อยากได้คนมีความสามารถเข้ามาร่วมทีม คุณคมสันต์ เขาจะ “ขายฝัน” โดยเล่าภาพในอนาคตของบริษัท ให้เห็นว่าบริษัทมีเงินทุน มีนักลงทุนใหญ่ และมีโอกาสเติบโต เพื่อให้คนเหล่านั้นมั่นใจใน vision ในวิสัยทัศน์ และกล้าตัดสินใจมาร่วมงานกับเขา

  50. คุณคมสันต์เขาพบว่าคนที่มีการศึกษาสูงหรือมีโปรไฟล์ที่ดี ในบางครั้งพวกเขา ถูกหลอกง่ายกว่าที่คิด เพราะมักติดอยู่ในกรอบความคิดตัวเอง มักพลาดในกับดักแบบเดิม ๆ ฉะนั้น ต้องเตือนตัวเองให้เปิดใจกว้าง มีความยืดหยุ่น พร้อมรับฟัง และไม่ยึดว่าความคิดตัวเองถูกเสมอไป

  51. สมัยเปิดตัวใหม่ ๆ ที่แบรนด์ยังไม่เป็นที่รู้จัก คุณคมสันต์เขาตัดสินใจ จ้างเซลส์กว่า 200 คนเดินไปหาลูกค้าถึงหน้าร้านคู่แข่ง เพื่อแนะนำบริการ Flash Express พร้อมทุ่มค่าคอมมิชชั่นให้อย่างดุดัน ซึ่งวิธีนี้ทำให้ลูกค้ารู้จักบริการของเขาอย่างรวดเร็ว

  52. คุณคมสันต์เล่าว่า ในช่วงที่ Flash Express ขยายตัวอย่างรวดเร็ว เขาแก้ปัญหาคนไม่พอด้วยการชวนคนรู้จักมาร่วมงาน แต่กลับพบปัญหาทุจริตภายในสูง เพราะ “คนกันเอง” มักช่วยเหลือกันแบบผิด ๆ ไม่กล้าตรวจสอบกันจริงจัง บทเรียนสำคัญที่ได้คือ ยิ่งโตเร็ว ยิ่งต้องวางระบบตรวจสอบให้รัดกุม และแยกเรื่องงานกับความสัมพันธ์ส่วนตัวให้ชัดเจน

  53. เมื่อก่อนตอนที่คุณคมสันต์เขาได้เข้ามาบริหารกิจการเหมืองทรายที่ใกล้เจ๊ง สิ่งแรกที่เขาทำก็คือ ไล่พนักงานคนเก่า ๆ ออกทั้งชุด เพื่อหยุดปัญหาคอร์รัปชันในกลุ่มคนเดิม ๆ แล้วเปลี่ยนเอาคนทำงานชุดใหม่ราว ๆ 20 คนเข้ามาแทนที่ จากนั้นก็ทำการโละเครื่องจักรเก่าออก นำเครื่องจักรใหม่ที่มีประสิทธิภาพกว่าเข้ามาแทน ทำให้การผลิตเดินหน้าและแก้ปัญหาได้ตรงจุด พลิกฟื้นธุรกิจเหมืองทรายจากติดลบจนมีกำไร

  54. เมื่อธุรกิจเหมืองทรายเริ่มฟื้นตัว คุณคมสันต์เขาไม่รีบแบ่งผลกำไร แต่เลือกที่จะ ทุ่มเงินที่หาได้ไปซื้อที่ดินที่มีทราย จนกลายเป็นเจ้าเดียวที่ถือครองทรายในพื้นที่นั้น ส่งผลให้มีอำนาจต่อรองขึ้นราคาได้หลายรอบ ทำให้กำไรก็เพิ่มขึ้นทันทีที่ใช้กลยุทธ์นี้

  55. ในช่วงที่ธุรกิจเริ่มขยายตัว แต่กลับเกิดปัญหาความไร้ระเบียบภายในองค์กรอย่างรุนแรง คุณคมสันต์เขาจึงตัดสินใจออกกฎที่เคร่งครัดเพื่อควบคุมระบบ แม้ต้องแลกกับการที่พนักงานรุ่นแรกหลายคนพากันลาออกเป็นจำนวนมาก แต่เขาก็ยืนยันว่าหากไม่ทำเช่นนี้ในตอนนั้น องค์กรอาจล่มสลายได้ภายใน 6 เดือน ผลก็คือ คนรุ่นใหม่ ๆ ที่อยู่ต่อ พวกเขาเข้าใจวัฒนธรรมองค์กรมากยิ่งขึ้น และร่วมกันผลักดันให้ทีมทำงานอย่างมืออาชีพในระยะยาว

