Site icon Blue O'Clock

ประวัติ Reed Hastings ผู้ก่อตั้ง Netflix ผู้ให้บริการ VDO Steaming Online ที่มียอดสมาชิกกว่า 100 ล้านคน

รีด ฮาสติงส์ - Reed Hastings

Reed Hastings (รีด แฮสติ้งส์) ถ้าจะกล่าวกันแล้วเขาคือบุคคล ที่มีความมุ่งมั่นที่คิดจะทำอะไรแล้วก็จะทำให้สำเร็จ เป็นผู้ที่มีความคิดสร้างสรรค์และมองการไกล มีความอดทน เพื่อรอจังหวะและโอกาสที่จะมาถึง สามารถนำความพร้อมนั้นมาเป็นประโยชน์ในการสร้างธุรกิจจนประสบความสำเร็จได้อย่างยิ่งใหญ่ เขาเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง Netflix  ผู้ให้บริการ VDO Streaming Online ส่งผ่านความบันเทิงทั้งละครซีรี่ย์และภาพยนตร์ ที่มียอดผู้สมัครเป็นสมาชิกใช้บริการ ทั่วโลกมากกว่า 100 ล้านคน และประสบความสำเร็จอย่างสูงได้ด้วยเวลาเพียงไม่นาน โดยในปี 2017 ที่ผ่านมาสามารถสร้างรายได้กว่า 11.69 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือราว ๆ กว่า 3 แสนล้านบาท เลยทีเดียว

เรื่องราวของนาย Reed Hastings เขาเป็นใครมาจากไหน มีแนวคิดอย่างไร ถึงได้ก่อตั้ง Netflix ขึ้นมาและเขาทำอย่างไรจึงสามารถทำให้ Netflix ประสบความสำเร็จอย่างสูงมากในปัจจุบัน เป็นเรื่องราวที่น่าสนใจ ชวนให้ศึกษา สามารถนำมาเป็นแบบอย่างได้เป็นอย่างดี    

ประวัติของ Reed Hastings ( รีด แฮสติงส์)

Wilmot Reed Hastings Jr. หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ Reed Hastings นั้น เกิดเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 1960 เป็นชาวอเมริกัน เกิดที่รัฐ Massachusetts เมือง Boston เป็นลูกของ Joan Amory Loomis และ Wilmot Reed Hastings พ่อของเขาเป็นนักกฎหมายทำงานอยู่ในสำนักงานด้านการสาธารสุข สวัสดิการและการศึกษา ของมลรัฐ Massachusetts   

Reed Hastings นั้นได้จบจากโรงเรียน Buckingham Browne & Nichols School Cambridge และเข้ารับการศึกษาต่อทางด้านคณิตศาสตร์ที่ Bowdoin College และจบการศึกษาจากที่นี่ในปี 1983 และเข้าทำงานกับ Peace Corps ซึ่งเป็นงานโครงการอาสาสมัคร กำกับดูแลโดยรัฐบาลของสหรัฐอเมริกา จัดส่งอาสาสมัครไปพัฒนาประเทศต่าง ๆ ที่ด้อยพัฒนา Hastings เคยไปที่ประเทศ Swaziland ที่อยู่ในทวีป Africa เพื่อสอนคณิตศาสตร์ ให้แก่นักเรียนในชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ในระหว่างปี 1983-1985

เขากล่าวว่าประสบการณ์ที่ได้รับจากการทำงานเป็นอาสาสมัครในทวีป Africa นั้นช่วยทำให้เขาได้เรียนรู้ ในการฝึกฝนตัวเองให้มีความอดทนและมีทักษะที่สามารนำมาประยุกต์ใช้กับการเริ่มต้นทำธุรกิจ และสร้างความมั่นใจให้กล้าพอที่จะต่อสู้กับความเสี่ยง   

ภายหลังที่เขากลับจากการเป็นอาสาสมัครที่ประเทศ Swaziland เขาก็ได้เข้าศึกษาต่อที่มหาวิยาลัย Stanford University ในทันที และสำเร็จการศึกษาระดับ Master Degree ในสาขาวิทยาศาสตร์ คอมพิวเตอร์ ในปี 1988   

