Blue O'Clock

สตูดิโอผลิตและพัฒนาสื่อการเรียนรู้ด้านการลงทุน ธุรกิจ จิตวิทยาและการพัฒนาตนเอง อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

Bitcoin and Cryptocurrency

วิธีสร้างความมั่งคั่งร่ำรวยในยุค Bitcoin by Raoul Pal [FULL EPISODE]

Raoul Pal คืออดีตผู้บริหารจากบริษัทการลงทุนยักษ์ใหญ่อย่าง Goldman Sachs ที่เขาผันตัวเองจากโลกการเงินแบบดั้งเดิมสู่โลกการเงินในวงการ crypto ซึ่งสไตล์การลงทุนของเขานั้นจะเน้นที่การมองภาพรวมใหญ่ของตลาดเงินทั้งโลก ดังนั้นมุมมองของเขาจึงเป็นสิ่งที่เราควรฟังและนำไปพิจารณาต่อว่า เขามีมุมมองอย่างไรต่อการลงทุนในโลกของ crypto


กระดานซื้อขายแลกเปลี่ยน Bitcoin & Cryptocurrency

อันดับ 1 ของไทย คนส่วนใหญ่นึงถึง Bitkub

อันดับ 1 ของโลก คนส่วนใหญ่นึกถึง Binance


*หมายเหตุ : คอนเท้นต์นี้ไม่ใช่การแนะนำในการลงทุน เป็นการจัดทำเพื่อเป็นกรณีศึกษาจาก Raoul Pal เท่านั้น ผู้ลงทุนควรศึกษาและตัดสินใจลงทุนด้วยตัวท่านเอง

ทำไมต้องให้ความสนใจในโลกของ Crypto?

Raoul Pal คืออดีตผู้บริหารจากบริษัทการลงทุนยักษ์ใหญ่อย่าง Goldman Sachs ที่เขาผันตัวเองจากโลกการเงินแบบดั้งเดิมสู่โลกการเงินในวงการ crypto ซึ่งสไตล์การลงทุนของเขานั้นจะเน้นที่การมองภาพรวมใหญ่ของตลาดเงินทั้งโลก ดังนั้นมุมมองของเขาจึงเป็นสิ่งที่เราควรฟังและนำไปพิจารณาต่อว่า เขามีมุมมองอย่างไรต่อการลงทุนในโลกของ crypto

โดยเนื้อหาในคอนเท้นต์นี้เป็นการสัมภาษณ์จาก Youtube ช่อง Minority Mindset ที่สัมภาษณ์ Raoul Pal โดยเปิดประเด็นคำถามอย่างหนักหน่วงตั้งแต่นาทีแรกว่า “เพราะเหตุใดผู้คนจึงต้องให้ความสนใจใน cryptocurrency ตอนนี้ เดี๋ยวนี้ และ cryptocurrency จะเปลี่ยนแปลงโลกนี้ยังไง?”

เริ่มต้นกันที่ ทำไมผู้คนจึงต้องให้ความสนใจในโลกของ cryptocurrency ณ ตอนนี้ เดี๋ยวนี้ นั่นก็เป็นเพราะ นี่คือเทคโนโลยีที่เติบโตเร็วที่สุดตั้งแต่มีการบันทึกในประวัติศาสตร์ของมนุษย์โลกเลยก็ว่าได้ ซึ่งก่อนหน้านี้ก็เกิดจากเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตมาก่อน ซึ่งย้อนกลับไปในปี 1990 ถึงปี 2000 ในยุคนั้นอินเตอร์เน็ตมีการเติบโตอยู่ที่ราว ๆ เฉลี่ย 63% ต่อปี ซึ่งในปี 1997 มีผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตอยู่ที่ราว ๆ 150 ล้านคนทั่วโลก ซึ่ง ณ ตอนที่เราคุยกันอยู่นี้ในปี 2021 ผู้มีผู้ใช้งาน crypto แล้วราว ๆ 150-200 ล้านคนทั่วโลก โดยมีอัตราการเติบโตของผู้ใช้งานเฉลี่ย 113% ต่อปี ซึ่งโตเร็วเป็นสองเท่าเมื่อเทียบกับยุคของอินเตอร์เน็ต

แล้วสิ่งนี้มันหมายถึงอะไร สิ่งนี้มันหมายถึงการเติบโตของ Network หรือเครือข่ายผู้ใช้งาน มันเป็นยุคการเติบโตของ Network of Money, Network of Value หรือ เครื่อข่ายของเงินหรือเครือข่ายของผู้สะสมคุณค่า

ซึ่งหากเปรียบเทียบในยุคอินเตอร์เน็ต Network หรือเครือข่ายที่ทรงพลังและเป็นยักษ์ใหญ่ในวงการนี้ก็คือ Facebook ที่เรามักจะคุ้นหูกับคำว่า Social Network หรือสังคมเครือข่ายผู้ใช้งาน ที่เฉพาะ Facebook เจ้าเดียวก็มีมูลค่ากว่า $1 Trillion Dollar เข้าไปแล้ว

ซึ่งเราจะเห็นได้ว่า มีเศรษฐกิจและธุรกิจเกิดขึ้นใหม่อย่างมากมายบนตัวของ Facebook อีกทีหนึ่งที่เจ้าของธุรกิจสามารถใช้ประโยชน์จากการเชื่อมต่อกันของผู้คนบน Social Network ในการสร้างรายได้ ได้อย่างมหาศาล และเช่นเดียวกันทาง Facebook เองก็สามารถทำรายได้จากการให้บริการการเชื่อมต่อของผู้คนในการทำเงินเข้าบริษัทตนเองได้อย่างมหาศาลด้วยเช่นกัน

ดังนั้นการที่ Facebook สามารถหาประโยชน์ได้จาก Social Network ก็ส่งผลให้ผู้ถือหุ้นรวยเละ แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้ผู้ใช้งานบน Facebook หัวสมองเละเช่นเดียวกัน เพราะโดน Feed ถล่มใส่หน้าจอในแต่ละวัน

แต่เมื่อพูดถึง Network ในโลกของ crypto แล้วนั้นกลับแตกต่างออกไป เพราะจากเดิมที่ Social Network นั้นมีเจ้าของเป็นผู้คุม แต่ในขณะที่โลกของ crypto นั้น ผู้ที่ใช้งานก็กลับเป็นเจ้าของร่วมใน network ด้วยเช่นกัน ยกตัวอย่างจากเครือข่ายของ bitcoin ซึ่งคนที่เข้ามาใช้เครือข่ายนี้ก็คือหนึ่งในสมาชิกของ network และในขณะเดียวกันก็เป็นเจ้าของ bitcoin ส่วนหนึ่งไปด้วย

Robert Metcalf : Metcalf’s law (Image credit : https://www.peterfisk.com/2020/02/metcalfes-law-explains-how-the-value-of-networks-grow-exponentially-there-are-5-types-of-network-effects/)

ดังนั้นยิ่งมีผู้ใช้งานเข้ามามากขึ้นเท่าไหร่ ก็จะยิ่งทำให้ Network Effect นี้มีความแข็งแกร่งเพิ่มมากขึ้น ตามกฏของ “เมตคาล์ฟ” (Metcalfe’s law) ที่คุณค่าสิ่งนั้นมันจะมีคุณค่าเพิ่มมากยิ่งขึ้นก็ต่อเมื่อมีผู้ใช้งานเพิ่มมากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ ยกตัวอย่าง เช่น เครือข่ายโทรศัพท์นั้น จะไม่มีค่าอะไรเลย หากมีเราใช้งานแค่คนเดียว เพราะถ้าเราใช้งานแค่คนเดียวเราก็ไม่รู้จะใช้มันเพื่อโทรหาใคร มันก็ไม่ต่างอะไรกับของตั้งโชว์ชิ้นหนึ่ง

Image credit : https://embrkbusiness.medium.com/knowledge-and-metcalfes-law-f0bc13a33db3

หรืออย่าง Facebook ก็จะไม่มีค่าอะไรเลย หากมีเราใช้แค่คนเดียว ไม่มีเพื่อน ๆ คนไหนมาใช้งานมันเลย

เช่นเดียวกันกับในโลกของ crypto นั้นจะมีมูลค่าเพิ่มมากขึ้นจากการที่ผู้คนเข้ามาใช้งานเป็นจำนวนมาก และจากสถิติก็เห็นว่า มันมีอัตราการเติบโตของผู้ใช้งานที่เร็วที่สุดในโลก เร็วกว่ายุคของอินเตอร์เน็ตถึงสองเท่า

ดังนั้นจากคำถามที่ว่า ทำไมเราจึงต้องแคร์ ต้องสนใจในการมาของโลก crypto โดยเราสามารถดูเทียบได้จากโลกของอินเตอร์เน็ตในช่วงปี 1997 ซึ่ง หาก ณ ตอนนั้น ใครก็ตามที่สามารถเกาะเทรนด์อินเตอร์เน็ตได้ก่อน ก็จะเป็นผู้ที่ได้เปรียบและสามารถสร้างมูลค่าได้อย่างมหาศาล ดังนั้น นี่คือช่วงเวลาที่ดีที่สุด โอกาสที่ดีที่สุดอีกครั้งหนึ่งของมนุษยชาติ ที่สามารถใช้โอกาสนี้ในการเข้าตลาด crypto ก่อนใคร เพราะตอนนี้มีผู้ใช้งานทั่วโลกแค่เพียง 150-200 ล้านคนเท่านั้น ในขณะที่ผู้คนบนโลกที่มีเกือบ ๆ 8 พันล้านคน