  56. คุณคมสันต์เขารู้ว่าธุรกิจขนส่งต้องอาศัยความเชื่อใจสูง ในช่วงที่ Flash Express ยังเป็นบริษัทเปิดใหม่และยังไม่มีใครรู้จัก เขายอมลงทุนจ้างพรีเซนเตอร์ดังอย่าง ติ๊ก เจษฎาภรณ์ เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่มีความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ เพราะความน่าเชื่อถือคือหัวใจสำคัญที่สุดของธุรกิจนี้

  57. เน้นแข่งขันที่บริการไม่ใช่สงครามสกปรก – เมื่อคู่แข่งส่งสปายแฝงตัวเข้ามาในองค์กรเพื่อดูนโยบายของ Flash Express คุณคมสันต์เขา ไม่เสียเวลาตอบโต้หรือแก้แค้น แต่เลือกทุ่มเททั้งหมดไปกับการพัฒนาบริการต่อลูกค้าให้ดียิ่งขึ้น จนยอดส่งพัสดุเติบโตจากวันละ 5,000 ชิ้นไปเป็นหลักล้านชิ้นต่อวันในเวลาไม่นาน

  58. จุดแข็งของคู่แข่งก็อาจพลิกเป็นจุดอ่อนได้ – คุณคมสันต์ เขาสังเกตว่าบริษัทส่งพัสดุเจ้าดั้งเดิมมีสาขาเยอะทั่วประเทศก็จริง แต่ในยุคอีคอมเมิร์ซนั้นสาขาจำนวนมากกลับกลายเป็นต้นทุนมหาศาล สิ่งที่เคยเป็นจุดแข็งเลยกลายเป็นภาระแทน ในขณะที่ Flash นั้นมีโครงสร้างที่เบากว่า ทำให้สามารถฉวยโอกาสนี้แข่งขันในด้านราคาได้

  59. ต้นทุนส่งพัสดุไทยแพงคือโอกาส – คุณคมสันต์ เขาชี้ว่าต้นทุนส่งของในไทยเฉลี่ย 65 บาทต่อชิ้น ในขณะที่จีน ที่เป็นประเทศที่ใหญ่กว่าไทยถึง 18 เท่า กลับมีค่าส่งเฉลี่ยเพียง 15 บาทต่อชิ้นเท่านั้น นี่คือช่องว่างราคาที่มหาศาลที่เขามองเห็นและเข้าไปเจาะตลาดด้วยการตั้งราคาต่ำกว่ามาก

  60. “เลือกผู้ลงทุนผิด ธุรกิจเละทันที” คุณคมสันต์เขากล่าวว่าถ้าได้ผู้ลงทุนที่มีวิสัยทัศน์ไม่ตรงกันหรือกดดันแบบผิด ๆ ธุรกิจจะไปต่อยาก ดังนั้นต้องเลือกนักลงทุนที่เข้าใจและสนับสนุนความฝันของเราอย่างแท้จริง นักลงทุนที่ “ใช่” คือคนที่เชื่อในวิสัยทัศน์และพร้อมจะโตไปด้วยกัน

  61. ให้ทำการบ้านก่อนไปเจรจาการลงทุน – ทีมของคุณคมสันต์นั้น พวกเขาจะศึกษาข้อมูลนักลงทุนแต่ละรายละเอียดมาก ไม่ว่าจะประวัติการศึกษา ครอบครัว ธุรกิจที่เคยลงทุน หรือเม็ดเงินที่กองทุนมี เพื่อที่จะปรับการนำเสนอและข้อเสนอให้ตรงใจนักลงทุนนั้น ๆ ให้ได้มากที่สุด

  62. การระดมทุนคือการเสนอโอกาส – คุณคมสันต์เขาบอกว่าอย่ามองการขอเงินทุนจากนักลงทุนว่าเราไปง้อคนอื่น แต่ให้มองว่าเราเอาโอกาสไปเสนอเขา ถ้าโครงการของเราดี นักลงทุนเองก็จะได้ประโยชน์ นี่คือมุมมองบวกที่ทำให้เขากล้านำเสนอโครงการใหญ่ ๆ แก่นักลงทุน