ประวัติการทำงานของ Reed Hasting

Reed Hastings เริ่มทำงานทันทีที่จบการศึกษา ด้วยการเป็นนักพัฒนา Software รับหน้าที่การปรับแต่ง Software คอมพิวเตอร์ที่บริษัท Adaptive Corporation โดยในปี 1990 เขาทำงานให้กับ Audrey MacLean ซึ่งเป็น CEO ของบริษัทอยู่ในขณะนั้น เขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับพลังของการ FOCUS และการให้ความสำคัญต่อการสร้างมูลค่าของผลิตภัณฑ์ที่ดีเพียงอย่างเดียวย่อมดีกว่าสองอย่าง จาก Audrey MacLean ซึ่งต่อมาในปี 1991 Hastings ก็ได้ลาออก เพื่อไปก่อตั้งบริษัทของตนเอง   

โดยในปี 1991 เขาก็ได้ตั้งบริษัทของเขาเองโดยใช้ชื่อว่า บริษัท Pure Software เป็นบริษัทที่สร้างผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับ Software สำหรับใช้ในการแก้ปัญหาทางด้าน Software ให้กับบริษัทอื่น ๆ โดยบริษัท Pure Software ที่เขาตั้งขึ้นมานั้นมีเติบโตอย่างรวดเร็ว จึงเป็นเครื่องพิสูจน์ให้เห็นว่า เขามีความสามารถและมีความมุ่งมั่นในการพัฒนาบริษัทให้เจริญก้าวหน้า ซึ่งเขาเองก็ต้องยอมรับว่าเขาไม่ได้มีการเตรียมการในการรองรับการบริหารจัดการ หากบริษัทเติบโตอย่างรวดเร็ว และด้วยความที่เขาเป็นวิศวกรอาชีพ เขาพบว่าความรับผิดชอบต่อหน้าที่ของการเป็น CEO ค่อนข้างที่จะเป็นปัญหาใหญ่สำหรับเขา

ในปี 1996 Reed Hastings จึงได้นำ Pure Software ของเขาเข้าควบรวมกิจการกับ Atria Corporation ซึ่งต่อมาเกิดสิ่งที่ไม่ได้คาดคิดมาก่อนขึ้น ภายหลังจากที่เข้าควบรวมกิจการเป็น Pure Atria ในปี 1997 บริษัทก็ถูกขายต่อไปให้กับบริษัท Rational Software

Hastings ได้สะสมประสบการณ์การบริหารจัดการบริษัท จากการตั้งบริษัท Pure Software ของเขา ซึ่งถือว่าเป็นประสบการณ์ที่มีคุณค่าสำหรับเขาอย่างมากในชีวิตการทำธุรกิจ

ในวันที่ 20 สิงหาคม ปี 1997 Reed Hastings ได้ร่วมกับ Marc Randolph จับมือกันก่อตั้ง Netflix ขึ้น เพื่อดำเนินธุรกิจด้านการให้เช่าสื่อความบันเทิง VDO ภาพยนตร์ แก่ลูกค้าที่อยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกา

ในปี 1998 Netflix ที่มีฐานตั้งมั่นอยู่ที่เมือง Los Gatos ในรัฐ California ได้เริ่มจัดทำระบบการส่งไปรษณีย์สำหรับให้เช่า DVD ภาพยนตร์ และเปิดให้บริการแก่ลูกค้า ซึ่งในเบื้องต้น ลูกค้าจะได้รับ DVD เพื่อนำไปเปิดชมและจะต้องส่งคืนภายในไม่เกิน 7 วัน หากส่งเกินกำหนดจะต้องถูกปรับเป็นเงิน

และด้วยความที่ Reed Hastings นั้น เป็นคนที่เอาใจใส่ในธุรกิจและต้องการพัฒนาเพื่อให้เกิดความพึงพอใจต่อลูกค้ามากที่สุด เขาจึงทดสอบด้วยการลองเช่าวีดีโอจากบริษัทตัวเอง ว่าสามารถส่งของได้ตรงเวลาและแผ่นอยู่ในสภาพดีเยี่ยมหรือไม่ แต่เขาก็ดันลืมส่งแผ่นกำหนดประมาณ 1 สัปดาห์ เขาจึงถูกปรับค่าส่งแผ่นคืนล่าช้าเป็นจำนวนเงินประมาณ 40 ดอลล่าร์ (หรือราว ๆ พันกว่าบาท) ซึ่งทำให้เขารู้สึกไม่ค่อยดีนัก ยิ่งมองในมุมของลูกค้าแล้วล่ะก็ การถูกปรับเป็นเงินจำนวนนี้ จะต้องส่งผลร้ายต่อธุรกิจของเขาอย่างแน่นอน

และจากเหตุการณ์ดังกล่าวจึงนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงระบบบริหารจัดการใหม่ Hastings ได้เปลี่ยนระบบใหม่ จากการให้เช่า DVD รายแผ่น มาเป็นให้ลูกค้าสมัครเข้าเป็นสมาชิกและชำระค่าบริการสมาชิกเป็นรายเดือน และพร้อมให้สมาชิกสามารถนำ DVD ไปรับชมได้ อย่างไม่มีข้อจำกัด

Netflix เติบโตอย่างมั่นคง Hastings กลายเป็นผู้บริหารที่ได้รับความสนใจอย่างมากและเป็นที่รู้จักของผู้คน เขาได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้บริหารที่มีกลยุทธ์ในการบริหารจัดอย่างสร้างสรรค์และมีนวัตกรรม ซึ่งในการบริหารจัดการ Netflix เขาได้ออกกลยุทธ์ใหม่ ๆ มาเสมอ เพื่อมุ่งการขยายธุรกิจ ทั้งการเข้าสู่การเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจกับโรงฉายภาพยนตร์ และสร้างแคมเปญด้านการตลาด เน้นไปที่การสร้างภาพลักษณ์ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ เป็นผู้ให้บริการสื่อความบันเทิง ทั้งภาพยนตร์ Indie ภาพยนตร์สารคดี และภาพยนตร์อื่น ๆ สร้างช่องทางการเข้าถึงลูกค้าในช่องทางการให้บริการอื่น ๆ เพิ่มมากขึ้น

ในปี 2007 Netflix มีการส่ง DVD ให้แก่ลูกค้ามากกว่า 1,000 ล้านแผ่นทั่วสหรัฐอเมริกา และในวันนี้ VDO Steaming Online ของ Netflix มีสมาชิกที่ใช้บริการแล้วกว่า 100 ล้านคนทั่วโลก   

แต่ทุกอย่างก็เหมือนจะไปได้ดี เพราะในวันที่ 29 พฤษาคม ปี 2002 Reed Hastings ได้นำ Netflix เข้าระดมทุนในตลาดหุ้น Nasdaq โดยมีราคาหุ้นปิดอยู่ที่ $15.00 แต่หลังจากนั้นไม่นานก็มียักษ์ใหญ่อย่าง Walmart แห่งวงการค้าปลีกของสหรัฐอเมริกา กระโดดเข้ามาแข่งขันในการขาย DVD เป็นเหตุทำให้ราคาหุ้นของ Netflix จากเดิมที่ราคา $15.00 ตกฮวบไปอยู่ที่ $2.50 ในทันที

แต่อย่างไรก็ตาม Reed Hastings รู้ว่า Wallmart ไม่ได้มีเป้าหมายทางธุรกิจอย่างที่เขามีเป้าหมาย Netflix ต้องต่อสู้กับ Wall-Mart ในช่วงระหว่างปี 2002-2003 และในเดือนพฤษภาคม ปี 2005 Walmart ก็ออกจากตลาดการให้บริการเช่า DVD

โดย Wamart เชื่อว่าการทำธุรกิจจำหน่าย DVD จะให้โอกาสทางธุรกิจที่มากกว่าการให้เช่า DVD ซึ่ง Hastings ไม่ได้คิดอย่างนั้น เขาได้ไปร่วมรับประทานอาหารและพูดคุยกับ CEO ของ Walmart และในที่สุดก็ได้ข้อยุติว่าด้วยพื้นฐานของธุรกิจแล้ว น่าจะเป็นสิ่งเอื้อประโยชน์ให้แก่กันและกันมากกว่าจะเป็นการแข่งขันกัน

ในขณะเดียวกัน Blockbuster ก็กำลังทุ่มเงินอย่างมหาศาลเพื่อการทำธุรกิจด้านนี้ และนั่นก็ทำให้เกิดการทำสงครามราคากันขึ้น โดย Blockbuster ได้คิดค่าสมาชิกรายเดือนอยู่ที่ $19.95 ทาง Netflix จึงตอบโต้ด้วยการลดราคาค่าสมาชิกเหลือเพียง $17.99 และ Blockbuster ก็ลดราคาไปอยู่ที่ $14.99 จนกระทั่ง Netflix ออกโปรโมชั่นเหลือเพียง $1.00 ซึ่งทำให้โกยสมาชิกเข้าได้อย่างมหาศาล เพราะถ้าหาก Netflix ไม่ทำเช่นนี้ ก็อาจจะไม่มีโอกาสที่จะชนะคู่แข่งได้ และก็คงไม่มีโอกาสได้เฉลิมฉลองกันอย่างแน่นอน

และในปี 2015 การให้บริการของ Netflix ก็สามารถครอบคลุมพื้นที่ผู้ใช้บริการตลอดทั่วทั้ง อเมริกาเหนือ อเมริกาใต้  ยุโรป ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์

ผลงานความสำเร็จและรางวัลที่ได้รับ

Reed Hastings นอกจากจะเป็น CEO ของ Netflix แล้ว เขายังเป็นหนึ่งในกรรมการบอร์ดของบริษัท Microsoft ระหว่างปี 2007 – 2012 อีกทั้งยังเป็นกรรมการบอร์ดของ Facebook ตั้งแต่ 2011 มาจนถึงปัจจุบัน

โดยในปี 2014 เขาถูกเสนอชื่อให้เข้ารับรางวัล The Henry Crown Leadership Award ซึ่งรางวัลนี้ ในแต่ละปีจะมอบให้แก่ผู้ที่พิจารณาแล้วว่ามีผลงานเป็นที่โดดเด่น ประสบความสำเร็จอย่างสูงในหน้าที่การงาน ที่สะท้อนให้เห็นถึงความมีมาตรฐานในการบริหารจัดการ ความมีเกียรติยศและศักดิ์ศรี ความมุมานะและขยันหมั่นเพียร มีจิตสำนึกรับผิดชอบและอุทิศตนเพื่อสังคม อันเป็นคุณลักษณะของ Reed Hastings ซึ่งสมควรแล้วที่เขาจะได้รับรางวัลนี้

ในส่วนชีวิตครอบครัวของ Hasting นั้น เขาได้แต่งงานกับ Patrician Ann Quillin มีลูกด้วยกัน 2 คน และในปี 2018 มีรายได้อยู่ที่ 3.2 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือราว ๆ 1 แสนล้านบาท

ส่วนงานด้านการอุทิศตนเพื่อประโยชน์ของสังคม Hastings ได้อุทิศตนและสละเวลาเพื่อช่วยเหลืองานด้านการศึกษา โดยในปี 2006 เขาได้บริจาคเงินทุนประเดิมในการจัดตั้ง Beacon Education Network เพื่อเปิดโรงเรียนในความอุปถัมภ์ใน Santa Cruz County จำนวน 1 ล้านเหรียญฯ (หรือราว ๆ กว่า 30 ล้านบาท)   

Hastings เคยให้สัมภาษณ์กับวารสารฉบับหนึ่งและกล่าวความเป็นนัยว่า

“ We want to be ready when video-on-demand happens. That’s why the company is called Netflix, not DVD-by-Mail.”

หมายความว่า “เราต้องเตรียมความพร้อม เพื่อรอวันที่ความต้องการมาถึง นั้นจึงเป็นเหตุว่าทำไมบริษัทเราจึงเป็น Netflix ไม่เป็นบริษัทที่ส่งแต่แผ่น DVD ทางไปรษณีย์”

Reed Hasting

จากคำกล่าวนี้แสดงให้เห็นว่า การที่ Hasting เข้าสู่การทำธุรกิจ ส่งแผ่น DVD ทางไปรษณีย์ โดยใช้ชื่อว่า Netflix ทั้ง ๆ ที่ธุรกิจ DVD ให้เช่าในขณะนั้นใกล้ที่จะถึงจุดสิ้นสุดแล้ว ซึ่งจุดมุ่งหมายที่แท้จริงของ Hastings แล้ว เขาต้องการใช้ธุรกิจ การส่งแผ่น DVD ทางไปรษณีย์ ในวันนั้นเพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับความต้องการ Netflix ของผู้คนในวันนี้ต่างหาก

ความสำเร็จของ Netflix ในวันนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะโชคช่วย แต่เป็นความสำเร็จที่เกิดขึ้นจาก Hastings ซึ่งเป็นผู้ที่มองความเป็นไปทางธุรกิจได้อย่างยาวไกล เตรียมความพร้อมเพื่อเข้าสู่ธุรกิจไว้ล่วงหน้าอย่างยาวนาน บริหารจัดการธุรกิจด้วยความคิดที่สร้างสรรค์และมีนวัตกรรม นำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ได้อย่างสมบูรณ์แบบและลงตัว สร้างความพึงพอใจให้แก่ลูกค้า ที่ยากจะมีผู้ประกอบการรายใดจะสามารถสร้างธุรกิจเช่นเดียวกันนี้ขึ้นมาแข่งขันได้ ตลาด VDO on Demand ผ่าน Steaming Online บนโลกใบนี้ ทั้งในวันนี้และต่อไปในอนาคต จะเป็นของใครอื่นใดไปไม่ได้ นอกจาก Netflix แต่เพียงผู้เดียว

Resources

Exit mobile version