ดังนั้นหากลองมองในมุมของคณิตศาสตร์กันสักหน่อยก็จะพบว่า หากอัตราการเติบโตผู้ใช้งานบนโลก crypto ยังคงอยู่ในอัตรานี้อยู่ ที่ราว ๆ 113% ต่อปี ซึ่งทาง Raoul Pal ต่อให้เหลือแค่ 83% ต่อปี ก็จะได้ว่า นับไปจากปัจจุบันที่มีผู้ใช้งานราว ๆ 150-200 ล้านคน มันจะเติบโตเป็นพันล้านคนภายในปี 2024 หรือนับจากนี้ไปอีกแค่เพียง 3 ปีเท่านั้น! และมันจะพุ่งขึ้นเป็น 4 พันล้านคนภายในช่วง 10 ปีต่อจากนี้

ซึ่งถ้าโลก crypto คือโลกของเครือข่ายของเงินหรือ Money Network แล้วล่ะก็ มูลค่าของตลาดนี้จะพุ่งขึ้นอย่างมหาศาล โดยคุณจะเห็นได้จากการมาของโลกอินเตอร์เน็ต ที่ก่อให้เกิดระบบเศรษฐกิจใหม่ ธุรกิจแบบใหม่ ที่เติบโตแบบก้าวกระโดดอย่างมากมายทั่วทั้งโลก

ทีนี้มาดูตัวเลขขนาดตลาดเงินกันบ้าง โดย ณ ตอนนี้มูลค่าของตลาด crypto อยู่ที่ราว ๆ $2 Trillion โดยเป็น bitcoin ประมาณ $1 Trillion ซึ่งก็ฟังดูเหมือนเยอะแล้ว เพราะขนาดของ Facebook เจ้าเดียวก็ยังมีขนาดตั้ง $1 Trillion

แต่พอไปดูขนาดของตลาดทรัพย์สินอื่น ๆ (Asset) ก็จะพบว่า ไม่ว่าจะเป็นตลาดอสังหาริมทรัพย์(Real Estate)หรืออย่างตลาดตราสารหนี้(Bond) เหล่านี้แต่ละตลาดมีมูลค่าสูงถึง $100 – $300 Trillion กันแทบทั้งสิ้น ดังนั้นหากว่ากันตามตัวเลขสถิติแล้วก็จะพบว่า โอกาสที่ตลาด crypto จะเติบโตนั้นมีโอกาสเติบโตไปที่ $100-$300 Trillion ได้เช่นกัน หรือโอกาสที่ตลาด crypto จะเติบโตนั้นมีได้อีกเป็น 100 เท่า (ซึ่งหมายถึงทั้งตลาดนะครับ ไม่ใช่เฉพาะเหรียญใดเหรียญหนึ่ง)

และความพิเศษอย่างหนึ่งที่ crypto นั้นมีไม่เหมือนตลาดแบบดั้งเดิมก็คือ มันมีเรื่องของเทคโนโลยี blockchain ที่สามารถทำให้ผู้คนสามารถกักเก็บมูลค่าหรือ store of value ไว้กับตนเองได้โดยที่ไม่ต้องพึ่งตัวกลางอย่างธนาคารหรือสถาบันการเงินต่าง ๆ เพราะผู้คนสามารถเก็บมันไว้บน blockchain ได้ด้วยตนเองได้เลย โดยนี่จะเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่จะเป็นจุดเปลี่ยนในการเกิด Business Model ใหม่ ๆ ในโลกธุรกิจ

ยกตัวอย่างเช่น ไม่ว่าราคาของ bitcoin ในวันนั้นจะเป็นเท่าไหร่ จะกี่ล้านบาทก็ตามที แต่มันสามารถแบ่งแยกย่อยได้ถึง 8 จุดทศนิยม นั่นหมายความว่า ต่อให้คุณมีเงินแค่ 10 บาท ก็สามารถเริ่มซื้อ bitcoin ได้แล้วอย่างในไทยก็ Bitkub หรืออย่างบน Binance ก็เริ่มต้นที่ $10 และหลังจากที่เราโอน bitcoin จาก Exchange กระดานเทรดไปยังกระเป๋าดิจิตอลบน blockchain เรียบร้อยแล้วนั้น อำนาจในการควบคุมเงินเป็นของเราทั้งหมด ปราศจากตัวกลางอย่างธนาคาร ที่ต้องใช้ความไว้เนื้อเชื่อใจเป็นอย่างมาก และบวกกับกฎข้อบังคับต่าง ๆ ที่อำนาจทั้งหมดขึ้นอยู่กับธนาคารไม่ใช่กับผู้ใช้งานอย่างเรา ๆ

แต่อย่างที่เรารู้ว่าในช่วงปี 2020 ถึง 2021 ที่ผ่านมาทางรัฐบาลกลางสหรัฐฯ มีการปริ้นท์เงินกระดาษเป็นจำนวนมหาศาลมาก นั่นมันทำให้ค่าเงินดอลล่าร์ถูกลดทอนลง เพราะอย่างที่เรารู้กันดีอยู่แล้ว ว่าอะไรที่มีมากจนเกินไปคุณค่าของมันด้อยลง ดังนั้นนี่จึงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ผู้คน เริ่มพากันย้ายเงินของตนเองจากธนาคารเข้าสู่โลก crypto

และแน่นอนว่าเหล่าบรรดาธนาคารไม่ชอบที่ผู้คนกำลังนำเงินออกจากระบบแบงค์ไปสู่โลกคริปโทฯ ดังนั้น กลยุทธ์การปริ้นท์เงินดอลล่าร์ของพวกเขา มีประโยชน์แอบแฝงที่เกิดขึ้นกับเหล่าบรรดาประชาชนส่วนใหญ่ที่ยังคงเป็นหนี้ธนาคารอยู่ นั่นก็คือ เมื่อทำการปริ้นท์เงินจำนวนมาก มันก็จะส่งผลให้ค่าเงินลดลง ก็เหมือนกับคนที่เป็นหนี้แบงค์มีหนี้เพิ่มมากขึ้น ในขณะที่ค่าแรงไม่ได้เพิ่มขึ้นตามไปด้วย ทำให้ต่อให้ขยันหรือพยายามทำงานหาเงินมากเท่าไหร่ ก็ไม่สามารถใช้หนี้ได้หมดง่าย ๆ ดังนั้นผู้คนก็จะยังคงอยู่ในระบบของแบงค์อยู่ ไปไหนไม่ได้ แถมพอค่าเงินลดลง เวลาใครสักคนจะไปหาซื้อ Asset หรือทรัพย์สินติดตัวเอาไว้ ก็จะพบว่าราคาของทรัพย์สินต่าง ๆ ก็พากันขึ้นราคาไปอีก ดังนั้นจะเห็นได้ว่า คนไหนที่เป็นหนี้ธนาคารแล้วต้องการที่ออกจากระบบนี้ด้วยการไปสั่งสมความมั่งคั่งจากการซื้อทรัพย์สินที่แพงขึ้นด้วยนั้น เป็นไปได้ยากมากขึ้น

และธนาคารทั่วโลกต่างก็กำลังตื่นตัวเรื่องของการสร้างสกุลเงินของธนาคารเองอย่าง CBDC : Central Bank Digital Currency ที่แม้ว่าจะเป็นสกุลเงินดิจตอล แต่มันก็ยังมีค่าเท่ากับเงินกระดาษที่ถูกด้อยค่าลงในทุก ๆ ปี เฉกเช่นเดียวกันกับเงิน fiat เหมือนเดิมนั่นแหละ แต่เพิ่มเติมคือมันเก็บ data หรือข้อมูลได้ง่ายขึ้น ส่งผ่านได้ง่ายขึ้น

ส่วน ณ ตอนนี้เหล่าบรรดาธนาคารอาจจะยังไม่มองว่า bitcoin มันเป็นคู่แข่งตัวฉกาจมากนัก เพราะมันมีขนาดแค่เพียง $1 Trillion เท่านั้น มันเล็กมากเมื่อเทียบกับปริมาณเงินทั้งโลก ดังนั้นพวกเขาอาจจะนับมันเป็นคู่แข่งที่สูสีในอีก 10-20 ปีข้างหน้า ก็ค่อยมาดูกันอีกทีว่าอะไรจะเกิดขึ้น

คำถามต่อมาก็คือ ตกลงแล้วผู้คนใช้ crypto เป็นเงินหรือเป็นทรัพย์สินในการลงทุนกันแน่ โดย Roual Pal ก็ตอบว่า มันเป็นทั้งสองอย่าง ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล

เพราะในเวลานี้ ผู้คนส่วนใหญ่ก็ยังเลือกที่จะเก็บเงินไว้ในธนาคาร แต่ก็เริ่มมีคนบางกลุ่มที่เริ่มย้ายเงินจากธนาคารมาอยู่บนโลกคริปโทฯ กัน แต่ก็ยังถือว่าเป็นสัดส่วนที่น้อยมาก ส่วนของ Roual Pal เขาก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับเงินดอลล่าร์ เพราะเขาก็ยังใช้เงินดอลล่าร์ในการแปลกเปลี่ยนไปเป็น cryptocurrency แต่เขายอมรับว่า สำหรับเงินฝากทั้งหมดในธนาคารนั้น เขาย้ายไปเก็บอยู่บนโลก crypto แล้วจำนวน 100% และต้องยอมรับว่าการลงทุนในโลก crypto นั้นมีความเสี่ยงสูงมาก แต่เขาก็ยอมรับความเสี่ยงนั้นได้

แล้วคำถามก็มาก็คือ แล้วถ้าเอาเงินทั้งหมดไปลงในโลก crypto แล้ว จะเอาเงินที่ไหนกินที่ไหนใช้ในโลกปัจจุบันที่ยังคงใช้เงิน fiat แลกเปลี่ยนกันอยู่ล่ะ?

