Site icon Blue O'Clock

8 เคล็ดลับในการสร้างเงินล้านออนไลน์ by Noah Kagan อดีตพนักงานคนที่ 30 ของ Facebook

Noah Kagan - โนอาห์ เคแกน

Noah Kagan อดีตพนักงานคนที่ 30 ของ Facebook ที่ถูกไล่ออกแบบสายฟ้าแล่บ เพราะไม่ลงรอยกับทีมผู้บริหาร จนถูกยึดหุ้น Facebook คืน ซึ่งคิดเป็นมูลค่า ณ ตอนนั้นกว่า 170 ล้านเหรียญฯ หรือกว่า 5,440 ล้านบาท โดยเขาได้แชร์ประสบการณ์อย่างละเอียดในหนังสือของเขาที่ชื่อว่า How I Lost 170 Million Dollars: My Time as #30 at Facebook

ส่วนในโพสต์นี้ Noah Kagan จะมาแชร์ประสบการณ์และความรู้ที่เขาใช้ในการนำพาตัวเอง ที่เริ่มต้นจากพนักงานออฟฟิศธรรมดา ๆ สู่การเป็นเจ้าของกิจการเงินล้านได้ในที่สุด โดย ณ ปัจจุบันเขาเป็นผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ Appsumo.com ที่เป็นเว็บขายดีลเครื่องมือออนไลน์ต่าง ๆ ให้แก่ผู้ประกอบการ ที่ใช้ช่องทางออนไลน์ในการทำการตลาดและการขายเป็นหลัก เช่น ซอร์ฟแวร์ช่วยในการสร้างเว็บไซต์, รูปภาพถูกลิขสิทธิ์ออนไลน์, ซอร์ฟแวร์ตกแต่งภาพดิจิตอล, ซอร์ฟแวร์การทำการตลาดออนไลน์ ฯลฯ

โดย 1 ล้านดอลล่าร์ ถ้าตีเป็นเงินไทยก็ตกอยู่ที่ประมาณ 30 ล้านกว่าบาท โดย Noah Kagan ได้แจกแจงให้ดูว่า แหล่งรายได้หลักของเขานั้น มาจากช่องทางใดบ้าง

หากรวมรายได้ทุกช่องทางแล้ว เขาก็จะมีรายได้เฉลี่ยอยู่ที่เดือนละ $83,333 หรือประมาณ 2.5 ล้านบาทต่อเดือน ซึ่งคุณจะสังเกตได้ว่า รายได้กว่า 97% นั้นมาจาก Appsumo เป็นหลัก ก็ตามกฎ 80/20 หรือจะ 90/10 ที่รายได้ส่วนใหญ่กว่า 80-90% นั้นมาจาก 1-2 แหล่ง นั่นเท่ากับว่าแต่ละคนหากโฟกัสที่การทำอย่างใดอย่างหนึ่งให้เจ๋ง ๆ ไปเลยก็มีรายได้มากพอแล้ว เช่น Mark Zuckerberg ก็มี Facebook อย่างเดียวก็เหลือแหล่แล้ว

ส่วนถ้าใครมองว่าจู่ ๆ เขาก็ได้เป็นเศรษฐีเงินล้านขึ้นมาในเวลาอันรวดเร็วแล้วนั้นไม่ใช่ความจริงเลยแม้แต่น้อย เพราะหากย้อนกลับไปตั้งแต่ช่วงหลังเรียนจบ เมื่อตอนที่เขาอายุได้ประมาณยี่สิบต้น ๆ หลังจากเรียนจบเขาได้เข้าทำงานเป็นพนักงานออฟฟิศก่อน

โดย Noah Kagan ให้ได้ข้อคิดว่า “Play the long game reinvest your profits” หมายถึง จงเล่นเกมธุรกิจในระยะยาว จงนำผลกำไรที่บริษัทคุณทำได้นำไปลงทุนต่อภายในบริษัทให้เติโตอย่างรวดเร็ว แข็งแกร่งและมั่งคง

