Blue O'Clock

สตูดิโอผลิตและพัฒนาสื่อการเรียนรู้ด้านการลงทุน ธุรกิจ จิตวิทยาและการพัฒนาตนเอง อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

THE CEO STORY

ประวัติ Kylie Jenner แชมป์มหาเศรษฐีพันล้านที่มีอายุน้อยที่สุดในโลก

หากพูดถึงมหาเศรษฐีพันล้านที่สร้างฐานะขึ้นมาได้ด้วยตนเองที่มีอายุน้อยที่สุดในโลก ณ ตอนนี้ ที่มีการล้มแชมป์ในปี 2018 ที่ผ่านมา คงไม่มีใครคาดคิดว่าสาวน้อยวัย 21 ปี นามว่า Kylie Jenner (ไคลีย์ เจนเนอร์) กลายเป็นมหาเศรษฐี Billionaire ที่ทุบแชมป์สถิติเดิมในตำแหน่งนี้ของ Mark Zuckerberg ที่เคยครองแชมป์มหาเศรษฐีที่อายุน้อยที่สุดในโลกในวัย 23 ปี จากการก่อตั้งโซเชียลมีเดียอย่าง Facebook แต่ในขณะที่ Kylie Jenner กลายเป็นมหาเศรษฐีจากการเป็นเจ้าแม่ในวงการเครื่องสำอางแบรนด์ตัวเองที่มีชื่อว่า Kylie Cosmetics ที่สามารถสร้างยอดขายได้มากกว่า 900 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยใช้เวลาน้อยกว่า 3 ปี

Kylie Kristen Jenner เกิดเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม ปี 1997 เกิดที่เมือง Calabasas, Los Angeles รัฐ California ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยเป็นลูกของ Kris Jenner และ Bruce Jenner (ซึ่ง ณ ปัจจุบันได้กลายร่างมาเป็น Caitlyn Jenner ที่นับได้ว่าเป็นสาวประเภทสองที่มีผู้ติดตามบน IG มากที่สุดในโลกคนหนึ่งเลยก็ว่าได้ โดยในปี 2019 มีผู้ติดตามสูงถึง 9.3 ล้านคนเลยทีเดียว) และมีพี่สาวอีกหนึ่งคนคือ Kendall Jenner ที่เป็นนางแบบชื่อดังอีกด้วย

ชีวิตในวัยเด็กของ Kylie Jenner

ในปี 2007 Kylie Jenner ในวัย 10 ปี ได้เข้าสู่วงการบันเทิง ในรายการ Keeping up with the Kardashians โดยเป็นเรียลลิตี้ซีรี่ย์ของตระกูล Kardashian-Jenner โดย Kylie เป็นสมาชิกที่อายุน้อยที่สุดในครอบครัว

ซึ่งจากข่าววงในมีการประมาณการว่า ในการถ่ายทำแต่ละ Episode นั้น ครอบครัว Kardashian-Jenner นี้ได้เงินค่าตอบแทนราว ๆ 10,000,000 เหรียญสหรัฐฯ ซึ่งคาดว่าอย่างน้อย ๆ ส่วนแบ่งของ Kylie ต่อหนึ่งตอนน่าจะอยู่ที่ราว ๆ 500,000 เหรียญสหรัฐฯ โดยตั้งแต่เปิดรายการมา มีแล้วมากกว่า 220 ตอน ซึ่งเธอได้แสดงในซีรี่ย์ประมาณ 158 ตอน หรือเธอน่าจะได้ค่าเหนื่อยตลอด 10 ปีอยู่ที่ราว ๆ 158×500,000 = 79 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ตีเป็นเงินไทยก็ราว ๆ 2,370,000,000 บาท (โดยเป็นตัวเลขประมาณการแบบคร่าว ๆ)

และจากการที่มีผู้คนทั่วโลกดูรายการซีรีย์นี้ที่ฉายไปกว่า 160 ประเทศทั่วโลก ก็ทำให้ Kylie Jenner มีผู้ติดตามบนโลกออนไลน์อย่างล้นหลาม ที่ ณ ปัจจุบัน มียอดติดตามบน IG สูงกว่า 143 ล้านคน ทาง Twitter 28 ล้านบัญชี และได้ถูกบันทึกว่าเป็นบุคคลที่มีผู้ติดตามสูงที่สุดบน SnapChat ในปี 2018 อีกด้วย โดยว่ากันว่า หากใครต้องการลงโฆษณาโดยการโพสต์ลงบน IG ของเธอ ต้องจ่ายเงินค่าจ้างเป็นจำนวนกว่า 1 ล้านเหรียญฯ (หรือประมาณ 30 ล้านบาท) กันเลยทีเดียว

ชีวิตช่วงเข้าสู่การเป็นนักธุรกิจของ Kylie Jenner

แต่ในช่วงชีวิตของเธอไม่มีอย่างอื่นที่เป็นของตัวเองเลยนอกจากรายการทีวีซีรี่ย์ ที่มีแม่ของเธอคอยกุมบังเหียนอยู่ ในขณะที่เหล่าบรรดาพี่ ๆ ของเธอนั้นต่างก็มีช่องทางการสร้างรายได้ในรูปแบบอื่น ๆ อีก เช่น Kim Kardashian สามารถสร้างรายได้จาก Mobile Game, Rob Kardashian สร้างรายได้จากธุรกิจถุงเท้า และพี่สาวแท้ ๆ ของเธออย่าง Kendall Jenner ก็มีรายได้จากการเป็นนางแบบ

แต่ด้วยความที่ Kylie นั้น ตั้งแต่เธอเข้าสู่วงการตั้งแต่อายุได้ 10 ขวบ แต่เธอกลับดูโตเกินกว่าวัยของเธอ ซึ่งเธอชอบที่จะแต่งหน้าแต่งตาเพื่อเพิ่มความมั่นใจให้กับตัวเอง โดยเธอเรียนรู้วิธีการแต่งหน้าจากวีดีโอบน Youtube และใชิวิชาครูพักลักจำจากช่างแต่งหน้ามืออาชีพในละครซีรี่ย์ที่เธอแสดงอยู่นั่นเอง

และมีอยู่ช่วงหนึ่งในปี 2014 ที่เธอโดนโจมตีจากชาวเน็ตว่า เธอได้ทำศัลยกรรมที่ริมฝีปาก เนื่องจากริมฝีปากของเธอนั้น ดูอวบอิ่มเกินกว่าจะเกิดจากธรรมชาติ จนทำให้กลายเป็นไวรัลที่ชื่อว่า Kylie Jenner Lip Challenge ซึ่งเป็นการที่วัยรุ่นหญิงสาววัยทีน แข่งกันทำปากอวบอิ่มด้วยการเอาปากของตัวเองดูดอากาศภายในขวดทำให้เกิดสุญญากาศแล้วทำให้เลือดมาห้อรวมกันที่ริมฝีปากจนบวมเป่ง

จนในที่สุดในปี 2015 ก็ทำให้เธอประกาศยอมรับออกมาว่า เธอฉีดฟิลเลอร์ชั่วคราวจริง ๆ เพราะรู้สึกไม่มั่นใจกับริมฝีปากของตัวเอง แต่นั่นก็ทำให้เธอชัดเจนในจุดยืนซึ่งเธอประกาศออกมาเองว่าเธอเลือกความสวยที่เกิดจากการสังเคราะห์ มากกว่าที่ธรรมชาติมอลให้มาตั้งแต่เกิด และเธอพร้อมที่จะใช้เครื่องสำอางแบบจัดเต็มทุกครั้ง และพร้อมใช้ศัลยกรรมพลาสติกเข้าช่วย เพื่อให้ตนเองรู้สึกสวยอย่างมั่นใจที่สุด ในทุกครั้งที่เธอมีโอกาสและสามารถทำได้ โดยเธอได้รับการยกย่องว่าเป็นตัวแม่ในด้านแฟชั่นและบิ้วตี้ โดยรู้จักกันในนาม lushes lips ที่มีริมฝีปากอวบอิ่ม จนกลายเป็นแบบอย่างของสาววัยรุ่นหลายต่อหลายคนที่ต้องการมีฝีปากอันอวบอิ่มแบบเธอ

และในปี 2015 นี้นี่เองที่เธอตัดสินใจนำเงินเก็บจำนวน 250,000 ดอลล่าร์ฯ เพื่อว่าจ้างบริษัทผลิตเครื่องสำอางเป็นจำนวน 15,000 ชุด ซึ่งในหนึ่งเซ็ทประกอบไปด้วย ลิปสติกสีสันฉูดฉาดตามสไตล์ของเธอ พร้อมกับที่เขียนมุมปาก(lipstick and lip liner) โดยเธอเริ่มต้นจากการผลิตเซ็ทลิปสติก Kylie Lip Kits ซึ่งมีเพียง 3 เฉดสี 

ซึ่งในระหว่างที่ทำการผลิตสินค้า เธอก็ทำการตลาดด้วยการโพสต์ตัวเองที่กำลังใช้ลิปติกของแบรนด์เธอเองอยู่เรื่อย ๆ เป็นระยะเวลาประมาณ 1 เดือนก่อนที่จะวางขาย

จนกระทั่งในวันที่ 30 พฤศจิกายน ปี 2015 นี้นี่เอง เธอก็ได้ประกาศขายผ่านทางออนไลน์บน IG ของเธอ ในราคาเซ็ทละ 29 เหรียญฯ ซึ่งผ่านไปไม่เพียงกี่นาที สินค้าของเธอก็ถูกชาวเน็ตแห่เข้ามาซื้อจนหมดเกลี้ยงทั้ง 15,000 set โดยคิดเป็นยอดขายได้ประมาณ 435,000 ดอลล่าร์ฯ (ประมาณ 13 ล้านบาท) นั่นเท่ากับว่า เงินก้อนแรกที่เธอได้ลงทุนไปนั้น เธอได้กำไรทันทีกว่า 185,000 ดอลล่าร์ (หรือราว ๆ 5.55 ล้านบาท) เลยทีเดียว

และหลังจากที่ Kris แม่ของ Kylie ได้รับทราบเรื่องนี้ ต่อมรับรู้กลิ่นเงินของเธอก็ทำงานทันที โดยแม่ของเธอได้เข้ามาคุยกับเธอแล้วบอกว่า นี่คือโอกาสทางธุรกิจอย่างมหาศาลที่จะต้องไปปล่อยให้โอกาสหลุดมือไป อย่าให้มันเป็นเพียงเหตุการณ์ที่เกิดชั่วครั้งชั่วคราว แต่ต้องเกิดในรูปแบบซ้ำแล้วซ้ำเล่าในแบบธุรกิจจริงจัง 

Kris แม่ของ Kylie จึงตัดสินใจนำธุรกิจขึ้นสู่ระบบอีคอมเมิร์ซอย่างจริงจังบนแพลตฟอร์มของ Shopify ที่ก่อตั้งโดย Tobias Lütke แพลตฟอร์มขายของออนไลน์ยักษ์ใหญ่ระดับโลก และทำการเปิดตัว Kylie Cosmetics อีกครั้งในเดือนธันวาคม 2015 หนึ่งเดือนถัดมาทันทีหลังจากที่เปิดขายครั้งแรก

และแล้ว Kylie Cosmetics ก็ถูกเปิดตัวผลิตภัณฑ์ล็อตใหม่อีกครั้งบนแพลตฟอร์ม Shoplify ในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2016 โดยในครั้งนี้ ได้เพิ่มเฉดสีใหม่เข้ามาด้วยรวมเป็น 6 เฉดสี และที่สำคัญคือ มีสต็อคตุนไว้มากกว่า 500,000 ชุด เพื่อรองรับปริมาณออเดอร์ตลอดทั้งปี

และก็คาดไม่ผิด เพราะเกิดปรากฏการณ์ยอดขายถล่มทลายครั้งใหญ่อีกครั้งในช่วงเดือนพฤศจิกายน ปี 2016 นี้นี่เอง ที่เธอได้จัดแคมเปญ Holiday Collection ที่ถือว่าเป็น Limited Edition ทำให้ผู้คนแห่มาซื้อด้วยยอดขายสูงกว่า 19 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (หรือราว ๆ กว่า 589 ล้านบาท) ภายในวันเดียว! ส่งผลให้ปี 2016 นี้ Kylie Cosmetics มีสินค้ามากกว่า 50 อย่างและสามารถสร้างยอดขายได้กว่า 307 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือราว ๆ 9,500 ล้านบาท ด้วยอายุบริษัทที่ยังไม่ถึง 1 ปีเต็มด้วยซ้ำไป

และหลังจากนั้น เธอก็ได้เพิ่มไลน์การผลิตสินค้าใหม่ ๆ ออกมาในทุก ๆ สัปดาห์ ไม่ว่าจะเป็น บลัชออน, อายแชโดว์, อายไลเนอร์ ฯลฯ ทำให้ภายใน 2 ปีแรกที่เธอเริ่มต้นทำธุรกิจ ก็กวาดรายได้ไปแล้วกว่า 630 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (หรือราว ๆ 19,500 ล้านบาท) ทำให้ในเดือนสิงหาคม ปี 2018 นิตยสารชื่อดังอย่าง Forbes ก็นำเธอขึ้นปกพร้อมกับขึ้นพาดหัวว่า เธอกำลังจะกลายเป็นมหาเศรษฐินี Billionaire ที่สร้างฐานะขึ้นมาได้ด้วยตนเอง ที่มีอายุน้อยที่สุดในโลก ในวัย 21 ปี ซึ่งแต่เดิมแชมป์ตำแหน่งนี้ ตกเป็นของ Mark Zucerkerberg ผู้ก่อตั้ง Facebook ที่เคยทำสถิติไว้ที่อายุ 23 ปี ที่ก้าวขึ้นมาเป็นมหาเศรษฐี Billionaire ที่สร้างฐานะขึ้นมาได้ด้วยตนเอง ที่มีอายุน้อยที่สุดในโลก 

แต่ที่น่าตกใจไปยิ่งกว่านั้นก็คือ บริษัทมูลค่าพันล้านของเธอนั้น มีพนักงานประจำแค่เพียง 7 คน บวกกับพนักงานพาร์ทไทม์อีก 5 คนเท่านั้น เพื่อดูและภาพรวมของแบรนด์ Kylie Cosmetics ส่วนเรื่องการผลิตสินค้า แพคของ ส่งของ รวมไปถึงการขายสินค้านั้น เธอมอบหมายให้ทีมงาน Outsources หรือบริษัทจัดจ้างภายนอก เข้ามาดูแลแทนทั้งหมด โดยมีแม่ของเธอ Kris Jenner มาดูแลเรื่องของการเงินและการประชาสัมพันธ์ ซึ่ง Kylie ได้เอ่ยถึงคุณแม่ของเธอว่า คุณแม่ของเธอนั้นคือไอดอลตัวจริง ที่เธอต้องการจะเป็นมาโดยตลอด เธอยกย่องและให้เครดิตกับแม่ของเธอเป็นอย่างมากว่า ที่เธอมีทุกวันนี้ได้นั้นก็เพราะแม่ของเธอคอยส่งเสริม สนับสนุนและผลักดันมาตลอดนั่นเอง

ทีนี้เราลองมาดูกันว่า สาเหตุที่ทำให้ Kylie Jenner ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งยวดและรวดเร็วนั้น มีสาเหตุจากข้อใดกันบ้าง

6 ปัจจัยความสำเร็จของ Kylie Jenner

ปัจจัยที่ 1 การวางตัวเองให้เป็น Influencer ตั้งแต่ยังเด็ก

ซึ่งอาจจะเรียกได้ว่า เป็น 10 years success overnight ก็ไม่ผิด เพราะก่อนที่เธอจะมียอดขายจากธุรกิจส่วนตัวอย่างถล่มทลายนั้น เธอสร้างฐานแฟนคลับและแฟนพันธุ์แท้อย่างเหนียวแน่น เป็นเวลาร่วมกว่า 10 ปี ตั้งแต่ที่เธอเข้าวงการบันเทิงมา ซึ่งทำให้จากการที่ทีวีซีรี่ย์ Keeping up with the Kardashian ที่ถูกฉายไปกว่า 160 ประเทศทั่วโลก 

ปัจจัยที่ 2 – เจ้าแม่ Social Media

และผลพวงจากข้อที่แล้ว จึงทำให้มีคนเข้ามาติดตามโซเชียลมีเดียของ Kylie Jenner อย่างมหาศาล โดยมีคนติดตาม Instagram กว่า 143 ล้านคน, Twitter มีคนติดตามกว่า 28 ล้านบัญชี และยังมีผู้ติดตามสูงที่สุดบน SnapChat ณ ขณะนั้นอีกด้วย และก่อนเธอจะโพสต์เปิดตัวขายสินค้าของตนเองนั้น โซเชียลมีเดียของเธอก็ได้ถูกใช้เป็นพื้นที่โฆษณาให้กับแบรนด์ต่าง ๆ อย่างมากมาย และแบรนด์เหล่านั้นก็พิสูจน์ตลาดให้เธอเรียบร้อยแล้วว่า พื้นที่โซเชียลมีเดียของเธอนั้น สามารถช่วยให้ยอดขายของแบรนด์ที่มาลงโฆษณากับเธอ เพิ่มขึ้นอย่างมากมาย โดยกรณีศึกษาสามารถดูได้จากแบรนด์แฟชั่นอย่าง Nova ที่จู่ ๆ ก็กลายเป็นแบรนด์แฟชั่นที่ติดอันดับ 1 ใน 5 ที่คนทั่วโลกค้นหาบน Google ในช่วงปี 2017 ซึ่งทัดเทียมกับแบรนด์ชั้นนำระดับโลกอย่าง Gucci, Louis Vuitton, Supreme และ Chanel

ปัจจัยที่ 3 – ทดสอบขายสินค้าแฟชั่นในช่องทางของตนเอง

ในปี 2013 Kylie กับพี่สาวของเธอ Kendall ได้จับมือกับ Nicole by OPI เพื่อผลิตสีทาเล็บขึ้นมาในคอเลคชั่นพิเศษ ซึ่งทั้งสองพี่น้องก็สามารถทำเงินจากการดีลในครั้งได้กว่า 100,000 ดอลล่าร์ฯ หรือประมาณกว่า 3 ล้านบาท

นอกจากนั้นในปี 2013 เดียวกันนี้นี่เองที่ Kylie Jenner ได้ร่วมทำแบรนด์เสื้อผ้าร่วมกับพี่สาวนางแบบชื่อดังอย่าง Kendall Jenner โดยทั้งคู่ได้จับมือกับ PacSun ที่เป็นแบรนด์ค้าปลีกเสื้อผ้าชื่อดังของอเมริกา เพื่อผลิตเสื้อผ้า Collection ที่ชื่อว่า Kendall & Kylie 

ปัจจัยที่ 4 ตัดสินใจเปิดบริษัทขายเครื่องอางในแบรนด์ตัวเองอย่าง Kylie Cosmetics

และเมื่อทุกอย่างถูกพิสูจน์แล้วว่า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าแฟชั่นจากแบรนด์เล็กแบรนด์ใหญ่ หรือแม้กระทั่งแบรนด์เสื้อผ้าของตนเอง ก็สามารถสร้างยอดขายได้อย่างถล่มทลาย แทนที่ Kylie จะทำสินค้าร่วมกันกับแบรนด์ดังอย่างดาราคนอื่น ๆ แต่เธอกลับตัดสินใจต่อยอดด้วยการเปิดบริษัทขายเครื่องสำอางในชื่อตนเองว่า Kylie Cosmetics โดยเธอเป็นเจ้าของเองคนเดียวแบบ 100% เต็ม โดยเธอนำเงินเก็บของเธอบางส่วนมาลงทุนเพื่อผลิตสินค้าเป็นจำนวน 250,000 ดอลล่าร์ และโพสต์ขายผ่านทางโซเชียลมีเดียในเครือของเธอเอง ในราคาเซ็ตละ 29 ดอลล่าร์ฯ ปรากฏว่า ขายหมดเกลี้ยง โดยมีออเดอร์เข้ามากว่า 15,000 ออเดอร์ และหมดสต็อคลงภายในไม่กี่นาทีที่เธอเผยแพร่โพสต์นั้นไป ทำให้ได้เงินกลับมาเป็นกำไรเกือบสองเท่าจากเงินที่ลงทุนไป เธอจึงตัดสินใจผลิตสินค้าและคอเลคชั่นใหม่ ๆ ตามออกมาอีกเพียบโดยในปี 2017 มีสินค้ามากกว่า 30 อย่าง ทำให้รายได้และธุรกิจของเธอเติบโตแบบก้าวกระโดดในทันที

ปัจจัยที่ 5 – บุกทั้งออนไลน์และออฟไลน์

แม้ว่าธุรกิจของเธอจะเริ่มต้นด้วยการขายออนไลน์ผ่านโซเชียลมีเดียเป็นหลัก แต่เธอก็มีวิสัยทัศน์ที่จะนำสินค้าไปวางขายในหน้าร้าน เพื่อที่ว่าลูกค้าในกลุ่มวัยรุ่นที่ยังไม่สามารถทำบัตรเครดิตการ์ดเพื่อซื้อของออนไลน์ได้นั้น ได้เข้าถึงสินค้าของเธอและมีประสบการณ์ที่ดีกับแบรนด์ เธอจึงร่วมเป็นพาร์ทเนอร์กับ Ulta ซึ่งเป็นผู้จัดจำหน่ายสินค้าที่มีกว่า 1,000 สาขาทั่วสหรัฐอเมริกา โดยในเดือนพฤศจิกายน ปี 2018 สามารถทำยอดขายจากหน้าร้านได้กว่า 55 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (หรือราว ๆ 1,700 ล้านบาท) ภายในเวลาเพียง 6 สัปดาห์เท่านั้น!

ปัจจัยที่ 6 – ทำงานให้น้อยแต่ได้ผลลัพธ์ที่มหาศาล

งานหลักของเธอในบริษัท Kylie Cosmetics ก็คือ การเลือกสีลิปสติกเพื่อที่จะนำไปผลิตสินค้าล็อตใหม่ ๆ ส่วนนอกนั้น เธอออกคำสั่งให้ทีมงานเป็นคนจัดการทั้งหมด โดยมีพนักงานประจำภายในบริษัทเพียง 7 คน และพาร์ทไทม์อีก 5 คนเท่านั้น ส่วนที่เหลือใช้การจัดสร้างจากบริษัทภายนอกทั้งหมด จะเห็นได้ว่าตรงกันข้ามกับบริษัทระดับพันล้านที่ต้องมีพนักงานเป็นร้อย ๆ คน มีตึกใหญ่เป็นร้อย ๆ ไร่ แต่บริษัทเธอกลับมีพนักงานประจำไม่ถึงสิบคนด้วยซ้ำไป

  • ในด้านการผลิตเครื่องสำอางและคิดค้นสูตรมอบหมายให้ Spatz Laboratories ที่รับผลิตเครื่องสำอางแบบ OEM ที่เป็นฐานผลิตเดียวกันกับแบรนด์ดังอย่าง L’Oréal
  • แพคเกจจิ้งและการส่งสินค้ามอบหมายให้ Outsource อย่าง Seed Beauty เป็นคนจัดส่ง
  • ในด้านการขายและสต็อคสินค้ามอบหมายให้แพลตฟอร์มออนไลน์ช้อปปิ้งยักษ์ใหญ่อย่าง Shopify เป็นคนจัดการ
  • ในด้านการเงินและการประชาสัมพันธ์ ก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของ Kris Jenner คุณแม่ของเธอจัดการทั้งหมด

โดยในปี 2019 Kylie Jenner ในวัย 22 ปี มีทรัพย์สินอยู่ที่ 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือราว ๆ 30,000 ล้านบาท โดยเธอครองแชมป์มหาเศรษฐีที่สามารถทำเงินได้มากกว่าพันล้านเหรียญสหรัฐฯ ที่มีอายุน้อยที่สุดในโลกได้ด้วยตนเองนับตั้งแต่ที่โลกนี้เคยมีมา

Resources