  63. นักลงทุนพวกเขามักจะถามคำถามสำคัญว่า “คุณคือใคร? ทำไมต้องเป็นคุณ? ทำไมไม่ใช่คนอื่น?” คุณคมสันต์เขาจึงย้ำว่าผู้ประกอบการทุกคนจำเป็นต้องรู้จุดแข็งและความแตกต่างของตัวเองอย่างชัดเจน และต้องสื่อสารให้ได้ว่าทำไมเราถึงเป็นคนที่เหมาะสมที่จะได้รับเงินลงทุนก้อนนั้น

  64. คุณคมสันต์เขาเปิดเผยว่า เขาเคยเสนอแผนธุรกิจแก่นักลงทุนมากถึง 60 ราย แต่สำเร็จแค่ 2 รายเท่านั้น โดย เคล็ดลับคือให้ทำการปรับรูปแบบการนำเสนอที่หลากหลาย เตรียม Pitch แผนธุรกิจ ทั้งแบบ 3-5 นาที แบบ 15 นาที และแบบลงรายละเอียดลึก เพื่อให้เข้ากับสไตล์ของนักลงทุนแต่ละคน แล้วลองนำเสนอใหม่เรื่อย ๆ จนกว่าจะมีคนเชื่อในแผนธุรกิจของเรา

  65. จงวางแผนการใช้เงินให้ชัดเจน – โดยก่อนที่จะเริ่มต้นหาเงินทุน คุณคมสันต์เขาจะคิดให้ชัดเจนก่อนเลยว่า 1. เราต้องการเงินเท่าไร และ 2. เอาเงินไปทำอะไรบ้าง ซึ่งการตอบคำถามสองข้อนี้ได้จะช่วยให้การคุยกับนักลงทุนมีความน่าเชื่อถือและทำให้พวกเขาเห็นภาพชัดเจนว่าธุรกิจต้องการเงินทุนไปเพื่อทำให้ธุรกิจเติบโตอย่างไรบ้าง

  66. จงเปลี่ยนจุดอ่อนของคู่แข่งให้เป็นจุดแข็งของเรา – นี่คือคติในการทำธุรกิจของคุณคมสันต์ เราต้องคอยมองให้ออกว่าคู่แข่งพลาดตรงไหน แล้วเราจะเข้าไปเติมเต็มส่วนนั้นให้เหนือกว่าอย่างไรได้บ้าง และนั่นจะกลายเป็นข้อได้เปรียบของเราในการแข่งขันทางธุรกิจ

  67. คุณคมสันต์เขาเล่าว่า สมัยเรียนช่วงมหาวิทยาลัยก็ได้สะสมเครือข่ายเอาไว้มากมาย สานสัมพันธ์กับรุ่นพี่หลากหลายสายอาชีพที่จบไปแล้ว เพราะการมี Connection ที่กว้างขวางจะทำให้เวลาที่ทำธุรกิจจริง จะมีที่ปรึกษาและคนช่วยเหลือทันที ไม่ต้องไปเริ่มนับหนึ่งใหม่อย่างโดดเดี่ยว

  68. คุณคมสันต์มีพื้นฐานภาษาจีนที่ดีเพราะคุณแม่ของเขาเป็นครูสอนภาษาจีนและตัวของเขาเองก็มีเพื่อนที่เป็นคนจีนเยอะตั้งแต่สมัยที่เรียนมหาวิทยาลัย ทำให้เขาสื่อสารกับหุ้นส่วนและลูกค้าคนจีนได้อย่างคล่องแคล่ว ทำให้ทักษะด้าน ภาษาเลยกลายเป็นแต้มต่อ ที่ช่วยเปิดประตูโอกาสหลายอย่างให้ธุรกิจของเขา

  69. แก้ปัญหาให้ลูกค้าได้ เท่ากับ เกิดโอกาสทางธุรกิจ – ในสมัยที่ยังเรียนอยู่ คุณคมสันต์เขาหารายได้โดยเสนอตัวไปซื้อวัตถุดิบให้ร้านค้าและร้านอาหารต่าง ๆ ที่อยู่รอบ ๆมหาวิทยาลัยกว่า 100 ร้าน เขา ตื่นตั้งแต่ตี 5 ไปจ่ายตลาดแทน แล้วพอตกเย็นก็ค่อยมาคิดเงินค่าจ้างทีเดียว ทำให้แม่ค้าตามร้านต่าง ๆ ได้ของสดใหม่ถึงที่ โดยไม่ต้องไปวิ่งตลาดเอง แถมไม่ต้องควักเงินก่อนอีกด้วย เหมือนได้เครดิตเอาของไปขายก่อน ส่วนตัวของคุณคอมสันต์ เขาก็บวกกำไรจากค่าวิ่งของเพิ่มเข้าไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งนี่คือตัวอย่างการสร้างมูลค่าเพิ่มที่ทำให้ทุกฝ่ายต่างได้ประโยชน์ซึ่งกันและกัน