ซึ่งถ้านับตั้งแต่เริ่มต้นทำงาน กว่าที่เขาจะกลายเป็น Millionaire หรือเศรษฐีเงินล้านนั้นเขาต้องใช้เวลาทำงานจริงจังอยู่ถึง 14 ปีเต็มด้วยกัน มันไม่ได้ใกล้เคียงกับคำว่า success overnight หรือรวยข้ามคืนเลยแม้แต่น้อย

และนี่คือ 8 กุญแจสำคัญ ที่ทำให้เขากลายเป็นเศรษฐีเงินล้านได้ในที่สุด

กุญแจดอกที่ 1 – Low cost of living ใช้จ่ายให้น้อยเข้าไว้

โดยกุญแจสำคัญก็คือ ค่าเช่าบ้าน ค่าเช่ารถ ค่าเดินทางนั้น พยายามทำให้มีค่าใช้จ่ายที่ต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยส่วนตัวของ Naoh Kagan นั้น เขาอาศัยอยู่บ้านเช่าเล็ก ๆ ธรรมดา ๆ มาก ๆ

ส่วนรถยนต์ก็ใช้รถเก๋งธรรมดา กันแดด กันฝนได้ก็พอ แถมถ้าได้ที่พักที่ใกล้กับที่ทำงานได้จะยิ่งดีมาก เพราะจะประหยัดได้ทั้งเวลาและค่าเดินทาง ซึ่งออฟฟิศของ Noah Kagan นั้นอยู่ใกล้กับที่ทำงานมาก โดยเขาใช้รถสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าคันเล็ก ๆ ที่สามารถขี่ไปทำงานได้ในเวลาอันรวดเร็ว แถมยังประหยัดน้ำมันอีกด้วย

กุญแจดอกที่ 2 – The ten years rule กฎเหล็ก 10 ปี

จากเรื่องราวการเป็นเศรษฐีเงินล้านข้างต้นของเขา คุณก็จะเห็นได้ว่า เขาใช้เวลาเกินกว่า 10 ปี ที่กว่าจะมายืน ณ จุด ๆ นี้ได้ มันไม่ใช่การรวยแบบชั่วข้ามคืน ซึ่งกฎ 10 ปี นี้ ถือได้ว่าเป็นกฎเหล็กที่เขายึดถือให้เป็นสิ่งสำคัญมากที่สุด โดยมีกุญแจสำคัญที่จะทำให้กฎนี้ใช้ได้อย่างสมบูรณ์แบบนั่นก็คือ

กุญแจดอกที่ 3 – Business is no limit to the amount of money ธุรกิจไม่มีเพดานรายได้

การทำงานประจำนั้นมีข้อจำกัดเรื่องรายได้ เพราะต่อให้คุณขยันมากแค่ไหน รายได้มันก็จะมีเพดานของมันอยู่ ยกเว้นในบบริษัทนั้นคุณจะได้รับผลประโยชน์จากการถือหุ้น หรือไม่ก็ทำในตำแหน่งที่หาเงินเข้าบริษัทอย่างเช่น นักขาย ที่แม้มีเงินเดือนไม่สูงมากนัก แต่หากยิ่งขายได้เยอะ รายได้ก็จะเยอะตามไปด้วย แต่ค่าคอมมิชชั่นหรือส่วนแบ่งค่านายหน้าจากเปอร์เซ็นต์การขายนั้น

ในขณะที่การสร้างบริษัทของตัวเองนั้น มันขึ้นอยู่กับความสามารถของคุณเลยว่า หากสามารถหาลูกค้าได้เยอะ ช่วยเหลือ ช่วยแก้ไขปัญหาให้กับลูกค้าได้เยอะมากเท่าไหร่ คุณก็ยิ่งได้รับรายได้มากขึ้นเท่านั้น

กุญแจดอกที่ 4 – Leverage ใช้พลังทวี

หลัก ๆ การใช้พลังทวีในการขยายธุรกิจให้เติบโตจนสามารถเป็นเศรษฐีเงินล้านได้นั้น เขาใช้อยู่ด้วยกันสองวิธีก็คือ