โดย Raoul Pal ก็ตอบว่า เคล็ดลับของเขาคือ เขาอยู่ได้ด้วยการมีรายได้เข้ามาอยู่ในทุก ๆ เดือน จากการทำงาน จากการทำธุรกิจ Real Vision และเขาก็มีบ้านเป็นของตัวเองที่ไม่ได้เป็นหนี้แบงค์ ดังนั้นหากเงินเขาเหลือหลังจากหักค่าใช้จ่ายต่าง ๆ แล้ว ก็จะเปลี่ยนมันเป็น crypto ให้หมด ซึ่งแม้ว่าเขาจะสูญเงินในโลก crypto ทั้งหมดไป แต่อย่างน้อยเขาก็ยังมีรายได้และมีบ้านเอาไว้ให้ซุกหัวนอนอยู่

ดังนั้นสิ่งที่คุณควรทำก่อนมาลงทุนในโลก crypto คุณควรสร้างฐานที่มั่นคงให้กับตนเองในโลกจริงเสียก่อน ไม่ว่าจะเป็นการสร้างรายได้ที่พอเพียงแก่การใช้ชีวิต มีบ้านปลอดหนี้เอาไว้ซุกหัวนอนโดยที่ไม่ต้องกังวลว่าใครจะมายึดมันไปจากคุณ ไม่มีหนี้เสียจากการอุปโภคบริโภคและมีเงินเก็บพอใช้แบบไม่ลำบากก่อน

ดังนั้นการลงทุนในโลก crypto มีความเสี่ยงสูง แต่นั่นก็เป็นความเสี่ยงที่เขายอมรับได้ เมื่อดูจากโอกาสที่จะได้กลับคืนมาอย่างมหาศาล

แต่ในขณะที่คนรุ่นใหม่นี้จะได้เปรียบอย่างมากในการศึกษาจากการลองลงทุนในสนามจริง เพราะคนรุ่นใหม่ข้อได้เปรียบที่สุดก็คือ พวกเขายังไม่ได้ก่อหนี้ก้อนใหญ่ อย่างเช่น สินเชื่อบ้าน สินเชื่อรถ พวกเขาไม่มีอะไรจะเสีย ดังนั้นต่อให้พวกเขาขาดทุนจากการลงทุน ก็ไม่เจ็บตัวมากนัก และยังมีอายุน้อยในการฟื้นตัว นี่คือข้อได้เปรียบของพวกเขา หากพวกเขาเลือกที่จะใช้ข้อได้เปรียบนี้ให้เป็นประโยชน์

ส่วนที่หลายคนมักมองว่า bitcoin ใกล้ถึงคราวฟองสบู่แตกนั้น Raoul Pal ก็ตอบว่า หากเรามองกรอบในระยะสั้นก็จะพบว่า มันน่ากลัวมากที่ราคาของ bitcoin ตกลงทีนึงอาจสูงถึง 70% แต่บางครั้งก็พุ่งขึ้น 700% แต่โดยรวม ๆ แล้ว bitcoin กลับเติบโตเฉลี่ยปีละกว่าร้อยเปอร์เซ็นต์ ดังนั้น หากดูในภาพใหญ่ระยะยาวตลอดสิบกว่าปีจะพบว่า ราคาของมันมีแต่เติบโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

เพราะจากกราฟราคาของ bitcoin จะเห็นได้ว่า มันมี Cycle หรือมันมีรอบของมัน โดยมันจะเรียกว่า bitcoin halving cycle ที่เฉลี่ยทุก ๆ 4 ปี ในอัลกอลิทึ่มหรือโค้ดโปรแกรมที่ถูกเขียนไว้ตั้งแต่แรกบนบิตคอยน์นั้น กำหนดเอาไว้ว่า ทุก ๆ 4 ปี bitcoin จะถูกผลิตออกมาเหลือแค่เพียงครึ่งเดียวของรอบก่อนหน้านี้ นั่นหมายถึงว่า ยิ่งวันเวลาผ่านไป จำนวน bitcoin หาได้ยากขึ้น แต่คนกลับต้องการมากขึ้น ก็เป็นธรรมดาที่ราคาของมันจะสูงขึ้น ตามหลักเศรษฐศาสตร์ ตามหลัก Demand&Supply

ซึ่งจากกราฟจะเห็นได้ว่า ราคาจะพุ่งเป็นอย่างมากหลังเกิด Halving และจะตกลงในเวลาต่อมา แต่การตกลงต่ำสุดในแต่ละรอบ จะสังเกตได้ว่า มันไม่เคยต่ำกว่าราคาสูงที่สุดของรอบก่อนหน้านี้เลย นั่นมันจึงแสดงให้เห็นว่า มันเป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่าสูงขึ้นเรื่อย ๆ ในระยะยาว

โดยการลงทุนใน bitcoin จะเห็นผลกำไรได้อย่างดีก็ต่อเมื่อเป็นการลงทุนในระยะยาวสัก 3-4 ปีขึ้นไป ดังนั้น Raoul Pal เขาจึงสรุปได้ว่า มันเป็น Asset ที่มีค่า Volatility หรือค่าความผันผวนที่สูง แต่เป็น Asset ที่เติบโตเป็นอย่างมากในระยะยาว

วิธีเลือกเหรียญในการลงทุน

ก่อนหน้านี้ได้พูดถึงไปแล้วว่า เพราะเหตุใดเราจึงควรให้ความสนใจในการมาของ Cryptocurrency คำถามต่อมาก็คือ ทำไมในโลกของ crypto จึงมีเหรียญหลายสกุลมาก ๆ มันแตกต่างกันอย่างไร Raoul Pal คุณช่วยยกตัวอย่างระหว่าง Bitcoin กับ Ethereum ได้ไหมว่า ระหว่างสองเหรียญนี้มันคืออะไรยังไงบ้าง

โดย Raoul Pal เริ่มต้นที่การอธิบายเกี่ยวกับ Bitcoin ก่อน โดย Bitcoin นั้นคือ ‘พ่อทุกสถาบัน’ ในเหล่าบรรดา cryptocurrency ทั้งหมดทั้งมวลที่มีอยู่ในตลาด โดยเกิดจากไอเดียที่ต้องการนำเสนอ bitcoin ในรูปแบบของความเป็น Money เป็นแหล่งเก็บสะสมความมั่งคั่งหรือ Store of Value และเป็นการแสดงให้เห็นถึงแนวคิดการนำไปใช้กับเทคโนโลยี Blockchain มันถูกสร้างขึ้นมาให้มีจำนวนจำกัด มีเครือข่ายแบบกระจายศูนย์อย่างมหาศาลที่สร้างความปลอดภัยที่สูงมากให้แก่ระบบ มันจึงกลายมาเป็นทรัพย์สินที่ผู้คนยอมรับหลายล้านคนทั่วโลก และนั่นคือคำจำกัดความของ bitcoin

และด้วยความที่มันถูกสร้างเพื่อให้มีความปลอดภัยที่สูงมาก มันจึงส่งผลให้มีความเร็วในการทำธุรกรรมที่ช้า จนกระทั่งในปี 2015 ก็มีการสร้าง Ethereum ขึ้นมา โดยมีจุดประสงค์ในการแก้ไขปัญหาหลัก ๆ อยู่สองอย่างก็คือ การทำธุรกรรมได้เร็วยิ่งขึ้นและสามารถสร้าง Smart Contract หรือสัญญาอัจฉริยะบน blockchain ได้ แปลความหมายก็คือ เราสามารถเขียนโปรแกรมที่มีเงื่อนไขอย่างชัดเจนลงบนบล็อกเชนได้ เช่น ถ้าเกิด A ให้ทำ B แต่มันก็ดูเหมือนไปไม่รอดเพราะในช่วงปี 2018 – 2019 นั้น ตลาดคริปโทฯ ได้พังคลืนลงมา

จนกระทั่งในเวลาต่อมาก็ได้มีการสร้างอุตสาหกรรมใหม่ในกลุ่มของ DeFi – Decentralized Finance และ NFT – Non Fungible Token เกิดขึ้นบน Ethereum ซึ่งทำให้สามารถดึงดูดผู้ใช้งานจำนวนมหาศาลจนส่งผลให้ Ethereum มี Network Effect ที่แข็งแกร่งขึ้นมา และมันเติบโตอย่างรวดเร็ว ถ้าหากให้จำกัดความหมายของ Ethereum นั้นก็คงเป็น Software Platform สำหรับการสร้าง Value บนอินเตอร์เน็ต ที่มีเหล่าบรรดาคนระดับหัวกะทิที่เก่งทั้งในด้านเทคโนโลยีการเงินบวกกับด้านคณิตศาสตร์จากทั่วโลกเข้ามาเพื่อเขียนโค้ด สร้างแอพพลิเคชั่นแบบกระจายศูนย์ลงบน Blockchain ของ Ethereum และก็ต้องยอมรับว่าเมื่อมันถูกปรับแต่งให้มีความเร็วในการทำธุรกรรมที่เร็วขึ้น ก็ทำให้ค่าความปลอดภัยนั้นลดลง