  70. คุณคมสันต์เคยโดนสารพัดการโจมตีในตอนที่ธุรกิจกำลังโตใหม่ ๆ ทั้งเรื่องที่เลขาถูกจับเป็นตัวประกัน รถขนส่ง flash โดนโจรปล้น ตู้เซฟเงินสดบางสาขาถูกขโมย ฯลฯ แต่เขาก็สู้ด้วยการ อุดรูรั่วทุกทาง เช่น ทำตู้เซฟให้หนัก 100 กก. ยกไม่ไหว, เปลี่ยนวิธีการจ่ายเงินเดือนเป็น 2 รอบ เพื่อลดความเสี่ยง, ติดระบบสแกนหน้าคนขับรถเทียบเลขไมล์กับค่าน้ำมัน, เจรจากับคู่ค้าทุกเจ้าที่กีดกัน ฯลฯ จนสุดท้ายธุรกิจก็สามารถเดินหน้าต่อได้

  71. มีพันธมิตรย่อมดีกว่าเดินคนเดียว – คุณคมสันต์เขามองว่าการมีพาร์ทเนอร์ที่แข็งแกร่งเป็นเรื่องสำคัญเป็นอย่างมาก เช่น Flash Express จับมือกับ OR (ปตท.) ก็ทำให้ ต้นทุนเรื่องของน้ำมันนั้นถูกลง ทันทีและยังได้ความร่วมมืออื่น ๆ ตามมาเพิ่มเติมอีก ซึ่งการมีพันธมิตรที่ดีจึงช่วยให้ธุรกิจแข็งแรงขึ้นและสามารถลดต้นทุนได้อีกด้วย

  72. เปลี่ยนคู่แข่งให้กลายเป็นมิตร – ซึ่งหลายคนกลัวว่าการร่วมมือกับคนอื่นเยอะ ๆ เหมือนกับ “เลี้ยงเสือให้โตแล้วกลับมาถูกเสือกินซะเอง” แต่คุณคมสันต์ เขากลับมองว่า เป็นการ “เลี้ยงเสือให้เชื่อง” เพราะการช่วยเหลือหรือจับมือกันแม้กระทั่งกับคู่แข่ง จะทำให้ต่างฝ่ายต่างเติบโตไปด้วยกันอย่างสันติวิธี แทนที่จะเป็นภัยต่อกันในภายหลัง

  73. การมีหลายสินค้าจะช่วยลดความเสี่ยงให้กับธุรกิจ – โดยคุณคมสันต์เขาเตือนว่าสตาร์ทอัพไม่ควรมีมุมมองแค่ One Product หรือผลิตภัณฑ์เพียงอย่างเดียว เพราะการพึ่งพาสินค้าอย่างเดียวนั้น จะทำให้มีความเสี่ยงสูงกว่าการมีสินค้าหรือบริการหลายอย่าง ซึ่งธุรกิจที่ดีจะต้องพร้อมปรับหรือขยายไลน์ผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เพื่อลดความเสี่ยงและสามารถตอบสนองต่อความต้องการของตลาดได้หลากหลายทาง

  74. คุณคมสันต์ฝากถึงคนที่อยากทำบริษัทสตาร์ทอัพ โดยให้ลองถามตัวเองดูก่อนว่า “พร้อมรับความล้มเหลวจริง ๆ ไหม? สามารถยอมสละเวลาชีวิตส่วนตัวได้หรือไม่? และสามารถปล่อยวางชื่อเสียงและอำนาจได้หรือเปล่า?” ซึ่งถ้าไม่พร้อมก็อย่าฝืน เพราะการทำบริษัทสตาร์ทอัพจะต้องเสียสละทั้งเวลาชีวิตส่วนตัวและภาพลักษณ์เป็นอย่างมาก เพื่อลงมือทำสิ่งใหม่ ที่ไม่มีอะไรรับประกันความสำเร็จเลย