กุญแจดอกที่ 5 – Enjoy จงหาธุรกิจที่คุณสนุกกับการหาเงินจากมัน

ส่วนตัวของ Noah Kagan นั้น เขาไม่ได้ชอบหรือสนุกกับการลงทุนในหุ้นเหมือนอย่างที่ Warren Buffett รักเป็นชีวิตจิตใจ ดังนั้นอย่าฝืนในสิ่งที่คุณไม่ชอบและไม่ถนัด ดังนั้นในส่วนของการลงทุนในหุ้น คุณก็อาจจะจ้างและมอบหมายให้ใครสักคนที่เก่งในด้านนี้ดูแลแทนคุณจะดีกว่า

โดยการที่จะประเมินว่า อะไรคือสิ่งที่คุณทำแล้วคุ้มมากที่สุด ให้วัดผลจาก ROI – Return On Investment ที่หมายถึง เมื่อลงทุน ลงเงิน ลงมือทำงานชิ้นนั้นแล้ว การทุ่มเวลา ทุ่มพลังงาน และแฮปปี้ที่จะทำนั้น มันส่งผลลัพธ์หรือสร้างรายได้ ได้คุ้มค่าหรือไม่ เพราะโดยปกติของคนเรานั้น หากทำอะไรด้วยความสนุก มันจะส่งผลให้ทำงานนั้น ๆ ได้ดีกว่าคนอื่น ๆ และเมื่องานมันออกมาดีกว่าคนอื่น ๆ คุณก็มีสิทธิที่จะได้ผลตอบแทนที่ดีกว่าคนอื่น ๆ นั่นเอง

กุญแจดอกที่ 6 – Double down แทงเพิ่มสองเท่า

นี่คือกลยุทธ์หลักที่ Noah Kagan ใช้ในการทำให้เขากลายเป็นเศรษฐีเงินล้าน นั่นก็คือการ Re-investment หรือการเพิ่มเงินลงทุนในธุรกิจ Appsumo ในตลอดช่วง 7 ปีแรกของการทำบริษัท ที่เขาไม่รับเงินโบนัสเลย ซึ่งแน่นอนว่าการเพิ่มเงินลงทุนมันก็มีความเสี่ยง แต่มันคุ้มที่จะเสี่ยง เพราะคุณรู้ดีว่า สิ่งนั้นมันมีโอกาสเติบโต และเป็นแหล่งสร้างรายหลักตามกฎ 80/20 หรือกฎ 90/10 ที่ Appsumo ของเขานั้น เป็นแหล่งรายได้หลักกว่า 97% เมื่อเทียบกับรายได้จากทุกช่องทาง

ดังนั้น คุณมีหน้าที่วิเคราะห์ว่า สิ่งใดที่คุณลงทุนแล้ว มีโอกาสสร้างผลลัพธ์ได้ดีที่สุด บางคนอาจเป็นอสังหาฯ บางคนอาจเป็นหุ้น บางคนอาจเป็นซอร์ฟแวร์ บางคนอาจเป็นการให้บริการ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม จงลงทุนในสิ่งที่เหมาะสมกับคุณมากที่สุด

กุญแจดอกที่ 7 – Solve your problem first เริ่มต้นที่การแก้ปัญหาให้กับตัวเองก่อนเป็นอันดับแรก

จากกฎ 10 years rule นั้น ให้คุณเริ่มต้นที่ตัวของคุณเองก่อนว่า คุณสนใจเรื่องใดเป็นพิเศษจริง ๆ อย่าทำตามกระแสเพียงเพราะเห็นคนนั้นคนนี้โพสต์ว่าเขาทำเงินได้อย่างมากมาย ไม่ว่าจะรวยจากการปลูกมะนาวขาย, บางคนขายครีมรวย บางคนทำอสังหาฯ รวย บางคนทำอีคอมเมิร์ซรวย ซึ่งหากคุณมีเป้าเพียงแค่ตัวเงินเพียงอย่างเดียว คุณก็จะไขว้เขวเวลาที่เจอเรื่องราวแบบนี้ คุณก็จะไปทำอันนั้นทีอันนี้ที เปลี่ยนไปเรื่อย ไม่ประสบความสำเร็จสักกะที แล้วก็เกิดอาการซึมเศร้าว่าทำไมฉันทำไม่ได้อย่างเขาบ้าง