และก็แน่นอนว่า แต่ละบล็อกเชนนั้นก็มีจุดเด่น จุดด้อยแตกต่างกันออกไป จึงทำให้เกิดกลุ่มนักพัฒนาหลายกลุ่มที่มักมีความคิดเห็นต่างกัน เช่น บางคนมองว่า Ethereum มีค่าธรรมเนียมที่แพงมาก และความเร็วในการทำธุรกรรมแม้จะเร็วกว่า bitcoin แต่มันก็ยังสร้างให้เร็วกว่านี้ได้อีก ก็จะเกิดโปรเจคเหรียญใหม่ ๆ ขึ้นมาเช่น Solana ที่มีจุดเด่นในเรื่องของการที่มันสามารถทำธุรกรรมบนบล็อกเชนได้เร็วมาก ๆ แต่นั่นก็ต้องแลกมากับการที่ส่งผลให้มีความปลอดภัยที่ต่ำลงไปอีก

ดังนั้นจะเห็นได้ว่า จะมีนักพัฒนาแต่ละกลุ่มก็จะมีจุดประสงค์และแนวคิดที่แตกต่างกันออกไป ดังนั้นพวกเขาก็มักจะรวมตัวกันสำหรับคนที่มีความเห็นคล้าย ๆ กันอยู่ด้วยกันเพื่อสร้างโปรเจคที่พวกเขาต้องการแก้ไขปัญหาตามจุดประสงค์ที่ตั้งใจเอาไว้

นั่นจึงทำให้เทคโนโลยีในโลกของ crypto นั้นไปได้อย่างรวดเร็วมาก เพราะมันเป็นการรวมตัวกันของคนระดับหัวกะทิทั่วโลก ที่ต้องการแก้ไขปัญหาโลกการเงินแบบเก่าที่ไม่สามารถตอบโจทย์ได้ในยุคอินเตอร์เน็ต เช่น ผู้คนสามารถนำ crypto ไปฝากในโลก DeFi เพื่อกินดอกเบี้ยและสามารถนำไปปล่อยกู้ได้ หรืออย่างศิลปินก็สามารถใช้ NFT ในการสร้างรายได้จากผลงานศิลปะของตนเองได้ เป็นต้น

คำถามต่อมาก็คือ ถ้าเป็นในมุมมองของคนนอกที่ต้องการจะเริ่มต้นเข้าสู่วงการ crypto นั้น จะต้องเริ่มต้นยังไง เลือกเหรียญไหน วิธีการดูเหรียญที่ดีมีศักยภาพนั้นเป็นอย่างไร เพราะในสายตาของคนนอก ส่วนใหญ่ก็มักจะได้ยินข่าวในทำนองที่ว่า Elon Musk กำลัง Tweet เกี่ยวกับเหรียญ Dogecoin บ้างล่ะ Shiba Inu บ้างล่ะ ซึ่งเหรียญเหล่านี้ ก็ดูเหมือนจะมีราคาขึ้นลงอย่างบ้าคลั่งในแต่ละทีที่ Elon Musk มีการพูดถึงมัน ตกลงแล้วเราควรจะเลือกลงทุนในเหรียญที่มีคุณลักษณะอย่างไรดี?

โดย Raoul Pal ตอบว่า การเริ่มต้นเข้ามาในโลกคริปโทฯ ในฐานะมือใหม่มาก ๆ นั้น ให้คำนึงถึงความเสี่ยงที่น้อยที่สุดก่อน โดยการเริ่มต้นด้วยเงินจำนวนน้อย ๆ กับเหรียญใหญ่ ๆ ที่มั่นคงในตลาดอย่าง bitcoin และ ethereum ก่อน แล้วในระหว่างนั้น ก็ให้ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ bitcoin และ ethereum ซึ่งคุณอาจจะสมัครติดตามข่าวสารบน Twitter หรือสื่อโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ว่าผู้คนมีการพูดถึงอย่างไรบ้างในแต่ละเหรียญ แต่อย่างที่รู้กันดีว่า ในปัจจุบันสกุลเงินดิจิตอลนั้นมีนับพันนับหมื่นสกุล ดังนั้นมันไม่มีทางเป็นไปได้เลยว่า คุณจะสามารถติดตามข่าวสารของเหรียญทั้งหมดในตลาดนี้ได้

ดังนั้นสิ่งที่ Raoul Pal ทำก็คือ เขาจะเริ่มต้นลงทุนจากเหรียญที่มี market cap หรือขนาดตลาดใหญ่เป็นอันดับต้น ๆ ในตลาดเสียก่อน เริ่มจากเหรียญที่มีความเสี่ยงน้อยที่สุด แล้วค่อย ๆ เขยิบไปเหรียญที่มีความเสี่ยงมากขึ้นมาหน่อย รวมไปถึงจำนวนเม็ดเงินที่ลงในแต่ละเหรียญนั้นก็จะไม่เท่ากัน เหรียญไหนที่มีความเสี่ยงน้อยหน่อยก็สามารถใส่เงินได้มากขึ้น ส่วนถ้าเหรียญไหนมันดูเสี่ยงมากหน่อยก็ให้ใส่จำนวนเงินที่น้อยลง และให้กระจายการลงทุนในเหรียญที่อยู่หลากหลายอุตสาหกรรม ซึ่งมันเป็นการจัดการกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้

โดยการที่เขาจะพิจารณาว่าเหรียญไหนน่าลงทุน เขาจะดูจากการเติบโตของจำนวนผู้ใช้งานหรือเกิด Network Effect ที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว พร้อมกับมี Use case หรือการใช้งานจริง ไม่ใช่เติบโตเพราะเงินจากนายทุน นั่นจึงเป็นสาเหตุว่า มหาเศรษฐีพันล้านอย่าง Mark Cuban ที่เป็นเจ้าของทีมบาสเกตบอล NBA ทีม Dallas Maverick นั้น ยอมรับการจ่ายเงินด้วย Dogecoin เพราะมันโตจากการที่มีผู้คนจำนวนมากเข้ามาอยู่ใน Network นี้

และเช่นเดียวกันทาง Elon Musk ก็น่าจะมีแนวคิดประมาณนี้ที่เขาเห็นว่า มันเกิด Network Effect ขึ้นกับเหรียญหมาอย่าง Dogecoin ซึ่งก็ไม่แน่ว่าในอนาคตทาง Tesla อาจจะเปิดให้ใช้เหรียญ Dogecoin ในการซื้อสินค้าหรือบริการจากทาง Tesla ก็เป็นได้

แต่ก็อย่างที่ทราบ เราไม่มีทางรู้ได้เลยว่า เหรียญไหนจะประสบความสำเร็จ เหรียญไหนจะล้มเหลว นั่นจึงเป็นสาเหตุที่เราควรกระจายการลงทุนไปในเหรียญต่าง ๆ เพื่อติดตามพฤติกรรมของแต่ละเหรียญ แล้วให้เลือกเหรียญที่คุณชอบ เหรียญที่คุณคิดว่ามันมีโปรเจคที่เจ๋ง ๆ มีชุมชนผู้ใช้งานที่ดี

โดยส่วนตัวของ Raoul Pal แล้วนั้น เขาก็ไม่ได้สนใจในอุตสาหกรรม DeFi ที่ฝากเพื่อกินดอกเบี้ยสักเท่าไหร่นัก เพราะสิ่งที่เขาสนใจมากกว่าก็คือ การลงทุนในเทคโนโลยีที่น่าสนใจที่มันจะสามารถเข้ามาเปลี่ยนแปลงโลกนี้ให้ดียิ่งขึ้น และเขาก็จะได้กำไรจากการลงทุนในเทคโลโนยีนั้น ๆ ดังนั้นเขาก็จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเหรียญที่เป็น Meme Coin หรือเหรียญล้อเลียนที่สร้างขึ้นมาเพื่อความสนุกสนาน ที่ราคาของมันขึ้นทีเป็น 1,000% แล้วราคาก็ตกลงอย่างรุนแรงในชั่วข้ามคืน

ดังนั้น สรุปอีกครั้ง เราควรเริ่มต้นจากการลองลงทุนใน bitcoin กับ ethereum เสียก่อน แล้วเฝ้าดูเรียนรู้ไปกับมัน ลองดูว่า เวลาที่ราคามันขึ้นไป 30% ภายใน 3 วัน และราคาลง -30% ภายใน 3 วัน คุณรู้สึกอย่างไร รู้สึกกดดันหรือสบาย ๆ เฉย ๆ หรือไม่ และเมื่อคุณเริ่มคุ้นชินกับความผันผวนนั้นได้แล้ว ก็ค่อย ๆ เขยิบไปลงทุนแบบกระจายความเสี่ยงในเหรียญอื่น ๆ ดูในภายหลัง