  75. คุณคมสันต์ชี้ว่าบริษัทสตาร์ทอัพในไทยมีอัตราอยู่รอดเพียงแค่ 5% เท่านั้น ดังนั้น เราต้องมั่นใจจริง ๆ ว่าเราจะเป็น 1 ใน 5% นั้น ซึ่งถ้าใครรู้ตัวว่ายังไม่มั่นใจกับไอเดียหรือไม่มั่นใจกับฝีมือของตัวเอง การเลือกที่จะไปร่วมทีมกับคนเก่ง ๆ ที่มีศักยภาพสูงอยู่แล้วอาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่าการดันทุรังลุยเดี่ยวแล้วเจ็บตัวในภายหลัง

  76. คุณคมสันต์เล่าว่า ช่วงที่เขาเคยเป็นนายหน้าอสังหาฯ ให้กับลูกค้าชาวจีน เขาพบว่าลูกค้าต้องการส่งของกลับจีนและสั่งของจากจีน เขาจึงเปิดธุรกิจขนส่งระหว่างประเทศขึ้นมาเพื่อให้บริการลูกค้าเหล่านั้น และพอลูกค้ามาใช้บริการส่งของกับเขา ก็มีความเชื่อใจและพร้อมซื้อบ้านกับเขาด้วย กลายเป็นว่าทั้งสองธุรกิจไม่ว่าจะเป็นนายหน้าอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจขนส่งต่างก็หนุนกันและสามารถสร้างรายได้เพิ่มทั้งคู่

  77. คุณคมสันต์เล่าว่าสาเหตุที่เขาเข้าสู่ธุรกิจนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ในสมัยก่อนนั้น เพราะเขาเห็น Pain Point เห็นปัญหาว่านักลงทุนจีนที่มาซื้ออสังหาฯ ในประเทศไทยนั้น มักโดนหลอกง่ายเนื่องจากสื่อสารไม่เข้าใจ ในขณะที่ตัวของคุณคมสันต์นั้นเขามีความรู้ในด้านภาษาจีนและเกี่ยวกับกฎหมายในประเทศไทย เขาจึงเข้ามาช่วยดูแลการซื้อขาย ทำให้ลูกค้าจีนที่ซื้อบ้านหรือคอนโดในไทยมีความปลอดภัย และตัวของคุณคมสันต์ก็ได้รับค่าคอมมิชชั่นเป็นกำไรก้อนโต ดังนั้น ธุรกิจก็เกิดจากการแก้ปัญหาให้กับลูกค้าได้ตรงจุดแบบนี้นี่เอง

  78. ในระหว่างที่คุณคุณคมสันต์ยังเรียนในมหาวิทยาลัยอยู่นั้น เขาทำธุรกิจไปด้วยหลายอย่างจน เรียนจบมาก็มีเงินออมหลักสิบล้านบาท ซึ่งเงินก้อนนี้นี่เองที่กลายเป็นทุนตั้งต้นสำคัญที่ทำให้เขากล้าเปิดธุรกิจเป็นของตัวเองในวัยเพียง 26 ปี ซึ่งคนในวัยเดียวกันไม่ใช่ทุกคนที่จะทำได้แบบนี้

  79. ใช้ทุกชั่วโมงให้คุ้มค่า – คุณคมสันต์เป็นตัวอย่างของคนที่จัดสรรเวลาเก่ง โดยในระหว่างเรียนเขาก็แบ่งเวลาไปทำงานพาร์ทไทม์ เป็นครูสอนภาษาจีน ควบคู่ไปด้วย และด้วยความขยันบวกกับการบริหารเวลาที่ดีนี้ ทำให้เขาสามารถเก็บเงินและสั่งสมประสบการณ์ในการทำงาน ได้มากกว่าคนทั่วไปในวัยเดียวกัน

  80. เส้นทางของสตาร์ทอัพเต็มไปด้วยเสียงวิพากย์วิจารณ์ เพราะ “เมื่อเล่าเรื่องเสียใจก็มีแต่คนซ้ำเติม แถมเมื่อเล่าเรื่องดีใจก็ถูกหาว่าโอ้อวด” คุณคมสันต์บอกว่า การเป็นผู้ประกอบการนั้นจะต้องเข้มแข็งและฝึกอยู่กับตัวเองให้ได้ อย่าไปใส่ใจกับคำพูดคนอื่นมากจนเกินไป ต้องโฟกัสที่เป้าหมายและเชื่อมั่นในการตัดสินใจของตัวเอง