ในขณะที่อย่างน้อย คุณทำในสิ่งที่ตัวเองชอบตลอดระยะเวลา 10 ปี อย่างน้อยต่อให้คุณไม่ได้เงินจากมันเลย แต่คุณก็ยังคงมีความสุขที่ได้ทำมัน

กุญแจดอกที่ 8 – Surround yourself with the right people รายล้อมไปด้วยคนที่ใช่

โดย Noah Kagan แบ่งคนที่ใช่ออกเป็น 2 กลุ่มก็คือ

เพราะก่อนที่เขาจะกลายเป็นเศรษฐีเงินล้านนั้น เขาได้ติดตามคนเหล่านี้ จนกระทั่งกลายเป็นเศรษฐีเงินล้านขึ้นมาจริง ๆ และเขาก็ติดตามคนเหล่านี้ต่อไป

แล้วหลังจากที่กลายเป็นเศรษฐีเงินล้านแล้วรู้สึกยังไง?

Noah Kagan เล่าให้ฟังว่า หลังจากที่เขากลายเป็นเศรษฐีเงินล้าน เขาก็ได้กลับไปเยี่ยมคุณพ่อที่บ้านแล้วก็บอกกับพ่อว่า “พ่อครับปีนี้ผมทำเงินได้ 1 ล้านดอลล่าร์ฯ ครับ” โดยพ่อของเขาก็ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงธรรมดา ๆ ว่า “โอเค Noah เยี่ยมมาก”

ซึ่งถามว่า หลังจากเป็นเศรษฐีเงินล้านแล้วนั้น ภาพฝันของเขาก็น่าจะประมาณว่า มีการจัดงานฉลองใหญ่โต มีป้ายแห่บนท้องถนนยินดีกับเขา แต่กลับกลายเป็นว่า มันก็เป็นชีวิตที่คุณจะต้องดำเนินต่อไป ไม่ได้มีอะไรพิเศษมากมายขนาดนั้น

ดังนั้นหากวันนี้ถ้าคุณคิดว่า คุณเป็นเศรษฐีเงินล้านแล้วจะมีความสุขมากขึ้น จะเอาเงินไปซื้อความสุข ซึ่งอันที่จริง ณ ตอนนี้ คุณสามารถมีความสุขได้ในทันที ได้มากเท่าที่คุณต้องการอยู่แล้ว เพราะความสุขในหลาย ๆ เรื่องไม่ต้องใช้เงินเลยก็มี

ดังนั้น หากในวันนี้คุณไม่ได้เป็นเศรษฐีเงินล้าน ก็ไม่เป็นไร เพราะขนาดของความฝันแต่ละคนไม่เท่ากัน บางคนพอใจเงินแสน บางคนพอใจเงินหมื่น ให้คุณลองคำนวณดูว่า ความฝันของคุณต้องมีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ ต้องมีเงินซับพอร์ทความฝันนั้นเท่าไหร่ก็หาเท่านั้น เพราะไม่เช่นนั้น ตลอดชีวิตของคุณก็จะเอาแต่ไล่ล่าหาเงินไม่มีจุดที่สิ้นสุด หลายต่อหลายคนก็โดนความโลภเข้าครอบงำ มีล้านอยากได้สิบล้าน มีสิบล้านอยากได้ร้อยล้าน มีร้อยล้านอยากได้พันล้าน มันไม่มีจุดสิ้นสุดจริง ๆ

คำถามที่ Noah Kagan ตั้งคำถามที่น่าสนใจมาข้อหนึ่งก็คือ ในเมื่อคนรวย ๆ อย่าง Warren Buffett, Bill Gates หรือ Mark Zuckerberg มีเงินอย่างมากมายชนิดที่ว่าใช้ในชาตินี้เท่าไหร่ก็ไม่หมด แต่พวกเขาทำไมยังคงทำงานอยู่ ซึ่งนั่นก็เพราะ พวกเขารักในสิ่งที่ทำ ชอบทำ สนุกที่จะทำนั่นเอง

Resources

Exit mobile version