โดย Raoul Pal ได้อธิบายเพิ่มเติมว่า เหตุผลที่ Ethereum น่าลงทุนกว่า Dogecoin ก็คือ โดยปกติแล้ว เวลาที่จะเลือกโปรเจคใดสักโปรเจคหนึ่ง เขาจะดูทั้งสองด้านที่เกิดขึ้น ด้านแรก คือฝั่งของ นักพัฒนา, นักลงทุนและผู้ใช้งาน เริ่มรวมตัวกัน และฝั่งที่สองคือเกิดกรณี Use Case หรือมีการนำโปรเจคไปต่อยอด ไปใช้งานจริง

อย่าง Ethereum นั้น พอฝั่งแรกมันมีนักพัฒนาที่ได้เงินทุนจากนายทุนและมีผู้ใช้งานแล้ว และในเวลาต่อมาฝั่งที่สองก็เกิดการสร้าง DeFi มี Dapp หรือ Decentralized Application นับร้อยนับพันโปรเจคเข้ามาใช้งานบน Ethereum อีกทีหนึ่ง แถมในเวลาต่อมาก็มี NFT เข้ามาสร้างบน Ethereum Blockchain ซึ่งมันเกิดการใช้งาน เกิดการแลกเปลี่ยนซื้อขาย เกิด Use Case อย่างมากมาย นี่คือสิ่งที่น่าลงทุน

แต่พอมองกลับไปที่ Dogecoin ฝั่งแรกคือ นักพัฒนาที่จุดประสงค์ของพวกเขาคือสร้างขึ้นมาเล่น ๆ ขำ ๆ ไม่ได้จริงจังอะไรแล้วตอนนี้ต่างก็ไม่มีใครพัฒนาต่อ ไม่มีการอัพเกรดใด ๆ ทั้งสิ้น แม้ว่าจะมีผู้ใช้งานเข้ามาเยอะ แต่ก็ยังไม่มีโปรเจคใดมาต่อยอดหรือนำไปใช้เป็น Use Case อย่างจริง ๆ จัง ๆ เลย อย่างมากมันก็เอาไว้ใช้เพื่อเก็งกำไรซื้อถูกขายแพง

แม้ว่าบางร้านค้าก็ลองรับแลกสิ่งของกับเหรียญ dogecoin ก็พอมีให้เห็นอยู่บ้าง ซึ่งโอเคแหละว่า ตัวของเขาก็ถือ Dogecoin เอาไว้ส่วนหนึ่ง แต่เป็นส่วนน้อย เพราะเขาแค่สนุกและเอาไว้เฝ้าดูและติดตามพฤติกรรมของตลาดนี้ ไม่ได้ลงทุนอะไรจริง ๆ จังกับมัน จนกระทั่งก็มีข่าวลือว่ากลุ่มนักพัฒนา Dogecoin อาจจะกำลังกลับมารวมตัวกันอีกครั้งหนึ่งแและ Elon Musk ก็อาจจะเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนา Dogecoin ในอนาคต ซึ่งก็ต้องดูกันต่อไป

ความเสี่ยงของ Cryptocurrency

หวัข้อนี้จะว่าด้วยเรื่องของความเสี่ยงที่อาจขึ้นได้กับการลงทุนใน Cryptocurrency

โดยคำถามต่อมาคือ ตอนนี้เรากำลังอยู่ในโลกของอินเตอร์เน็ต และโลก crypto ก็เป็นดิจิตอลโดยสมบูรณ์ ซึ่งก่อนหน้านี้มีเหตุการณ์ที่ Facebook, Instagram และ WhatsApp ล่มไปกว่าครึ่งวัน ไม่มีใครสามารถเข้าใช้งานได้

จะเป็นอย่างไรถ้าหากอินเตอร์เน็ตล่มแล้วเราไม่สามารถเข้าถึงเงินของเรา เข้าถึง cryptocurrncy ของเราได้ หรือไม่ก็โดน Cyberattack โจมตีเงินดิจิตอลของเรา เพราะแน่นอนว่าคนส่วนใหญ่ก็กังวลในเรื่องเหล่านี้

โดย Raoul Pal ก็ตอบว่า สาเหตุที่เรียกว่าระบบ Decentralized หรือระบบการกระจายศูนย์ของ Blockchain นั้นก็เป็นเพราะ เครือข่ายของระบบมันไม่ได้รวมตัวกันอยู่ที่ใดที่หนึ่งเฉกเช่นอย่าง Facebook ที่มีคนคอยควบคุมระบบก็คือบริษัทของ facebook เจ้าเดียว ในขณะที่ระบบ blockchain นั้น คอมพิวเตอร์ทั่วโลกที่เข้าร่วม Network จะการมีการเก็บข้อมูลที่เหมือนกันทุกประการกับคอมพิวเตอร์แต่ละที่ ดังนั้นหากจะปิดเครือข่าย blockchain ทั้งหมดนั้น มันก็หมายถึงจะต้องมีการปิดอินเตอร์เน็ตทั้งโลกในเวลาเดียวกัน ซึ่งมันแทบเป็นไปไม่ได้เลย ส่วนการล่มของ Facebook นั้น เป็นปัญหาที่บริษัท Facebook ไม่ใช่ปัญหาการล่มของอินเตอร์เน็ต เพราะ Facebook ล่ม อินเตอร์เน็ตไม่ได้ล่ม

ต่อให้มีสงครามนิวเคลียร์ทั่วโลก แต่ถ้ายังหลงเหลือคอมพิวเตอร์สักเครื่องที่รันระบบ Network นั้นอยู่ มันก็ไม่หายไปไหน และพอสงครามนิวเคลียร์จบเข้าสู่ระยะฟื้นฟู เดี๋ยวมันก็แพร่กระจายใหม่ ซึ่งเอาเข้าจริงหากเกิดสงครามนิวเคลียร์สิ่งที่คุณต้องกังวลเป็นสิ่งแรกไม่ใช่เรื่องของ crypto แน่ ๆ มันน่าจะเป็นการเอาชีวิตให้รอดก่อนควรเป็นเรื่องสำคัญที่สุด

ส่วนถ้าเกิดอินเตอร์เน็ตล่มทั้งโลกจริง อย่างมากคุณก็เข้าสู่ระบบไม่ได้สักระยะ แต่ crypto บน blockchain มันไม่ได้หายไปไหน และถ้าอินเตอร์เน็ตล่ม คนที่จะโดนก่อนเลยก็คือกลุ่มของธนาคาร เพราะในปัจจุบันผู้คนส่วนใหญ่ก็หันมาใช้ i-banking ที่เชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ตกันกว่าร้อยละ 90 หรือกว่าร้อยละ 99 ซะด้วยซ้ำ ดังนั้น แบงค์โดนก่อนเพื่อนเลย ดังนั้นอินเตอร์เน็ตล่มมันไม่ใช่ปัญหาของ crypto มันเป็นปัญหาของธนาคารทั่วโลกซะมากกว่า

ส่วนการที่ blockchain จะถูกแฮ็คนั้นในทางทฤษฎีมีความเป็นไปได้ แต่ในทางปฏิบัตินั้น สามารถทำได้ยากมาก เพราะมันเป็นแบบระบบ Decentrarized แบบกระจายศูนย์ หากทำการแฮ็คแล้วต้องแฮ็คเครื่องคอมพิวเตอร์ทั้งหมดทั่วโลกในเวลาที่พร้อมกัน ซึ่งในทางปฏิบัติแล้วนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย

คำถามต่อมาคือ ในช่วงที่ผ่านมาทางรัฐบาลจีนได้มีการแบนตลาด cryptocurrency ทั้งหมดภายในประเทศ สิ่งนี้จะเกิดขึ้นกับประเทศอื่น ๆ หรือเกิดกับอเมริกาด้วยหรือไม่ ทางผู้คุมกฎจะมองอย่างไร เพราะอย่างที่รู้ ๆ กันดีว่า cryptocurrency นั้นได้ให้อำนาจทางการเงินแก่ประชาชน และการที่รัฐรู้สึกว่าเหมือนกำลังจะเสียอำนาจทางการเงินในการควบคุมประชาชนให้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของรัฐ

โดย Raoul Pal ได้ให้คำตอบว่า แน่นอนทาง Regulator หรือผู้คุมกฎจะต้องออกกฎควบคุมอะไรบางอย่างออกมา แต่ก็อย่างที่เรารู้ว่ากฎหมายในปัจจุบันมันล้าหลังเอามาก ๆ มันเป็นกฎหมายตั้งแต่ปี 1934 ซะด้วยซ้ำ กฎหมายมันตามเทคโนโลยีไม่ทัน ซึ่งมันยากมากที่จะห้ามให้ประชาชนคนทั่วไปห้ามซื้อขาย cryptocurrency แต่จะดีกว่าหากทาง Regulator จะออกคำเตือนว่ามันเป็นทรัพย์สินที่มีความเสี่ยงสูง จะต้องระมัดระวัดในการลงทุนในสินทรัพย์ดิจติตอลเหล่านี้ เพราะอาจสูญเงินทั้งหมดได้ ซึ่งแนวทางนี้น่าจะดีกว่าการห้ามไปเลย เพราะในยุคปัจจุบันผู้คนก็ต้องการสิทธิเสรีภาพในการเลือกช้อยส์การลงทุนได้ด้วยตนเองได้อย่างอิรสะเสรี

และในปัจจุบันขนาดตลาดของ crypto มีมูลค่ารวมแล้วมากกว่า $2 Trillion และในอนาคตหากมันโตเป็น $10 Trillion การที่ Regulator จะมาบอกว่านี่มันเป็นแค่ตลาดเล็ก ๆ ไม่ใช่ตลาดจริง ๆ จัง ๆ นั้น ดูจะเป็นพูดที่ไม่เมคเซ้นส์เอาซะเลย ดังนั้นทางเลือกของ Regulator นั้นก็อาจจะมีแนวโน้มในการประนีประนอมซะมากกว่า ดังคำกล่าวที่ว่า ถ้าห้ามไม่ได้ก็เข้าร่วมด้วยซะเลย

ส่วนประเทศจีนนั้น เนื่องจากเป็นประเทศที่ปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์ ดังนั้นพวกเขาสามารถสั่งห้ามประชาชนไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับ crypto ได้อย่างเด็ดขาด แต่ก็อย่างที่เห็น แม้ว่าประเทศจีนจะสั่งแบน crypto แต่เนื่องจาก crypto บนอยู่บนโลกอินเตอร์เน็ต มันอยู่บนบล็อกเชน มันก็โตของมันต่อไปได้ไม่มีปัญหา เพราะไม่มีใครสามารถหยุดมันได้

ส่วนคนจีนที่ต้องการเข้าวงการ crypto จริง ๆ พวกเขาก็แค่บินไปต่างประเทศ เช่น สิงคโปร์ แล้วก็เปิดบัญชีเข้าถึง crypto ได้อยู่ดี แล้วก็กลับประเทศจีน

และสาเหตุที่จีนแบน crypto นั้น เป็นเพราะพวกเขากำลังอยู่ในช่วงผลักดันหยวนดิจิตอลที่พวกเขามีอำนาจในการควบคุมอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ซึ่งที่จีนแบน crypto นั้น เป็นเพราะมันเป็นสิ่งที่พวกเขาควบคุมไม่ได้ ไม่ใช่แบนเพราะ crypto ว่ามันไม่ดี ว่ามันไม่เจ๋ง

ส่วนทางรัฐบาลทั่วโลกก็กำลังเร่งสร้างสกุลเงินดิจิตอลของรัฐเอง ก็คือ CBDC : Central Bank Digital Currency ซึ่งแม้ว่ามันจะอยู่บน blockchain แต่มันไม่ได้มีจำนวน supply ที่จัดอย่างแน่นอน เพราะธนาคารกลางมีหน้าที่ในการผลิตเงินเข้าสู่ระบบเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งอันที่จริงมันก็ไม่ได้แตกต่างจากเงิน fiat เงินกระดาษแบบปกติสักเท่าไหร่นัก แต่สิ่งที่จะเพิ่มเติมเข้ามาก็คือ มันสามารถส่งเงินดอลล่าร์หากันได้ในแบบทันทีทันใด

และแน่นอนว่าคนที่อยู่ในระบบนี้จะต้องมีการทำ KYC : Know Your Customer คือการระบุตัวตนที่ชัดเจนว่าเป็นใครมาจากไหน และเงินกำลังเดินทางจากใครไปที่ใด ซึ่งก็อาจจะเป็นการดีที่ได้ตัดตัวกลางในการแลกเปลี่ยนเงินจากพ่อค้าคนกลาง แต่แน่นอนว่ามันไม่ใช่ cryptocurrency ที่อำนาจอยู่ในมือประชาชน เพราะ CBDC อำนาจจะอยู่ที่ธนาคารกลางและรัฐบาลอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งสิ่งที่ธนาคารกลางจะทำนั้นมันตรงข้ามกับสิ่งที่ cryptocurrency พยายามจะเป็น

จะเริ่มต้นลงทุนใน Crypto ยังไงดี?

ในหัวข้อนี้จะพูดถึงมือใหม่ที่ต้องการที่จะเริ่มต้นลงทุนใน cryptocurrency ว่าจะต้องเริ่มยังไง จะต้องจัดการเงินอย่างไร เพราะในชีวิตประจำวันก็จะต้องใช้กินใช้จ่ายอยู่บางส่วน หรือแค่เข้าไปซื้อเลยแล้วก็ถือรอให้ราคามันขึ้น หรือจะรอให้ราคามันลงมาเยอะ ๆ ก่อนค่อยเข้าซื้อ หรือจะซื้อแบบ DCA แบบทยอยสะสมไปเรื่อย ๆ แบบรายสัปดาห์ รายเดือน Raoul Pal คุณช่วยสรุปให้กับมือใหม่หน่อยได้ไหมว่า ตกลงเริ่มลงทุนยังไงดี ที่เหมาะสมกับมือใหม่มากที่สุดในการเริ่มต้นลงทุนใน cryptocurrency

โดย Raoul Pal ตอบว่า ในช่วงเริ่มต้น หาก ณ ตอนนี้ราคาของ Bitcoin และ Ethereum มันพุ่งขึ้นสู่จุดสูงสุดอยู่ ควรจะรอให้ราคามันลงมาปรับฐานก่อน แล้วเริ่มต้นใส่เงินเริ่มต้นสัก $1,000 – $2,000 สักก้อนดูก่อน(ก็ราว ๆ 30,000 – 60,000 บาท) แล้วหลังจากนั้นก็ให้ทำการ DCA : Dollar Cost Averaging คือทยอยซื้อสะสมในแต่ละเดือนในจำนวนเงินที่เท่า ๆ กัน ซึ่งไม่ต้องมากเท่ากับเงินก้อนแรก เอาเท่าที่เราต้องการออมในแต่ละเดือน

ซึ่งก็แน่แหละว่าคุณอาจจะไม่ได้ราคาที่ดีที่สุด เพราะเมื่อประมาณช่วงกลางปี 2021 ที่ผ่านมา ราคาของ bitcoin มันพึ่งลงมาปรับฐานครั้งใหญ่ ที่ราคาลงกว่า -50% ซึ่งกว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้อีกก็ไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหน ถ้าคุณรอให้มันเกิดก็อาจจะต้องรออีกหลายเดือน ซึ่งหากราคามันลงมาปรับฐานราว ๆ -20% คุณก็สามารถทยอยเข้าซื้อได้ และในช่วงเวลาที่กราฟราคาของมันอยู่ในช่วง Sideway คือกราฟราคานิ่ง ๆ เป็นระยะเวลานาน ก็เป็นช่วงที่เหมาะสมแก่การซื้อแบบ DCA ทยอยซื้อเก็บสะสม จะเหมาะกับมือใหม่มากที่สุด เพราะเอาเข้าจริงเราไม่มีทางรู้ได้เลยว่า ราคาของมันจะเป็นเท่าไหร่ ซึ่งถ้าหากใช้การออมแบบ DCA ก็จะทำให้ไม่ต้องกังวลมากว่าราคามันจะเป็นเท่าไหร่ ตราบใดที่มันยังคงเติบโตในระยะยาว เราก็จะได้ราคาเฉลี่ยที่ดีได้

คำถามต่อมาคือ แล้วในส่วนของ DeFi : Decentralized Finance นั้น จะเริ่มต้นยังไงได้บ้าง เพราะสำหรับมือใหม่ในวงการ crypto นั้น มันเป็นอะไรที่ใหม่เอามาก ๆ

โดย Raoul Pal ได้เริ่มต้นพูดว่า หาก ณ วันนี้ คุณมีเงินฝากในบัญชีธนาคารอยู่ คุณจะพบว่าดอกเบี้ยที่ได้จากธนาคารนั้นเกือบจะเป็น 0% อยู่แล้ว

ซึ่ง DeFi นั้นเป็นการจำลองโมเดลจากธนาคาร โดยหากเรามีเหรียญ crypto อยู่ เราสามารถนำไปปล่อยกู้ในระบบ DeFi แล้วเมื่อมีคนอื่นเข้ามากู้ crypto ในระบบนั้น ๆ ก็จะเกิดดอกเบี้ย ที่สามารถนำมาแบ่งจ่ายให้เราในฐานะที่เราเป็นผู้ปล่อยกู้นั่นเอง

ส่วนอีกวิธีหนึ่งคือการ Staking มันคือ “วิธีการตรวจสอบธุรกรรมโดยการวางเงินค้ำประกัน” หรือจะให้เข้าใจง่ายกว่านั้นก็คือ เราสามารถนำเหรียญ crypto ที่เรามีไปวางในระบบ Network นั้น ๆ เพื่อเพิ่มการรักษาความปลอดภัยให้กับ Network แล้ว Network ก็จะมีการให้ผลตอบแทนกลับคืนมาในรูปแบบคิดเป็นรายปี

อย่าง bitcoin ถ้าคุณนำไปปล่อยให้คนอื่นกู้ยืมคุณก็จะได้ผลตอบแทนราว ๆ 3% ต่อปี หรือถ้าเป็นเหรียญอื่นที่มีความเสี่ยงสูงขึ้น ก็อาจจะให้ผลตอบแทนเป็น 5%, 10%, 15% หรือ 20% ต่อปีก็มี ซึ่งพอเห็นตัวเลขเหล่านี้ แน่นอนว่ามันน่าดึงดูดกว่าดอกเบี้ยเงินฝากในธนาคารเป็นไหน ๆ แต่ก็อย่าลืมว่า ราคาของ cryptocurrency นั้นมันมีค่า volatility หรือค่าความผันผวนที่สูงมาก

แต่ในโลกของ crypto ก็จะมีเหรียญที่เรียกว่า stablecoin คือเหรียญที่มีมูลค่าเท่ากับเงินดอลล่าร์ ราคาของมันจะไม่แกว่งขึ้นแรงลงแรงเฉกเช่นอย่างเหรียญอื่น ๆ โดยมันจะมีค่าเท่ากับเงินดอลล่าร์เสมอ (ซึ่งถ้าตีเป็นเงินบาทก็แล้วแต่ว่าอัตราแลกเปลี่ยน ณ ขณะนั้นอยู่ที่เท่าไหร่) อย่างเหรียญ stablecoin ที่มีค่าเท่ากับเงินดอลล่าร์ที่ดัง ๆ อย่างเช่น USDT, BUSD, USDC หรือ DAI เป็นต้น โดยเมื่อคุณนำเหรียญ stablecoin เหล่านี้ไปปล่อยกู้ ไป staking อัตราผลตอบแทนจะอยู่ที่ราว ๆ 8%-10% ต่อปี โดยที่ไม่ต้องสนใจว่า crypto ตัวอื่น ๆ จะขึ้นหรือจะลง เพราะ stablecoin ยังคงมีค่าเท่ากับเงินดอลล่าร์อยู่เสมอ ดังนั้นคุณก็สามารถสร้าง Passive Income จากมันได้เฉลี่ยราว ๆ 8% ต่อปี

ซึ่ง Raoul Pal ก็ได้มีโอกาสคุยกับเพื่อนของเขาคนหนึ่งที่เริ่มต้นเข้าสู่วงการ crypto โดยเริ่มต้นจากลงทุนใน bitcoin แล้วปรากฎว่าเขาก็ค่อนข้างโชคดีที่สามารถทำกำไรได้เป็นกอบเป็นกำจากการขาย bitcoin แล้วจากนั้น เขาก็นำมันไปแปลงไว้ในรูปแบบของ stablecoin ซึ่งต้องบอกก่อนว่าเพื่อนของเขาคนนี้ เขามีรายได้เข้ามาอยู่ตลอด มีเงินเก็บที่เป็นเงินเย็นส่วนหนึ่งและที่สำคัญมีบ้านที่ปลอดหนี้แล้ว เขาจึงค่อยมาลงทุนในโลก crypto แล้วหลังจากนั้นเพื่อนของเขาก็รู้จักกับโลกของ DeFi ที่สามารถนำ stablecoin ไปฝากกินดอกเบี้ยได้ราว ๆ 8% ต่อปี แถมยังสามารถโอนเหรียญไปเมื่อไหร่และที่ใดบนโลกใบนี้ก็ได้ในทันที ซึ่งไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเขาจะฝากเงินไว้ในธนาคารหรือในโลกคริปโต และนั่นก็เป็นอีกเคสหนึ่งที่เมื่อเขาเข้ามายังโลก crypto แล้ว ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องกลับไปยังโลกของธนาคารแบบดั้งเดิมเลย

แต่ต้องเตือนเอาไว้ก่อนว่า ในโลกของ DeFi มีความซับซ้อนและความยาก รวมไปถึงความเสี่ยงสูงด้วยเช่นกัน เพราะมันเป็นอะไรที่ใหม่เอามาก ๆ และจะต้องใช้ความรู้ความเชี่ยวชาญในการเลือกแพลตฟอร์มที่ดีและมีความปลอดภัยสูง เพราะในโลกของ DeFi มันก็มีอยู่หลายเจ้าด้วยกัน ซึ่งการเริ่มต้นใช้งาน คุณอาจจะลองเริ่มต้นจาก CeFi : Centralized Finance หรือ “ระบบการเงินที่มีตัวกลาง” ดูก่อนอย่างเช่น binance, coinbase หรืออย่างในไทยก็มี zipmex ที่สามารถฝากกินดอกได้

ซึ่งถ้าวิชายังไม่แก่กล้าพอไปโลก DeFi ก็ให้เริ่มจากเจ้าที่มี License จาก กลต. ที่มีการคุ้มครองเงินจากนักลงทุนดูก่อน เพราะในโลกของ DeFi มันคือการดูแลเงินของตัวคุณเองแบบ 100% หากคุณเงินหายจากการทำผิดพลาด, จำหรัสผ่านไม่ได้, โดนแฮ็ค หรือโดนโกง คุณไม่สามารถไปตามจากใครได้เลย ในขณะที่การเริ่มต้นกับ CeFi คุณยังพอมีช่องทางติดต่อซับพอร์ทของเจ้าของแพลตฟอร์มได้อยู่และก็สามารถให้ กลต. ช่วยตามได้ แต่คุณก็ต้องมั่นใจว่า แพลตฟอร์มที่คุณใช้อยู่นั้น สามารถเก็บรักษาเงินของคุณได้อย่างปลอดภัย

หรือคุณอาจจะลงทุนในเหรียญของแพลตฟอร์ม DeFi นั้น ๆ ได้เช่นกัน อย่างเหรียญ AAVE, Compound ที่เป็นแพลตฟอร์มปล่อยกู้แบบ Decentralized Finance ที่เมื่อแพลตฟอร์มมีการเติบโตขึ้น ก็ส่งผลให้มูลค่าของเหรียญของแพลตฟอร์มดังกล่าวมีโอกาสที่ราคาจะสูงขึ้นเนื่องจากมีผู้คนเข้ามาใช้งานเป็นจำนวนมาก และในอนาคตก็มีแนวโน้มที่จะมีบริษัทประกันภัย หรืออย่างอุตสาหกรรมเงินบำนาญ ก็กำลังทยอยย้ายเข้ามาสู่วงการนี้ เพราะมันให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าโลกดั้งเดิม

ดังนั้นนี่ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งในการลงทุนถ้าหากคุณเชื่อมั่นว่าวงการ DeFi มันจะเติบโต แพลตฟอร์มนั้น ๆ มันจะเติบโต ราคาเหรียญของแพลตฟอร์มนั้นมันจะเติบโต ซึ่งก็แล้วแต่ว่า คุณจะตัดสินใจเลือกเล่นเกมการเงินบนโลก crypto ด้วยวิธีใด

คำถามเพิ่มเติมที่น่าสนใจคือ โอเคแหละว่าในฝั่งผู้ให้กู้นั้นได้อัตราผลตอบแทนสูงถึง 8% ต่อปี เป็นตัวเลขที่สวยงาม แต่ถ้ามองในฝั่งของผู้กู้ยืมบ้างล่ะ พวกเขาต้องจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ที่สูงมากด้วยเช่นกัน อย่างบน Binance หากกู้ stablecoin อย่าง BUSD จะเสียดอกเบี้ยเฉลี่ยเดือนละ 1.2% หรือปีละ 14.4% สูงกว่ากู้จากแบงค์ซะอีก เพราะดอกเบี้ยเงินกู้จากธนาคารอยู่ที่ราว ๆ 3.5%-4% ต่อปีเอง แล้วทำไมพวกเขาไม่เลือกที่จะกู้ที่ธนาคารมากกว่ากันล่ะ

โดย Raoul Pal ตอบว่า อย่างแรกสุดเลยก็คือ บนโลก crypto คิดดอกเบี้ยเป็นรายชั่วโมง หากคุณกู้ยืมแปบเดียวแล้วรีบคืนก็จะเสียดอกเบี้ยรายชั่วโมง หรือหากอย่างครอบครัวของ Raoul Pal นั้นอยู่ที่ประเทศอินเดีย การที่เขาจะส่งเงินไปหาญาติ ๆ ของเขานั้น เขาก็จะต้องแปลงเงินสดสกุลดอลล่าร์ผ่านตัวกลางไปที่อินเดียเพื่อเปลี่ยนเป็นสกุลเงินรูปี ที่จะโดนหักค่าธรรมเนียมราว ๆ 10% และมีความผันผวนจากอัตราการแลกเปลี่ยนเงินตรา

แถมต้องผ่านการตรวจสอบจาก regulator ว่าเงินนี้ได้มายังไง เผลอ ๆ โดนล็อคบัญชีธนาคารเพื่อตรวจสอบความถูกต้องของเงินก่อน กว่าจะได้เงินก็อาจจะเสียเวลา เสียค่าดำเนินการเยอะเข้าไปอีก และอย่าลืมว่าไม่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถเข้าถึงเงินดอลล่าร์กันได้ง่าย ๆ ในขณะที่การส่ง stablecoin นั้น สามารถส่งได้ในทันทีที่ดีดนิ้ว ไม่ต้องขออนุญาตใคร ไม่ต้องรอใครตรวจสอบ และปลายทางก็สามารถหาแลกเปลี่ยนเป็นเงินสกุลท้องถิ่นนั้นได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว

และเหตุผลส่วนตัวของ Raoul Pal อีกข้อหนึ่งนั้น เขาแฮปปี้ในการซื้อและถือ Crypto มากกว่า Gold สาเหตุนั้นก็เป็นเพราะ Crypto นั้นเราสามารถเอาไปฝากกินดอกได้มากกว่าธนาคาร แต่ในขณะที่ Gold นั้น ทำไม่ได้ ได้แค่ถือมันไว้เฉย ๆ

โดย Raoul Pal ได้ยกตัวอย่างอีกเคสจากคุณพ่อของเขา โดยคุณพ่อของเขาเกษียณอายุไปเมื่อประมาณปี 2000 โดยเขาแนะนำให้คุณพ่อใส่เงินเพื่อการเกษียณทั้งหมดเอาไว้ในพันธบัตรรัฐบาล โดย ณ ตอนนั้นมีผลตอบแทนอยู่ที่ราว ๆ 5% ต่อปี พอผ่านไป 10 ปี มันก็ลดลงเหลือแค่ 2% ต่อปี ปัญหาก็เริ่มเกิดขึ้น เพราะผลตอบแทนลดลงแต่ข้าวของกลับแพงขึ้น และเมื่อดูจากแนวโน้มในอนาคตก็จะพบว่า อีกสักหน่อยมันก็จะเป็น 0% และหนักสุดคือ กำลังจะติดลบซะด้วยซ้ำ

ดังนั้น สิ่งที่จะเกิดขึ้นกับคุณพ่อก็คือ สุดท้ายท่านก็จะต้องเอาเงินต้นมาใช้จนหมด จากเดิมที่ใช้เงินที่ได้จากผลตอบก็สามารถใช้ชีวิตอยู่ได้โดยที่ไม่ต้องแตะเงินต้นเลย แต่พออัตราผลตอบแทนมันลดลง ข้าวของแพงขึ้น จึงทำให้จำเป็นที่จะต้องดึงเงินต้นออกมาใช้จ่ายในช่วงชีวิตที่เหลือ ในวัยที่ไม่มีแรงจะทำงานหาเงินแล้วอีกด้วย

ดังนั้นหากคุณยึดติดกับภาพเดิม ๆ ที่สมัยรุ่นคุณพ่อคุณแม่ที่แค่มีเงินฝากธนาคารเคยได้ดอกเบี้ย 10% ต่อปีก็มีเงินพอกินพอใช้แล้ว แต่ก็ต้องดูภาพในปัจจุบันด้วยว่า ดอกเบี้ยธนาคารแทบจะติดลบซะด้วยซ้ำ นี่คือสิ่งที่โลกการเงินแบบดั้งเดิมกำลังเป็น

และความเสี่ยงที่เคยเกิดขึ้นแล้วกับธนาคารในยุโรป ที่แบงค์มีการล้มละลาย และในสัญญาของแบงค์เขียนเอาไว้ว่า เงินฝากออมทรัพย์บัญชีที่มีเงินเกินกว่า 100,000 ยูโร ในส่วนที่เกินนั้นจะไม่ได้คืน หรืออย่างในประเทศไทยที่ธนาคารพึ่งออกกฎใหม่ว่า ทางธนาคารจะประกันเงินบัญชีละไม่เกิน 1 ล้านบาท ส่วนที่เกิน 1 ล้านบาทนั้น หากแบงค์ล้มละลายก็จะไม่รับประกันว่าจะได้คืนในส่วนที่เกิน นั่นคือความเสี่ยงที่คนที่กำลังไว้เนื้อเชื่อใจและเชื่อมั่นในตัวของธนาคารนั้นกำลังเป็นอยู่

แต่ก็อย่างที่บอกในโลกของ crypto มันก็มีความเสี่ยงของมันอยู่ ซึ่งเราก็จำเป็นที่จะต้องเรียนรู้วิธีการในการบริหารความเสี่ยง แต่ความแตกต่างระหว่างโลก crypto กับโลกของธนาคารก็คือ ในโลก crypto คุณสามารถเก็บเงินเอาไว้บนเทคโนโลยีบล็อกเชนที่คุณมีอำนาจในการควบคุมเงินนั้นได้ด้วยตัวคุณเองแบบ 100% ในขณะที่เงินที่อยู่ในธนาคารนั้น ธนาคารเป็นคนคอยควบคุม

คำถามต่อมาเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับ NFT : Non Fungible Token มันคืออะไร ยังไง และเราจะสามารถทำเงินจากมันอย่างไรได้บ้าง

โดย Raoul Pal ก็ตอบว่าย้อนกลับไปที่คำว่า Smart Contract ที่สามารถสร้างขึ้นบน blockchain อย่าง Ethereum ได้ โดยมันสามารถระบุความเป็นเจ้าของใน Digital Asset ชิ้นนั้น ๆ ได้ ซึ่งมันก็สามารถนำไปใช้ได้หลากหลายวงการ เช่นวงการศิลปะก็สามารถระบุได้ว่า ใครถือสิทธิ์ของศิลปะนั้นอยู่

โดยหากให้นึกภาพง่าย ๆ ว่า ในโลกดั้งเดิม อย่างเวลาที่เราเล่นเกมใดเกมหนึ่ง แล้วซื้อไอเทมในเกมนั้น มันก็ไม่สามารถนำไปใช้กับเกมอื่น ๆ ได้เลย และถ้าหากเกมนั้นปิดตัวลงก็จบกันกับเงินที่เคยใช้ไปในเกม เพราะเกมนั้นมันไม่ได้อยู่บน blockchain

แต่ในขณะที่โลกของ NFT นั้น มันสามารถเขียนบน Smart Contract โดยระบุว่าใครเป็นเจ้าของไอเทมชิ้นไหนอยู่บ้าง นั่นมันจะทำให้สามารถระบุตัวตนได้ว่า ใครถือสิทธิ์ของแท้ชิ้นนั้นอยู่ ยกตัวอย่างเช่น อย่าง Nike ก็เริ่มจดสิทธิบัตรเพื่อเตรียมนำแบรนด์ของตนเองเข้าไปใช้ในโลกของ blockchain เข้าไปใช้ในโลกของ metaverse ลองนึกภาพตามว่า สมมติว่า Nike มีการออก NFT รองเท้าราคาแพงอย่างรุ่น Air Jordan Limited Edition ราคาหลักล้านขึ้นมา แล้วคุณซื้อมันไป จากนั้นไม่ว่าคุณจะเล่นเกมไหนก็สามารถสวมใส่เจ้ารองเท้าที่สามารถระบุได้ว่า คุณเป็นเจ้าของสิทธิ์ของแท้ หรือแม้แต่ในโลก metaverse คุณก็สามารถนำมันไปสวมใส่ใน Avatar ของคุณได้

หรืออย่างตลาดงาน Art ที่มีคนซื้องานศิลปะจาก Cryptopunk ที่ภาพหนึ่งมีมูลค่าหลายล้าน ซึ่งมันกำลังบูมมาก โดยตลาดก็กำลังเกิดกรณีศึกษาอีกเยอะแยะมากมายที่สามารถเข้ามาสร้างเม็ดเงินในโลกนี้ได้ แต่ถ้าให้ถามจริง ๆ ว่าจะหาเงินจาก NFT ยังไง Raoul Pal ก็ตอบตามตรงว่า เขาก็ไม่รู้เหมือนกัน “ไม่รู้ ไม่รู้ ไม่รู้” เพราะมันเป็นอะไรที่ยากและซับซ้อนมาก เพราะบางอย่างราคาก็แพงอย่างบ้าคลั่ง มันเป็นตลาดที่เล่นด้วยยากมาก เพราะต้องยอมรับว่า NFT กว่าร้อยละ 95 นั้นเป็นโปรเจคที่ล้มเหลว โดยสิ่งที่เล่นง่ายกว่าก็คือการถือ Ethereum เพราะ NFT ส่วนใหญ่อยู่บนเครือข่าย Ethereum ดังนั้นหากตลาด NFT โต มันก็มีโอกาสที่จะส่งผลให้ Ethereum โตขึ้นไปอีก

Image credit : https://cryptoquant.com/overview/eth-exchange-flows

ลองนึกภาพตามว่า การถือ Ethereum ราคาของมันจะขึ้นได้อย่างไร มันจะเป็นไปตามหลัก Demand&Supply เมื่อมีความต้องการซื้อมากแต่ของกลับมีจำนวนที่น้อย ดังนั้นคนก็จะเข้ารุมแย่งกันซื้อ เพราะมันเริ่มหายากขึ้น เพราะเดี๋ยวบ้างก็เอา Ethereum ไป Stake ล็อคกินดอกเบี้ยบ้างล่ะ, เดี๋ยวก็เอา Ethereum ไปลงโลก DeFi บ้างล่ะ, เดี๋ยวก็เอา Ethereum ไปใช้ในโลก NFT บ้างล่ะ และเดี๋ยวก็มีนักลงทุนหน้าใหม่เข้ามาซื้อเก็บเพิ่มบ้างล่ะ ซึ่งหากปริมาณความต้องการใน Ethereum มันเติบโตแบบ Exponential แล้วล่ะก็ ปริมาณ Supply จะลดลงอย่างรวดเร็ว มันจึงส่งผลให้ราคาของ Ethereum นั้นมีโอกาส to the MOON หรือระเบิดเป็นพลุแตกได้ แต่อย่างที่บอกนี่ไม่ใช่คำแนะนำในการลงทุนนะครับ เป็นเพียงมุมมองจาก Raoul Pal