  81. คุณคมสันต์เล่าว่าแทนที่จะกลัวปัญหา เขากลับมองว่าแต่ละปัญหาคือ “แรงผลัก” ที่ทำให้ทีมต้องหาทางออกใหม่ ๆ และคิดนอกกรอบอยู่เสมอ วิธีคิดแบบนี้ทำให้ Flash Express เติบโตผ่านวิกฤตหลายต่อหลายครั้ง และกลายเป็นองค์กรที่ปรับตัวได้ดีในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

  82. เส้นทางของผู้ก่อตั้งบริษัทสตาร์ทอัพนั้นโดดเดี่ยวมาก คุณต้องพร้อมลุยคนเดียว และ บางครั้งต้องฝึกอยู่กับตัวเองให้ได้จริง ๆ เพราะไม่มีใครเข้าใจสิ่งที่เรากำลังทำอยู่เท่าตัวของเราอีกแล้ว ต้องใช้ความมีวินัยและใจที่เข้มแข็ง ต้องพึ่งพาตัวเองให้ได้

  83. กล้ายอมรับเมื่อผิดพลาด แล้วรีบแก้ทันที – คุณคมสันต์เชื่อว่าความผิดพลาดเป็นเรื่องธรรมดาของคนทำงาน แต่สิ่งสำคัญคือ “ต้องกล้ายอมรับให้เร็ว และลงมือแก้ทันที” ไม่ใช่ปล่อยให้ปัญหาบานปลาย เพราะเขาเชื่อว่าความกล้าที่จะรับผิด คือจุดเริ่มต้นของความเป็นผู้นำที่แท้จริง

  84. อะไรที่คู่แข่งทำได้ไม่ดีหรือทำไม่ได้ เราจะทำส่วนนั้นให้ดีกว่าและใช้เป็นจุดขายทันที เพราะ “ทุกอย่างที่เป็นไปไม่ได้ มาจากความเป็นไปได้ในเรื่องเล็ก ๆ” คุณคมสันต์ เขากล่าวว่าถ้าเจอปัญหาใหญ่ให้ลองแตกออกเป็นปัญหาเล็ก ๆ แล้วค่อย ๆ แก้ไปทีละจุด จะทำให้ความเป็นไปได้ใหม่ ๆ จะค่อย ๆ ปรากฏขึ้นเอง

  85. ฟังเสียงลูกค้าให้มากกว่าการเดาใจ – คุณคมสันต์เน้นว่าหลายธุรกิจมักคิดแทนลูกค้าโดยไม่ถามจริง ๆ ว่าลูกค้าต้องการอะไร เขาเชื่อว่าการลงไปฟังเอง ตั้งแต่ผู้ใช้บริการรายย่อยไปจนถึงร้านค้าออนไลน์ ช่วยให้ Flash Express พัฒนาได้ตรงจุด และสร้างความพึงพอใจในระยะยาวได้จริง

  86. ขาดทุนไม่ได้น่ากลัวเท่าขาดความเข้าใจ – คุณคมสันต์เขาบอกไว้ชัดเจนว่า “การขาดทุนไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว แต่ที่น่ากลัวก็คือการควบคุมการขาดทุนไม่ได้ ไม่รู้ว่าขาดทุนเพราะอะไร” ซึ่งถ้าเรารู้สาเหตุและจำนวนตัวเลขที่ชัดเจนของการขาดทุน เราจะสามารถแก้ปัญหาได้ทันการ แต่ถ้าปล่อยให้ขาดทุนสะสมโดยไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ ธุรกิจอาจพังได้โดยไม่รู้ตัว

  87. ซีอีโอที่ดีต้องลุยงานจริงโดยไม่ห่วงภาพลักษณ์ – แม้ว่าคุณคมสันต์ เขาจะเชื่อในเรื่อง Work-Life Balance ก็จริง แต่ในการทำบริษัทสตาร์ทอัพผู้บริหารต้องทำงานแบบ Work-Life Flow คือชีวิตกับงานผสานเป็นส่วนเดียวกัน โดยเขาแนะนำว่า ช่วงเริ่มต้นบริษัท CEO ควรทุ่มเวลาส่วนใหญ่ไปกับลูกค้า ผลิตภัณฑ์ และทีมงาน ไม่ใช่เสียเวลาไปออกงานสังคมหรือ PR เพราะถ้าผลงานดีเดี๋ยวชื่อเสียงจะตามมาเองในภายหลัง

  88. คนเก่งคนเดียวไม่อาจทำธุรกิจให้รอดได้ – เพราะ “การอยู่รอดของ Startup ไม่ได้ขึ้นอยู่กับ One Man Show” โดยคุณคมสันต์เขาชี้ว่า การฝากอนาคตของบริษัทไว้กับที่คนเก่งเพียงคนเดียวมีความเสี่ยงสูง เราควรสร้างทีมที่แข็งแกร่งเพื่อลดความเสี่ยง จะส่งผลให้ธุรกิจนั้นอยู่ได้อย่างยั่งยืน

  89. คุณคมสันต์เขาเล่าว่า ครั้งหนึ่งเขาได้ทำการแจ้งข่าวกับผู้บริหารหลายคนว่า บริษัท กำลังเจอกับวิกฤต ผลก็คือมีบางคนที่ได้ลาออกไปในทันที แต่ในขณะที่บางคนเลือกที่จะอยู่สู้ต่อ เขาจึงได้ข้อคิดว่า “เมื่อเจอกับปัญหาใหญ่ เราจะเจอกับความรักที่แท้จริง” เพราะคนที่รักบริษัทจริงพวกเขาจะไม่หนีไปไหน การเผชิญวิกฤตจึงทำให้รู้ว่าใครคือทีมที่แท้จริงของเรา

  90. แบ่งย่อยปัญหาแล้วแก้ทีละส่วน – คุณคมสันต์เขามีคติว่า “ทุกครั้งที่เจอปัญหาใหญ่ ให้ทำการย่อยออกมาเป็นปัญหาเล็ก ๆ แล้วค่อย ๆ แก้ไป แล้วในท้ายที่สุดก็จะพบกับความเป็นไปได้” หมายความว่าอย่ามองปัญหาใหญ่เป็นก้อนเดียวจนท้อใจ แต่ให้แยกเป็นเรื่องย่อย ๆ ที่พอแก้ได้ และพอสะสางไปทีละจุด สุดท้าย ปัญหาใหญ่จะคลี่คลายลงเอง

  91. คุณคมสันต์เขาตั้งเป้าให้ Flash Express มีราคาแบบชั้นประหยัด แต่ให้บริการแบบชั้นหนึ่ง ความหมายคือ เขาจะพยายามควบคุมค่าใช้จ่ายให้ต่ำเพื่อที่จะสามารถคิดราคาค่าบริการในราคาถูกแก่ลูกค้าได้ และในขณะเดียวกันก็ต้องให้บริการที่ยอดเยี่ยมเหนือความคาดหมาย แนวคิดนี้ทำให้ Flash Express ชนะใจลูกค้าและเติบโตอย่างรวดเร็ว

  92. ใช้ความลำบากเป็นแรงผลัก – คุณคมสันต์เขาเติบโตมาอย่างยากลำบากที่ดอยวาวี จังหวัดเชียงราย ครอบครัวมีฐานะขัดสน พ่อแม่แยกทางกัน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ได้หล่อหลอมให้เขาเป็นคนทะเยอทะยาน พยายามหา “ทางออกให้ชีวิตตนเอง” ตั้งแต่เด็ก ๆ เขารู้ตัวว่าต้องดิ้นรนมากกว่าคนอื่นเพื่อยกระดับชีวิตและดูแลครอบครัวให้มีชีวิตที่ดีให้ได้

  93. ใช้เวลาเดินทางให้เกิดประโยชน์ – คุณคมสันต์ต้องเดินทางบ่อยมากทั้งในและต่างประเทศ เขาจึงใช้เวลาทั้งบนรถหรือบนเครื่องบินให้คุ้มค่าที่สุด ไม่ว่าจะใช้ในการประชุมออนไลน์ อ่านข้อมูลทางการตลาด หรือแม้แต่คิดแผนธุรกิจใหม่ ๆ เพราะเขาเชื่อว่า “เวลาว่าง” คือโอกาสลับในการเร่งแซงคู่แข่งได้

  94. วางแผนออกก่อนเข้าเสมอ – คุณคมสันต์เล่าว่า ไม่ว่าจะเริ่มทำโปรเจกต์ใหม่หรือเจรจาในทางธุรกิจ เขามักคิดล่วงหน้าเสมอว่า “ทางออก” ของเรื่องนั้นคืออะไร เช่น จะยุติโครงการเมื่อไหร่ถ้าไม่ได้ผลตามเป้าหมาย จะถอนตัวอย่างไรโดยไม่เสียหาย ซึ่งแนวคิดนี้ช่วยให้เขาลดความเสี่ยง และกล้าตัดสินใจเด็ดขาดเมื่อถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนแผนการ

  95. ตอบแทนความไว้วางใจของคนที่อยู่กับเรา – คุณคมสันต์บอกว่าเมื่อมีคนเชื่อมั่นในตัวเราและเดินเคียงข้างร่วมกันมา ไม่ว่าจะเป็นพนักงานหรือหุ้นส่วน เราต้องตอบแทนพวกเขาให้ดีที่สุดเท่าที่จะให้ได้ อย่างเช่นที่ Flash Express ที่เมื่อบริษัทมีกำไร เขาก็ดูแลพนักงานและเพิ่มสวัสดิการให้มากขึ้น เพื่อให้ทุกคนเติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน

  96. สามารถใช้ข้อมูลเล็ก ๆ นำไปตัดสินใจในเรื่องใหญ่ ๆ ได้ – โดยคุณคมสันต์เชื่อว่าข้อมูลบางอย่างอาจดูเล็กน้อยหรือไม่น่าสนใจในสายตาของคนทั่วไป แต่ถ้ามองให้ลึกลงไป มันสามารถบอกแนวโน้มใหญ่ ๆ ได้ เช่น จำนวนพัสดุในบางพื้นที่ ที่มีการเพิ่มขึ้นผิดปกติ อาจบอกได้ว่ากำลังมีตลาดใหม่เกิดขึ้น หรือพฤติกรรมลูกค้าเริ่มเปลี่ยน ซึ่งวิธีคิดแบบนี้ทำให้เขาสามารถตัดสินใจได้เร็วและแม่นยำกว่าคู่แข่ง

  97. ใจกล้า + ใจกว้าง + ใจนิ่ง – คุณคมสันต์ เขาสรุปคุณสมบัติ 3 ข้อที่ผู้ประกอบการสตาร์ทอัพต้องมีก็คือ 1) “ใจกล้า” ต้องกล้าเสี่ยงกล้าตัดสินใจ, 2) “ใจกว้าง” ต้องเปิดใจรับฟังและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และ 3) “ใจนิ่ง” ต้องมีสติสุขุมไม่ตื่นตระหนกง่าย ซึ่งคุณสมบัติทั้งสาม ใจ นี้จะช่วยให้สตาร์ทอัพผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากและอยู่รอดได้ในระยะยาวได้

  98. คุณคมสันต์เชื่อว่า การเริ่มต้นทำก่อนอาจได้เปรียบ แต่นั่นมันก็ไม่ได้การันตีว่าจะประสบความสำเร็จ เขาจึงโฟกัสที่การทำให้ดีกว่าเดิมในสิ่งที่ตลาดมีอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการส่งพัสดุถึงบ้าน การตั้งราคาที่เข้าถึงได้ หรือการให้บริการที่ตอบโจทย์ลูกค้ามากขึ้น แนวคิดนี้ทำให้ Flash Express สามารถแซงคู่แข่งรายใหญ่ ๆ ที่เริ่มก่อนหลายเจ้าได้ในเวลาไม่นาน

  99. คุณคมสันต์ไม่จำกัดตลาดแค่ในประเทศไทย แต่เขาได้เดินทางไปดีลงานต่างประเทศเองตั้งแต่ช่วงแรก ๆ ไม่ว่าจะเป็น อเมริกา ญี่ปุ่น เกาหลีหรือจีน เพื่อสร้างเครือข่ายพันธมิตรสายการบินและหาลูกค้านอกประเทศ ซึ่ง การกล้าคิดในระดับสากล นี้ ทำให้ Flash Express สามารถขยายบริการไปในหลายประเทศได้ในเวลาไม่นานและมีศักยภาพรองรับลูกค้าข้ามชาติ

  100. ลงมือทำเองจนรู้จริง – คุณคมสันต์ในช่วงแรกเขาต้องลงไปคลุกคลีกับงานแบบ 100% เพราะถ้าผู้นำไม่เคยลงมือทำงานเองให้แบบรู้ลึกรู้จริง มันก็เหมือนกับต้นไม้ที่ไร้รากยึดเหนี่ยว สุดท้ายองค์กรก็จะไม่มั่นคง ดังนั้นผู้บริหารควรลุยงานให้รู้จริงตั้งแต่แรกก่อนจะถอยออกมาบริหารภาพใหญ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Resources

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *