วิธีลงทุน Bitcoin ให้รวย สไตล์ Anthony Pompliano [FULL EPISODE]
Anthony Pompliano นักธุรกิจ นักลงทุน และยูทูปเบอร์สายเทคโนโลยีและการเงิน อดีตพนักงาน Facebook และ Snapchat ผันตัวสู่การเป็นนักลงทุน โดยในปัจจุบันพอร์ทของเขากว่า 80% เป็น Bitcoin ส่วนที่เหลืออีก 20% จะเป็นในกลุ่มของบริษัท Tech Startup ในช่วงตั้งไข่และนอกนั้นก็เป็นอสังหาริมทรัพย์ โดยในปัจจุบันคาดว่าเขาน่าจะมีทรัพย์สินรวมราว ๆ $200 ล้านดอลล่าร์ หรือประมาณ 6,000 ล้านบาท
กระดานซื้อขายแลกเปลี่ยน Bitcoin & Cryptocurrency
อันดับ 1 ของไทย คนส่วนใหญ่นึงถึง Bitkub
อันดับ 1 ของโลก คนส่วนใหญ่นึกถึง Binance

*หมายเหตุ : คอนเท้นต์นี้ไม่ใช่การแนะนำในการลงทุน เป็นการจัดทำเพื่อเป็นกรณีศึกษาจาก Raoul Pal เท่านั้น ผู้ลงทุนควรศึกษาและตัดสินใจลงทุนด้วยตัวท่านเอง
กฎข้อแรกของเกมการเงิน
โดยในคอนเท้นต์นี้เขาจะแชร์หลักคิดว่า เพราะเหตุใดการลงทุนจึงเป็นเรื่องที่จำเป็นในปัจจุบัน และทำไมเขาจึงเลือกที่จะลงทุนใน bitcoin เป็นสัดส่วนที่มากถึงร้อยละ 80 จากพอร์ทการลงทุนทั้งหมดของเขา
โดยการสัมภาษณ์ในครั้งนี้เป็นการสัมภาษณ์จากช่อง Tom Bilyeu นักธุรกิจ นักลงทุนและยูทูปเบอร์ชื่อดังที่มีผู้ติดตามกว่า 2 ล้านคน โดย Tom Bilyeu เริ่มเกริ่นก่อนว่า เคยมีประโยคหนึ่งที่มักจะใช้แบ่งพฤติกรรมของกลุ่มคนออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ ๆ ด้วยกันก็คือ
- กลุ่มแรกคือกลุ่มของคนจนที่พฤติกรรมของพวกเขาคือการจับจ่ายใช้สอย
- กลุ่มที่สองคือกลุ่มของคนฐานะปานกลางทั่วไปพฤติกรรมที่ส่วนใหญ่มักทำกันคือการเก็บหอมรอมริบ
- และกลุ่มที่สามคือกลุ่มของคนรวยที่พฤติกรรมของคนกลุ่มนี้มักชอบการลงทุน
และก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี ที่การมาของ bitcoin และ cryptocurrency นั้น ไม่ว่าจะเป็นคนกลุ่มคนจน คนชนชั้นกลาง หรือไม่ว่าใคร ๆ ก็สามารถเริ่มต้นลงทุนและเข้าสู่ตลาดนี้ได้ โดยสามารถใช้ crypto เป็นเครื่องมือในการสร้างความมั่งคั่งให้กับชีวิตได้ทุกคน
ทีนี้ Pomp คุณช่วยพูดถึงกลุ่มคนในอเมริกาหน่อยได้ไหมว่า ระหว่างคนที่ไม่ได้ลงทุน กับคนที่ลงทุนนั้น เป็นอย่างไรบ้าง
โดย Pomp เริ่มต้นด้วยการบอกว่า เขาขอเปรียบเทียบด้วยสถิติระหว่างคนที่ประสบความสำเร็จกับคนที่ไม่ประสบความสำเร็จในโลกของการเงินก็แล้วกัน โดยชาวอเมริกันกว่าร้อยละ 45 นั้น ไม่มีการลงทุนในทรัพย์สินอะไรใด ๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น หุ้น พันธบัตร กองทุนรวม อสังหาริมทรัพย์ cryptocurrency หรืออะไรก็ตามที่ไม่ใช่อยู่ในรูปของเงินสด แต่มันอยู่ในรูปของที่คุณลงทุนแล้ว มูลค่าของสิ่งที่ลงทุนนั้นมันจะเพิ่มมูลค่าในอนาคต ซึ่งคนส่วนใหญ่ไม่คิดที่จะลงทุนในสิ่งเหล่านี้เลย
เพราะคนกว่าร้อยละ 45 นั้น ส่วนใหญ่ใช้ชีวิตแบบเดือนต่อเดือน หาเช้ากินค่ำ ส่วนถ้าเหลือก็จะเก็บเงินสดเอาไว้ในธนาคารซะส่วนใหญ่
และส่วนใหญ่ก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงกับเงินเก็บ ดังนั้นทาง Anthony มองว่า ปัญหาจริง ๆ แล้วมันอยู่ตรงที่องค์ความรู้เกี่ยวกับเรื่องของการเงิน ซึ่งเขามองว่ามันทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางสังคมในเรื่องที่เกี่ยวกับการศึกษาโดยเฉพาะเรื่องของการเงิน
โดย Tom ก็ได้เสริมว่า มันยากมากที่หากใครสักคนหนึ่งที่เกิดมาในครอบครัวที่ยากจน แล้วพยายามดิ้นรนที่หลุดออกจากกรอบของความจนนั้น แต่หากคนดังกล่าวได้ถูกย้ายไปที่ ๆ มีการให้การศึกษาให้ความรู้โดยเฉพาะเรื่องของการเงิน การลงทุนอย่างถูกต้อง แม้ว่าคน ๆ นั้นจะเกิดมาจน แต่หากได้องค์ความรู้ที่ดีก็สามารถหลุดพ้นจากกับดักความยากจนนั้นได้ ดังนั้น เรื่องการได้รับการศึกษาเป็นปัญหาที่ทำให้เกิดช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างคนรวยกับคนจน
ซึ่งทาง Pomp ก็ได้พูดต่อ โดยสมมติว่าหากผมให้คุณลองเริ่มเล่นเกมสักเกม โดยที่คุณไม่เลยเล่นมันมาก่อน แล้วก็ไม่มีการบอกวิธีการเล่นใด ๆ รวมไปถึงกฎการเล่นของเกมเลย มันจะยากมากหากคุณพึ่งเริ่มต้นเล่นในเกมนี้
เช่นเดียวกัน เรื่องของเงิน ก็เป็นเกมชนิดหนึ่งที่มันมีวิธีการเล่น และกฎการเล่นเกมเพื่อสร้างความได้เปรียบเปรียบมากกว่าผู้เล่นคนอื่น ๆ ยกตัวอย่างเช่น กฎที่สำคัญข้อแรกที่ผู้เล่นเกมการเงินจำเป็นต้องรู้ก็คือ เงิน fiat หรือเงินกระดาษนั้น จะมีค่าน้อยลงในแง่ของกำลังซื้อในระยะยาว หรือที่เรารู้จักในชื่อของ inflation หรือค่าเงินเฟ้อ ซึ่งมันเกิดจากระบบเกมการเงินที่ถูกออกแบบมาให้เป็นอย่างนั้น ยกตัวอย่างเช่น วันนี้หากคุณจะซื้อขนมปังกินสักมื้อคุณใช้เงิน $2 แต่พอวันเวลาผ่านไปสัก 5-10 ปี คุณอาจจะต้องใช้เงินจำนวน $4 เพื่อซื้อขนมปังแบบเดียวกับที่คุณเคยกินเมื่อ 10 ปีที่แล้ว
ดังนั้นหากคุณตระหนักได้ว่า เงิน fiat กำลังมีค่าลดลง คุณก็จะเริ่มคิดแล้วว่า น่าจะนำเงินดังกล่าวไปลงทุนอะไรสักอย่างเพื่อไม่ให้มันด้อยค่าลง หรือนำมันไปใช้จ่ายอย่างชาญฉลาดมากยิ่งขึ้น
เพราะอย่าลืมว่า แม้คุณจะประหยัดมากแค่ไหน แต่การที่ทิ้งเงินออมไว้เฉย ๆ ในธนาคารที่ดอกเบี้ยเงินฝากแทบจะเป็นศูนย์อยู่แล้วนั้น นับวันมูลค่าของมันมีแต่จะลดลงโดยที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้ตัวและก็ไม่เข้าใจด้วยว่า การออมเงินทำให้จนลงได้ยังไง ก็เพราะมันจากค่าเงินเฟ้อยังไงล่ะ
ซึ่งหากลองมองย้อนกลับไปดูคำแนะนำในการออมเงินจากรุ่นคุณพ่อคุณแม่ คุณปู่คุณย่า คุณตาคุณยาย ของเรานั้นส่วนใหญ่ก็มักจะพบกับคำแนะนำในทำนองที่ว่า จงใช้ให้น้อยกว่าที่หามาได้และจงเอาเงินที่เหลือไปออมแล้วชีวิตจะไม่เดือดร้อนในเรื่องของเงิน ซึ่งมันใช้ได้หากดอกเบี้ยเงินฝากในธนาคารยังคงให้ดอกเบี้ย 10% ปี และข้าวของไม่ได้แพงขึ้น อย่างเมื่อก่อนเงินเดือนไม่กี่พันก็สามารถซื้อทองเส้นละบาทได้ แต่ในปัจจุบัน เงินเดือน 1-2 หมื่น ซื้อทองได้ไม่ถึงบาท หรือสมัยก่อนข้าวจานนึงไม่ถึง 10 บาทซะด้วยซ้ำ ในขณะที่ปัจจุบันขั้นต่ำก็ต้องมี 40 บาทขึ้นไปนู่นล่ะ
โดยอีกเหตุผลสำคัญอีกอย่างที่ทำให้เงินดอลล่าร์ถูกด้อยค่าลงในทุก ๆ ปีนั้นก็เกิดมาจากตั้งแต่ในปี 1971 หรือเมื่อประมาณ 50 ปีที่แล้ว ที่เงินดอลล่าร์มีการยกเลิกการผูกติดกับปริมาณทองคำสำรองในคงคลังภายในประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งปกติการที่จะปริ้นท์เงินดอลล่าร์เพิ่มได้นั้น จะต้องอ้างอิงกับจำนวนทองคำสำรองด้วย แต่พอยกเลิกระบบนี้ปุ๊บ มันก็ทำให้ทางรัฐบาลสหรัฐฯ สามารถปริ้นท์เงินกระดาษออกมาเท่าไหร่ก็ได้ ปริ้นท์ออกมาได้อย่างไม่มีจำกัด
ซึ่งทาง Tom ก็ได้เสริมขึ้นมาว่า เมื่อก่อนเขาก็ไม่รู้เรื่องนี้ เพราะเขาไม่ได้สนใจในเรื่องของการลงทุนเลย เพราะเขาเก่งในเรื่องของการหาเงินซะมากกว่า เขารู้ว่าจะต้องทำธุรกิจยังไงให้มีเงินเข้ามาเยอะ ๆ ต้องบริหารเวลายังไง ต้องใช้แรงแค่ไหน ต้องตรากตรำเพียงใด แต่พอเขารู้ความจริงในข้อนี้ว่าทางรัฐบาลสามารถหาเงินได้ด้วยการปริ้นท์เงิน โดยที่ไม่ต้องตรากตรำทำงานเลยเนี่ยนะ มันไม่แฟร์เอาซะเลย เพราะแน่นอนว่าคนทั่วไปหากมีเงินในบัญชีอยู่ 100 บาท แต่หากต้องการใช้เงินสัก 150 บาท ประชาชนคนทั่วไปก็ไม่สามารถเข้าไปในระบบบัญชีธนาคารแล้วก็แก้ไขตัวเลขในบัญชีของเราได้ แต่รัฐบาลสหรัฐฯ สามารถทำได้อย่างง่ายดายซะงั้น ดังนั้นเมื่อเขารู้กฎการเงินข้อนี้ มันทำให้เขาต้องหันมาสนใจในเรื่องของการลงทุนอย่างจริง ๆ จัง ๆ นั่นเอง
ดังนั้นใครก็ตามที่ไม่เข้าใจว่า การที่รัฐบาลสหรัฐฯ สามารถปริ้นท์เงินดอลล่าร์ออกมาเองได้ตามใจชอบนั้น มันมีผลเสียอย่างไร ก็จะเสียเปรียบในเกมการเงิน เพราะโดยธรรมชาติแล้วนั้น อะไรก็ตามที่มันมีจำนวนเยอะเกินไป สิ่งนั้นจะถูกด้อยค่าไปโดยธรรมชาติ
โดย Pomp ก็บอกว่า เรื่องที่เราพูดมาทั้งหมดนั้นจริง ๆ แล้วมันก็คือเรื่องของ Personal Finance หรือเรื่องการเงินส่วนบุคคลนั่นเอง ที่ความจริงแล้วทุกคนจำเป็นที่จะต้องมีพื้นฐานในเรื่องนี้ แต่กลับกลายเป็นว่าเรื่องนี้ไม่ได้มีบรรจุเป็นวิชาหลักในโรงเรียนที่ทุกคนจำเป็นต้องเรียนซะด้วยซ้ำ นั่นมันจึงทำให้คนที่ต้องการจะศึกษาในเรื่องของการเงินส่วนบุคคลในปัจจุบันนั้น สามารถทำได้อยู่ 2 วิธีก็คือ
- วิธีแรก คือการขวนขวายศึกษาหาความรู้ด้วยตนเอง แน่นอแหละว่าบ้างก็เข้าใจ บ้างก็ไม่เข้าใจ เพราะมันเป็นเรื่องอะไรที่ยากเอาการสำหรับคนที่ไม่เคยศึกษาในเรื่องของการเงิน เรื่องของเศรษฐศาสตร์มาก่อน
- วิธีที่สอง หากคุณโชคดีหน่อย ที่คุณเกิดมาในครอบครัวที่มีความรู้เรื่องของการเงินเป็นอย่างดี หรือคุณมีเพื่อน มีที่ปรึกษา หรือมีใครสักคนที่สามารถมีเวลานั่งอธิบายความรู้เกี่ยวกับเรื่องของการเงินให้คุณฟังตั้งแต่คุณยังเด็กอยู่
ต่อมา มีอีกสถิติหนึ่ง เป็นตัวเลขที่น่าสนใจ จากกลุ่มคนที่เป็น Millionaire หรือเป็นเศรษฐีเงินล้าน หรือคนที่มีความมั่งคั่งประมาณ 30 ล้านบาท ในอเมริกานั้น กว่าร้อยละ 80 เป็นคนที่รวยได้ด้วยตนเอง โดยที่ไม่ได้รวยมาจากมรดกตกทอดใด ๆ เลย และกว่าร้อยละ 33 ในบรรดา millionaire นั้น หลายคนมีรายได้ไม่เกิน $100,000 ต่อปีซะด้วยซ้ำ แล้วพวกเขากลายเป็น millionaire ได้อย่างไร นั่นคือคำถามที่เราควรตั้งในใจ ซึ่งคำตอบนั่นก็เป็นเพราะ พวก millionaire เหล่านี้ พวกเขารู้วิธีจัดการกับเงินให้มันงอกเงยขึ้นมาได้นั่นเอง มันเป็นเรื่องของความรู้ในเรื่อง personal finance ล้วน ๆ ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องง่าย แต่มันเป็นเรื่องที่จำเป็นต้องรู้ และทุกคนก็สามารถเรียนรู้ในเรื่องนี้กันได้แทบทั้งสิ้น
ดังนั้นนี่คือความสำคัญในเรื่องของการศึกษา โดยเฉพาะในเรื่องของการเงินส่วนบุคคล ซึ่งถ้าว่ากันตามตรงแล้ว ตัวของ Pomp เองนั้นเขาก็เรียนจบทางด้านเศรษฐศาสตร์การเงินระดับปริญญามากับเขาเหมือนกัน แต่เขาก็พบว่า พอเรียนจบก็เหมือนไม่ค่อยได้ความรู้อะไรสักเท่าไหร่นัก เพราะไม่รู้จะนำมาปรับใช้ยังไงกับในโลกยุคปัจจุบัน
แต่พอเขาได้เริ่มศึกษาเกี่ยวกับตัวของ bitcoin แล้วก็เริ่มค้นพบว่า เขากลับได้เรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องของ economic, personal finance, social psychology ซึ่งพอดูโดยภาพรวมแล้วมันก็จะเกี่ยวโยงในเรื่องของการลงทุนนั่นเอง

ดังนั้นการที่ประชาชนคนธรรมดาทั่ว ๆ ไป โดยเฉพาะคนอเมริกาที่มีสกุลเงินดอลล่าร์ใช้เป็นหลักนั้น มันเป็นเรื่องที่ยากมากที่ใครสักคนจะรวยจากการเก็บออม เพราะเงินดอลล่าร์ที่พึ่งถูกปริ้นท์โดยรัฐบาลสหรัฐฯ ในช่วง 18 เดือนล่าสุดที่ผ่านมานั้น เทียบเท่ากับร้อยละ 38 ของเงินดอลล่าร์ทั้งหมดที่เคยปริ้นท์ขึ้นมาบนโลกใบนี้ นั่นแสดงให้เห็นว่า ในช่วง 18 เดือนที่ผ่านมานี้นั้น ดอลล่าร์ถูกด้อยค่าลงอย่างรวดเร็ว
โดย Tom ก็ได้เสริมว่า เมื่อก่อนเขาไม่รู้เรื่องพวกนี้เลย เพราะเขาก็มั่นใจกับการหาเงินกับการทำธุรกิจ เขารู้ว่าจะต้องหาเงินมาได้ยังไง แต่ไม่รู้วิธีเกี่ยวกับการนำเงินไปลงทุนต่อเลย แม้ว่าพนักงานในบริษัทคนหนึ่งของเขาจะแนะนำให้เขาลองศึกษาเรื่องของ bitcoin เรื่องของ cryptocurrency แต่เขาก็ไม่ได้สนใจ
จนกระทั่งการมาของ NFT : Non Fungible Token ที่มันเกี่ยวข้องกับงานในบริษัทของเขา มันทำให้เขาได้เริ่มเข้าสู่โลกของ crypto และก็เริ่มศึกษาเรื่องของ blockchain และเมื่อพอเขาเข้าใจในเรื่องของ blockchain แล้วก็พบว่า ระหว่าง fiat currency กับ cryptocurrency นี่มันเหมือนเป็นโลกที่อยู่ตรงกันข้ามกับที่ทางรัฐบาลทำอยู่อย่างสิ้นเชิง
โดย Tom ได้ยกตัวอย่างจากประสบการณ์ด้านการเงินที่เขารู้สึกเมื่อตอนสมัยเด็ก ๆ ตอนนั้นเขามีเงินเหลืออยู่ในบัญชีประมาณ 90 บาท แต่เขาไม่สามารถถอนเงินจากตู้ ATM ได้ แม้ว่าเงินนั้นมันจะเป็นเงินของเขาก็ตามที เพราะอย่างที่รู้ ๆ กันว่าขั้นต่ำในการถอนเงินสดจากตู้ ATM นั้นคือ 100 บาท ทั้ง ๆ ที่เขาก็แค่ต้องการเงินแค่ 50 บาท ในการซือข้าวกินสักจาน ณ เดี๋ยวนั้น (แต่ในปัจจุบันก็ดีขึ้นมาหน่อยตรงที่หลายร้านรับโอนเงิน ซึ่งในปัจจุบันก็สามารถโอนฟรีกันเกือบหมดแล้วโดยไม่มีขั้นต่ำในการโอน แต่ตู้ ATM ยังคงมีเงื่อนไขจุกจิกเหล่านี้อยู่ราวกับว่ามันเป็นเงินของพวกเขา ทั้ง ๆ ที่เงินนั้นเป็นของเรา) แต่ถ้าคุณได้เข้าไปสู่โลกของ crypto แล้วคุณก็จะพบว่า หากคุณต้องการโอนเงิน รับเงินในรูปแบบของ cryptocurrency แล้วนั้น คุณสามารถทำได้ด้วยตนเองในทันที โดยที่ไม่ต้องขออนุญาตใคร ไม่ต้องมีขั้นต่ำ ซึ่งโอเคแหละว่าในช่วงแรกของการตั้งค่ากระเป๋าเงิน digital นั้นดูจะยุ่งยากอยู่บ้าง แต่ถ้าผ่านจุดนั้นมาแล้ว มันก็เหมือนกับคุณหลุดมาอีกโลกนึงเลยทีเดียว
Cryptocurrency VS Fiat currency
Anthony Pompliano จะมาพูดถึงเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่าง Bitcoin กับเงิน Fiat ให้เห็นภาพชัดเจนมากยิ่งขึ้นว่า เราควรจะเลือกถือครองอะไร ยังไง และด้วยเหตุผลใด
โดย Tom Bilyeu ก็ได้ยิงคำถามกับ Pomp ว่าเวลาที่คุณทำวิทยานิพนธ์ศึกษาเชิงลึกในเรื่องของ bitcoin นั้น มันทำให้คุณเป็น Bitcoin Maximalist หรือเป็นพวกสุดโต่งใน bitcoin หรือไม่อย่างไร?
โดย Pomp ก็ได้ตอบว่า อันที่จริงแล้วไม่ใช่ครับ เพราะผมมองในมุมมองของการลงทุนในเทคโนโลยีและนวัตกรรมซะมากกว่า ซึ่ง bitcoin ก็ถือว่าเป็นเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการเงินที่น่าสนใจ
แต่ถ้ามองในมุมเรื่องของการเงินโดยเฉพาะ อันที่จริงแล้วทุกคนต่างก็เป็น maximalist ในเรื่องที่ตนเองสนใจและใช้ในชีวิตประจำวันกันแทบทั้งสิ้น ยกตัวอย่างเช่น ตอนนี้คุณใช้เงิน fiat หรือเงินกระดาษเป็นหลัก คุณก็เป็น Fiat Maximalist เพราะคุณเป็นพลเมืองของประเทศก็ต้องใช้สกุลเงิน fiat ภายในประเทศ, คุณทำงานคุณก็รับเงินเป็นเงิน fiat, คุณออมเงินในธนาคารคุณก็ใช้เงิน fiat, คุณลงทุนก็ใช้เงิน fiat, คุณจ่ายภาษีคุณก็จ่ายด้วยเงิน fiat ดังนั้นนี่ก็สามารถพูดได้เต็มปากว่า คุณก็เป็น Fiat Maximalist หรือเป็นพวกสุดโต่งในเงิน fiat เช่นกัน เพราะคุณไม่ได้สนใจที่จะใช้เงินอย่างอื่นเลย
ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นใครในโลกก็ตามที ทุกคนต่างก็เป็น maximalist ในตัวเองกันอยู่แล้ว ยกตัวอย่างเช่น คงไม่มีใครพูดหรอกว่า สกุลเงินที่ฉันถืออยู่ ณ ตอนนี้ เป็นสกุลเงิน A อยู่ 50% และถือสกุลเงิน B อยู่อีก 50% อย่างคนถือเงินดอลล่าร์ก็ถือดอลล่าร์กันเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ซะเป็นส่วนใหญ่อยู่แล้ว
ดังนั้นหากมองเฉาพะในมุมของเงินโดยเฉพาะ cryptocurrency นั้น เขาเป็น Bitcoin Maximalist เนื่องจาก Bitcoin มันเป็นสกุลเงินที่ในอนาคตมันมีโอกาสมากที่สุดที่จะเข้าไปเป็นเงินสำรองคงคลังระหว่างประเทศของโลกใบนี้
ทีนี้หากมองในมุมของเทคโนโลยี มันจะเป็นมองอีกมุมหนึ่งที่กว้างขึ้นไปอีก ซึ่งต้องยอมรับว่าในวงการเทคโนโลยีมันมีการแข่งขันที่สูงมาก และเวลาที่คุณมองในมุมของเทคโนโลยี คุณก็จะไม่ได้พูดถึง monetary asset หรือสินทรัพย์ในด้านการเงิน แต่จะใช้คำพูดว่า Technology Asset หรือทรัพย์สินที่เป็นเทคโนโลยี
ดังนั้นหากคุณแยกออกแล้วว่าจะมองในมุมไหน ถ้าหากคุณเลือกที่จะมองในมุมของทรัพย์สินทางการเงิน คุณก็จะพบว่า Bitcoin นั้นกำลังแข่งขันอยู่กับ Fiat Currency ไม่ว่าจะเป็นในด้านของการรักษามูลค่าหรือ Store of Value, ความสามารถในการแลกเปลี่ยน, การจัดเก็บ หรือแม้กระทั่งการถูกควบคุมอย่างเข้มงวดหรือการเป็นอิสระไม่มีพันธนาการใด ๆ
แต่ประเด็นจริง ๆ ที่เขาต้องการจะสื่อก็คือ มันเป็นการเปรียบเทียบระหว่าง Fiat Money กับ Sound Money มากกว่า โดย Fiat Money นั้นเราต่างรู้กันดีอยู่แล้วว่ามันถูกควบคุมโดยรัฐบาล แต่ในขณะที่คำว่า Sound Money หรือเงินทั่มั่นคงที่จะไม่ถูกบั่นทอนมูลค่าในระยะยาว หรืออีกในหนึ่งก็คือ เงินที่อยู่นอกระบบจากการถูกควบคุม ไม่มีใครสามารถสร้างมันเพิ่มขึ้นได้ตามใจชอบ ยกตัวอย่างเช่น ทองคำ ที่ผู้คนต่างให้ค่าว่ามันเป็น Sound Money ในเวอร์ชั่นที่จับต้องได้ ซึ่งมนุษย์เราไม่สามารถสร้างขึ้นมันมาเองได้ ในขณะที่ Bitcoin นั้นมันก็คือ Sound Money ในรูปแบบของ Digital จับต้องไม่ได้
ดังนั้นคุณจะเริ่มเห็นภาพชัดขึ้นว่า ตอนนี้เรากำลังพูดถึงการเปรียบเทียบระหว่าง Sound Money กับ Fiat Money อยู่ จะทำให้คนทั่วไปส่วนใหญ่เข้าใจได้ง่ายขึ้น เช่น ถ้าดูในฝั่งของการผลิตจะพบว่า Fiat Money มีอัตราการผลิต 18 เดือนล่าสุดที่สูงมาก สูงคิดเป็นจำนวน 38% ของปริมาณทั้งหมดตั้งแต่เคยมีการพิมพ์แบงค์ดอลล่าร์ออกมากันเลยทีเดียว ในขณะที่ Sound Money ไม่มีใครสามารถสร้างมันขึ้นมาเองได้เลย ต้องทำเหมืองขุดเอา
และถ้าจะให้มองว่า อะไรมีมูลค่าเป็นยังไง ตัวเขาเองก็ไม่ได้สนใจมันมากนัก เอาเป็นว่า ลองดูจากตัวอย่างนี้จะเข้าใจได้ง่ายยิ่งขึ้น
เมื่อยกตัวอย่างในเรื่องของ Purchasing Power หรืออำนาจในการจับจ่ายใช้สอย ในช่วง 12 ปีที่ผ่านมานี้ของ bitcoin เช่น เมื่อ 10 ปีที่แล้ว เราใช้ 1 bitcoin ในการซื้อขนมปังได้ 1 ก้อน แต่ในปัจจุบัน เราใช้แค่เพียง 0.00001 bitcoin เท่านั้น พอเขาเห็นดังนี้ก็เริ่มเก็ทแล้วว่า เฮ้ย! นี่มันเข้าท่าแฮะ เพราะเมื่อเขาหันมาถือ bitcoin สิ่งของต่าง ๆ รอบตัวก็ดูราคาถูกลง
แต่ในขณะที่การถือเงิน fiat อย่างเงินดอลล่าร์เอาไว้ กลับกลายเป็นว่าของทุกอย่างรอบตัวอะไรก็ดูแพงไปหมด ซึ่งจากตัวอย่างใน Episode ก่อนหน้านี้ก็ได้มีการยกตัวอย่างไปแล้วว่า ถ้าเราเลือกที่จะถือเงินดอลล่าร์ ในวันนี้สามารถใช้เงิน $2 ในการซื้อขนมปังได้ 1 ก้อน แต่พอวันเวลาผ่านไป 10 ปี กลับต้องใช้ถึง $4 ในการซื้อขนมปัง 1 ก้อน
ซึ่งสาเหตุที่จะต้องเปรียบเทียบมูลค่าเป็น fiat currency หรือเปรียบเทียบเป็นเงินดอลล่าร์นั้น ก็เพื่อให้เห็นภาพได้ชัดขึ้นว่า ทรัพย์สินแต่ละอย่างมีมูลค่าอะไรเท่าไหร่บ้าง ยกตัวอย่างเช่น ถ้าผมถามคุณว่า ตอนนี้ราคาหุ้นของ Amazon หุ้นละเท่าไหร่ ซึ่งคุณก็ต้องตอบเป็นดอลล่าร์ เพื่อใช้ในการสื่อสารและทำความเข้าใจตรงกันว่าทรัพย์สินนั้น ๆ มันมีมูลค่าเท่าไหร่กันแน่
โดยเวลาที่เราดูกราฟภาพรวมของตลาดหุ้นก็จะพบว่า ตลอดหลายสิบปีที่ผ่าน มันมีแต่จะขึ้น กราฟชัน 45 องศาสวยเชียว แต่นั่นมันเป็นการนำตลาดหุ้นไปเปรียบเทียบกับเงินดอลล่าร์ แต่พอนำไปเปรียบเทียบกับ Asset อื่น เช่น ทองคำ กลับพบว่ามันมีค่าลดลง
ส่วนถ้าเทียบกับ Bitcoin นี่ยิ่งแล้วใหญ่ เพราะในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาล่าสุดนี้ มันสามารถทำผลงานได้ดีกว่า Asset อื่น ๆ ที่มีอยู่ในตลาดทรัพย์สินทั้งหมดที่มีอยู่เลยก็ว่าได้ ซึ่งจะเห็นได้ว่ามันชนะ fiat currency ได้อย่างสิ้นเชิง
และในยุคนี้ก็ถือว่าเรากำลังอยู่ในยุคของการล้มเหลวของสกุลเงิน fiat โดยเคยมีคำกล่าวจาก Henry Ford ผู้ก่อตั้งรถยนต์ Ford มหาเศรษฐีในอดีตว่า
It is well enough that people of the nation do not understand our banking and monetary system, for if they did, I believe there would be a revolution before tomorrow morning.
Henry Ford
หมายถึง “มันเป็นเรื่องที่ดีอยู่แล้วที่มีเพียงคนหยิบมือที่เข้าใจระบบการเงินและการธนาคาร เพราะถ้าหากพวกเขาส่วนใหญ่เข้าใจระบบนี้แล้วล่ะก็ เมื่อนั้นในเช้าวันรุ่งขึ้นจะต้องเกิดการปฏวัติ เกิดจราจลอย่างใหญ่หลวงกันเลยทีเดียว”
นั่นคือสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำในเรื่องของการศึกษาโดยเฉพาะเรื่องของการเงิน
นั่นทำให้คนอเมริกันจำนวนกว่าร้อยละ 55 ที่เลือกที่จะถือครอง Asset เพราะมันทำให้พวกเขาได้เปรียบในเกมการเงิน ซึ่งอันที่จริงแล้ว ที่พวกเขาถือครองทรัพย์สิน พวกเขาไม่ได้มีเจตนาที่จะเหยียบย่ำซ้ำเติมกับคนที่มีฐานะน้อยกว่า เพราะคุณก็คงจะเคยเห็นคนรวยหลายคนที่เป็นคนจิตใจดีมีเมตตาเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ซะด้วยซ้ำ แต่มันเป็นผลพวงจากการออกแบบระบบการเงินที่มันบังคับให้พวกเขาเลือกที่จะครองทรัพย์สิน เพื่อที่จะได้อยู่รอดในเกมการเงินในระบบนี้
เพราะระบบนี้จะคงอยู่ต่อไป ไม่เปลี่ยนแปลง และเราเองก็ไม่มีพลังมากพอที่จะไปเปลี่ยนแปลงอะไรใด ๆ ในระบบนี้ได้เลย และเราก็ไม่สามารถไปชี้สั่งใครได้ว่า อย่าไปเลือกระบบนั้น มาเลือกระบบนี้สิ เพราะแต่ละคนก็มีสิทธิเสรีภาพในตนเองอยู่แล้ว
ดังนั้นสิ่งที่เราสามารถทำได้ก็คือ เมื่อมันมีช้อยส์ให้เลือกขึ้นมาระหว่างระบบแบบเดิม ๆ กับระบบแบบใหม่ หากเราเลือกได้ เราก็คงเลือกว่า เราได้ประโยชน์จากระบบใดบ้างเพื่อส่งผลดีแก่อนาคตทางการเงินของเรา
ซึ่งหล่าบรรดามหาเศรษฐีต่างรู้ดีว่า พวกเขาจะสามารถได้รับประโยชน์จากระบบการเงินด้วยวิธีใด ซึ่งหากพวกเขาอยากมีความมั่งคั่งเพิ่มมากขึ้น พวกเขาก็จะต้องเลือกที่จะถือครองทรัพย์สิน ถือครอง Asset ไม่ใช่เงินดอลล่าร์ ไม่ใช่ fiat currency
ซึ่ง Tom ก็ขอเสริมเพิ่มเติมว่า การที่คุณจะเลือกถือครอง Asset ที่ดีนั้น Asset ชิ้นนั้นจะต้องมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในระยะยาวด้วย โดยไม่ว่าคุณจะเลือกลงทุนใน Asset ตัวใดก็ตามทีนั้น อย่าใช้แค่ความหวัง หรือใช้แค่อารมณ์ หรือนึกคิดไปเองว่า ราคามันจะขึ้นตลอดไป ซึ่งที่ Pomp เขาเลือกที่จะลงทุนใน Bitcoin นั้นก็เป็นเพราะ เกิดจากการทำการบ้าน เกิดจากการศึกษามาเป็นอย่างดี และเกิดจากการวิเคราะห์สิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตที่ผ่านมาตลอดสิบกว่าปีตั้งแต่ bitcoin ได้ถือกำเนิดขึ้นมา แต่ก็ต้องยอมรับความจริงอีกข้อหนึ่งด้วยว่า ผลงานในอดีตก็ไม่ได้เป็นการการันตีถึงผลงานในอนาคตด้วยเช่นกัน ดังนั้น มันอยู่ที่คุณจะเลือกด้วยตัวคุณเอง
ความผันผวนที่รุนแรงของ bitcoin
ที่ผ่านมาหลายคนคงได้เห็นการขึ้นลงของราคา Bitcoin กันบ้างแล้วว่า มันมีความผันผวนหรือค่า Volatility ของราคาที่สูงมาก ซึ่งหลายคนอาจติดภาพจำในตลาดหุ้น ที่หากราคาหุ้นขึ้นลงแค่ 2% – 3% นี่ก็ถือว่าหวาดเสียวแล้ว ยิ่ง 10% นี่ยิ่งแล้วใหญ่หัวใจเกือบจะวายกันเลยทีเดียว
แต่พอเป็น Bitcoin แล้วก็จะพบว่า การขึ้นลงของตลาดหุ้นดูเป็นเรื่องขี้ประติ๋วกันไปเลยทีเดียว เพราะเวลาที่ราคาของ bitcoin ลงทีนึง มีตั้งแต่ -5% -10% -30% -50% และเคยร่วงลงสูงสุดกว่า -80% ก็เคยเกิดขึ้นมาแล้ว ทีนี้ลองมาดูมุมมองจาก Anthony Pompliano กันบ้างว่า เขามีมุมมองอย่างไรเกี่ยวกับความผันผวนที่รุนแรงของ Bitcoin
โดย Pomp ก็ได้พูดว่า ถ้าให้พูดถึงเรื่องความผันผวนของ Bitcoin เราสามารถมองได้สองมุมดังนี้ก็คือ
มุมแรก คุณมักจะได้ยินข่าวตามสื่อต่าง ๆ อยู่บ่อย ๆ เกี่ยวกับข่าวในแง่ลบ ของ bitcoin และในเวลาต่อมาราคาก็มักจะตกลงทำให้คนที่ลงทุนใน bitcoin นั้นใจหายใจคว่ำกันเป็นแถบ ๆ ซึ่งพอข่าวลบ ๆ ผ่านไป ราคาของมันก็ค่อย ๆ ฟื้นตัวขึ้นมาอีก ซึ่งไม่ว่าราคาของ bitcoin มันจะขึ้นหรือจะลงเท่าไหร่ Pomp บอกว่ามันไม่สำคัญเลย นั่นก็เป็นเพราะ ตราบใดที่ทิศทางของมันยังคงเป็นขาขึ้นอยู่

จากภาพนี้เราจะเห็นได้ว่า ราคาของ bitcoin นั้นมีความผันผวนมาก บางช่วงขึ้นอย่างรุนแรง บางช่วงก็ลงอย่างรุนแรง แต่พอลองซูมภาพใหญ่ออกมาก็จะพบว่า ทิศทางมูลค่าของ bitcoin นั้น ยังคงเติบโตอยู่เรื่อย ๆ ถ้าเพียงแค่คุณซื้อและถือมันเอาไว้คุณก็จะมีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้น ในขณะที่หากคุณซื้อ ๆ ขาย ๆ บ่อย ๆ มันมีโอกาสสูงมากที่คุณจะขาดทุน ดังนั้นมันไม่สำคัญว่า bitcoin จะมีความผันผวนมากน้อยเพียงใด แต่มันสำคัญที่ว่า ทิศทางของมันยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องหรือไม่ในระยะยาวต่างหาก
มุมที่สอง Pomp ได้ยกตัวอย่างจากข้อมูลการลงทุน ด้วยการลองจัดพอร์ตการลงทุนออกเป็น 2 แบบ โดยเขาได้ยกตัวอย่างการลงทุนในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โดยหากเริ่มต้นลงทุนในปี 2015 – 2020 โดยให้จัดพอร์ทการลงทุนเป็นสัดส่วนอยู่ที่ 60:40
- พอร์ทการลงทุนแบบแรก – ลงทุนในหุ้น 60% และอีก 40% ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล คุณจะได้รับผลตอบแทนเฉลี่ย 7.2% ต่อปี ในช่วง 5 ปีดังกล่าว
- พอร์ทการลงทุนแบบที่สอง – ลงทุนในหุ้น 59.5%, ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล 39.5% และลงทุนใน bitcoin 1% คุณจะได้รับผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่ 9.2% ต่อปี
จะเห็นได้ว่าพอร์ทในแบบที่สองที่เจียดเงินไปลงทุนใน bitcoin เพียงแค่ 1% แต่กลับส่งผลให้พอร์ทการลงทุนมีผลตอบแทนมากกว่าแบบแรกถึง 2% ในขณะที่ความเสี่ยงในกรณีเลวร้ายที่สุดเลยคือหาก bitcoin ราคาเป็นศูนย์ พอร์ทการลงทุนของคุณกำไรจะลดลง 0.2% ดังนั้นคุณจะเห็นได้ว่า ถ้ามองในด้าน upside เทียบกับ downside คือการมองในมุมการได้กำไรเทียบกับมุมขาดทุน ก็จะพบว่า มันมีอัตราส่วนอยู่ที่ 2% : 0.2% หรือ 10 : 1 นั่นเอง นั่นก็คือ หากคุณเจียดเงินของพอร์ทการลงทุนของคุณไปใน bitcoin เพียง 1% ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นก็แค่ 1 ใน 10 เท่านั้นเมื่อเทียบกับโอกาสที่จะได้กำไรจากการลงทุนนี้ในช่วง 5 ปีดังกล่าว
ซึ่งแย่สุดคือหากเงินลงทุนใน bitcoin เป็นศูนย์ คุณก็จะเสียเงินไปแค่เพียง 1% ของพอร์ททั้งหมด ซึ่งสำหรับคนส่วนใหญ่แล้วมันไม่ได้เป็นมูลค่าความเสี่ยงที่มากมายอะไรเลย เพราะนักลงทุนส่วนใหญ่ที่จัดพอร์ทแบบนี้ พวกเขามักจัดให้ใน 1% นั้น ไปลงทุนในทรัพย์สินที่มีความเสี่ยงสูงโดยเฉพาะอยู่แล้ว
แต่คนส่วนใหญ่ที่มักจะเข้ามาในตลาดนี้ก็เข้ามาเพื่อเก็งกำไร พอเห็นความผันผวน เห็นราคาขึ้นลงอย่างรุนแรง ก็กะว่า ถ้าฉันเข้าถูกจังหวะ ซื้อถูกขายแพงแล้วล่ะก็ ฉันก็จะสามารถเป็นเศรษฐีเงินล้านได้ในชั่วข้ามคืน ซึ่งแน่แหละว่ามีคนที่สามารถทำเงินล้านจากการทำแบบนี้ได้ แต่จะมีสักกี่คนกันเชียว ในขณะที่คนส่วนใหญ่มักจะขาดทุนซะมากกว่า
ซึ่งแน่นอนว่าคนส่วนใหญ่ที่เข้ามาลงทุนใน bitcoin นั้นก็เพื่อผลประโยชน์ทางการเงิน แต่หากคุณเข้ามาลงทุนในตลาดนี้สักพักคุณก็จะค่อย ๆ เริ่มมองเห็นแล้วว่า เพราะเหตุใดถึงควรใส่เงินเอาไว้ใน bitcoin เพราะถ้าหากคุณเข้าใจใน fiat currency, เข้าใจ economic หรือหลักของเศรษฐศาสตร์, เข้าใจในเรื่องของ personal finance หรือเรื่องการเงินส่วนบุคคลแล้วล่ะก็ คุณก็จะตระหนักได้ว่า คุณไม่ควรเก็บเงินไว้ในรูปของเงินสด
และเหล่าบรรดาสถาบันการเงินต่าง ๆ ก็เริ่มมองเห็นแล้วว่า พวกเขาไม่ควรเก็บเงินสดเอาไว้ เพราะมันมีแต่จะด้อยค่าลง ดังนั้นในช่วงนี้คุณจะเห็นได้ว่า เหล่าบรรดาบริษัทห้างร้านต่าง ๆ รวมไปถึงสถาบันการเงินระดับยักษ์ใหญ่เริ่มเข้าซื้อ bitcoin เข้าไปไว้ใน balance sheet หรืองบดุลของบริษัท ซึ่งคนที่เห็น bitcoin เมื่อสิบกว่าปีที่แล้วก็คงไม่มีใครคาดคิดหรอกว่า จะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น เพราะแต่ก่อนมีแต่คนบอกว่า bitcoin มันเป็นแชร์ลูกโซ่บ้างล่ะ, มันเป็นเงินหลอกลวงบ้างล่ะ หรือมันเป็นเงินขำ ๆ จับต้องไม่ได้บ้างล่ะ ซึ่งถ้าคุณลองถอยออกมาแล้วเอาอคติวางลงไว้ก่อน แล้วลองตั้งคำถามกับตนเองว่า ทำไมเหล่าสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ต่างเข้าซื้อ bitcoin กันล่ะ? เขาซื้อกันเล่น ๆ หรือไม่? ถ้ามันเป็นแชร์ลูกโซ่จริง ๆ พวกเขาจะเข้ามาซื้อ bitcoin ทำไม?
ซึ่ง bitcoin ถือได้ว่าเป็น Asset เป็นทรัพย์สินที่มีอัตราการเติบโตที่ดีที่สุดในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ซึ่งถือได้ว่ามันเป็นเทคโนโลยีที่เติบโตเร็วที่สุดตั้งแต่ที่ถือกำเนิดมนุษยชาติมาเลยก็ก็ว่าได้ ซึ่งการเติบโตอย่างรวดเร็วแบบนี้ เคยเกิดขึ้นมาก่อนกับเทคโนโลยีอย่างอินเตอร์เน็ต โดยที่อินเตอร์เน็ตมันเติบโตเร็วมากนั่นก็เป็นเพราะ มันถูกสร้างขึ้นมาบนโครงสร้างของการเชื่อมต่อการสื่อสารของเทคโนโลยีก่อนหน้านี้อย่างสายโทรศัพท์ที่มีการเชื่อมต่อกันทั่วโลก และ bitcoin ก็สร้างขึ้นบนอินเตอร์เน็ตอีกทีหนึ่ง
ดังนั้นคุณจะเห็นได้ว่า เพราะเหตุใด bitcoin จึงเติบโตได้อย่างรวดเร็ว เพราะมันมี infrastructure มันมีระบบโครงสร้างพื้นฐานของการสื่อสารก่อนหน้านี้มาก่อน และอย่างประเทศจีนก็สามารถใช้อินเตอร์เน็ตในการสร้างบริษัท Tech Company ยักษ์ใหญ่ได้อย่างมากมาย และนอกจากนั้นเหล่าบรรดาบริษัทยักษ์ใหญ่ทั่วโลกอย่าง Google, Amazon หรือ Facebook ที่พวกเขาได้มีการทุ่มเงินหลายล้านล้านดอลล่าร์ฯ เพื่อลงทุนไปกับการสร้างโครงสร้างที่สามารถทำให้ผู้คนทั่วโลกสามารถเชื่อมต่อถึงกันได้
และเมื่อเครือข่ายอินเตอร์เน็ตเข้ามาเปลี่ยนแปลงโลกที่ทุกอย่างเปลี่ยนเข้าสู่โลกออนไลน์ และก็มีเงินดิจิตอลถือกำเนิดขึ้นมา มันก็ทำให้โครงสร้างของการเงินเปลี่ยนไปจากระบบแบบเดิม ๆ อย่างประเทศ El Salvador ที่มองเห็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการเงินนี้ พวกเขาก็เริ่มกระโดดจากระบบการเงินแบบเดิม ๆ เข้าสู่ระบบการเงินแบบใหม่ ที่ทำให้ประเทศ El Salvador กลายเป็นประเทศแรกของโลกที่ให้สามารถใช้ bitcoin ชำระหนี้ได้ถูกต้องตามกฎหมาย และก็ดูเหมือนว่ากำลังไปได้สวยเลยทีเดียว ซึ่งนี่ก็แสดงให้เห็นถึงในช่วงที่มีการเปลี่ยนถ่ายทางเทคโนโลยีโดยเฉพาะในด้านของการเงิน ซึ่งแน่นอนแหละว่าการมาของ bitcoin นั้น ก็ส่งผลกับผู้ที่ถืออำนาจทางการเงินในยุคดั้งเดิมเกิดความไม่ชอบใจในสิ่งนี้
โดย Tom Bilyeu ก็ได้เสริมว่า ในฝั่งของเขาก็ได้ศึกษาโลกของ crypto เช่นกัน โดยเฉพาะในวงการ NFT : Non Fungible Token เขาก็ได้ใช้หลักการการมองความผันผวนเช่นเดียวกันกับ Pomp ที่เขาไม่ได้ตื่นตกใจเวลาที่ราคาของมันขึ้น ๆ ลง ๆ ตราบใดที่ทิศทางของมันยังคงเติบโตอยู่ในระยะยาว ดังนั้นสิ่งที่เขารู้สึกก็คือ เมื่อไหร่ก็ตามที่ราคาของมันขึ้น เขาก็จะดีใจเพราะมันทำให้เขามั่งคั่งมากกว่าเดิม และในขณะเดียวกันเวลาที่ราคาของมันตกลงมา แทนที่เขาจะตื่นตระหนกและเครียด ก็กลับกลายเป็นว่า เย้! ราคาของมันลงมาแล้ว ฉันจะได้เข้าซื้อในราคาที่ถูกลง เพราะเขาเห็นแล้วว่า แม้ว่าราคาของมันจะลงแต่มันก็จะไม่ลงไม่มากกว่านี้แล้ว เพราะทิศทางของมันยังคงเติบโตอยู่ และนี่จึงเป็นเหตุผลว่า เพราะเหตุใด ความผันผวนที่รุ่นแรงนั้น ไม่ได้มีผลกับพวกเขาในระยะยาว
เสรีภาพทางการเงิน
Anthony Pompliano เขาได้ไอเดียในการซื้อ Bitcoin ที่มีจุดเริ่มต้นมาจากเรื่องของ Purchasing Power หรืออำนาจในการซื้อเพิ่มขึ้นเมื่อเขาหันมาถือ bitcoin ในขณะที่อำนาจในการซื้อลดลงเมื่อเขาถือเงินดอลล่าร์หรือเงิน fiat โดยหากพูดในภาพรวม ๆ แล้วมันก็คือเรื่องของ Finance เรื่องของการเงิน นั่นเอง
แต่อันที่จริงแล้ว เขากำลังมองหาสิ่งที่สามารถกักเก็บมูลค่าเอาไว้ได้อยู่โดยเฉพาะสิ่งที่สามารถกักเก็บมูลค่าของเวลาในชีวิตของเขา โดยเขามองว่าตัวของ Money นั้นคือหน่วย ๆ หนึ่งที่สามารถเซฟเวลาของเราเก็บเอาไว้ได้
ซึ่งคอนเซ็ปต์นี้มันอาจจะดูนอกกรอบไปสักนิด แต่ Pomp เขาก็พยายามอธิบายว่า ทุกวันนี้เราทำงานไปเพื่ออะไร ก็เพื่อให้ได้รับมาซึ่งเงิน หรือที่หลายคนมักคุณกับประโยคที่ว่า เวลาเป็นเงินเป็นทอง เพราะเราต้องเอาเวลาของเราไปทำงาน ไปทำประโยชน์ให้กับผู้อื่น ไปสร้าง Asset บางอย่างให้มันเติบโตเพื่อให้เงินงอกเงย สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ต้องแลกด้วยเวลาของเรา
ซึ่งถ้าหากเรามีเงินเยอะ ๆ เราก็สามารถใช้เงินเป็นเครื่องช่วยทุ่นแรงเพื่อให้เรามีเวลาเหลือเพิ่มมากขึ้น แต่หากเรามีเงินน้อย เราก็ต้องใช้เวลาของเราให้มากขึ้นเพื่อไปแลกกับเงิน ดังนั้น Pomp เขาจึงมองว่า Money คือหน่วยหนึ่งของเวลา
และเมื่อเขาใช้คอนเซ็ปต์นี้ แล้วลองนำมาเปรียบเทียบการทำงานในชีวิตจริง เช่น สมมติว่าวันนี้เขาต้องใช้เวลา 1 ชั่วโมงในการทำงานให้เสร็จ ซึ่งเขาจะได้รับค่าเหนื่อยเป็นจำนวน $10 แล้วจากนั้นเขาก็นำเงินนี้ไปฝากธนาคารเอาไว้ แล้วก็พบว่าในอนาคตอีกสิบปีข้างหน้าเขาต้องใช้เวลาในการทำงานถึง 2 ชั่วโมง แต่กลับได้รับผลตอบแทน $10 เท่าเดิม ซึ่งกลายเป็นว่า ใช้เวลาเยอะขึ้น แต่ได้ผลตอบแทนที่น้อยลง ซึ่งพอยิ่งคิดแบบนี้ก็จะพบว่า ยิ่งเราแก่ตัวลงเราก็ยิ่งต้องทำงานหนักขึ้นในขณะที่ร่างกายนั้นก็ไม่ได้ฟิตแบบเมื่อตอนที่ยังหนุ่ม ๆ อยู่ แถมยังพบว่าเงินที่ฝากธนาคารเอาไว้ยังซื้อของได้น้อยลงอีก มันทำให้เขาคิดได้ว่า ถ้าหากเรานำเงินเหล่านี้ไปลงทุนใน Asset บางอย่างที่ในระยะยาวมันเพิ่ม Purchasing Power หรือเพิ่มอำนาจในการจับจ่ายใช้สอยได้มากยิ่งขึ้นก็จะดีมาก เพราะในอนาคตเจ้าเงิน $10 ของเขาที่ฝากเอาไว้ในทรัพย์สินดังกล่าวมันจะเติบโตขึ้น นั่นจึงทำให้ในอนาคตเขาสามารถที่จะพักผ่อนหรือหยุดทำงานได้สัก 2-3 ชั่วโมง จากเงินลงทุนใน Asset นั้น ๆ ที่มันเติบโต
และคนที่ร่ำรวยทุกคนต่างรู้ดีว่า เวลามีค่ามากแค่ไหน ดังนั้นพวกเขาจึงใช้เงินในการซื้อเวลาให้กับตัวเองได้ เช่น ใช้เงินเพื่อจ้างคนอื่น ๆ เข้ามาช่วยทำงาน หรือนำเงินไปลงทุนใน Asset ที่มีผลตอบแทนกลับคืนมา
ซึ่ง Bitcoin ก็คือหนึ่งใน Asset ที่มีการเติบโตมาตลอดในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมา โดยมันสามารถรักษา Purchasing Power หรือรักษาอำนาจในการจับจ่ายใช้สอยไม่ให้ลดลงได้ ทำให้การลงทุนใน Bitcoin นั้น สามารถช่วยซื้อเวลา ส่งผลให้เมื่อวันเวลาผ่านไปเราก็สามารถลดชั่วโมงในการทำงาน โดยที่ไม่ต้องทำงานหนักไปตลอดได้
ในส่วนต่อมาที่ Bitcoin สามารถให้ได้ก็คือ เรื่องของการเพิ่มอำนาจอธิปไตยทางการเงินในระดับส่วนบุคคลให้มีมากยิ่งขึ้น ซึ่งจากตัวอย่างที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ที่ได้ยกตัวอย่างในเรื่องของการกดเงินจากตู้ ATM นั้น หากเรามีเงินเหลือน้อยกว่าขั้นต่ำที่ทางธนาคารกำหนดเอาไว้ก็จะไม่สามารถถอนเงินนั้นออกมาใช้ได้
โดยมีคำกล่าวนึงจากเพื่อนของเขาเคยกล่าวเอาไว้ว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณฝากเงินไว้ในบัญชีธนาคาร เงินนั้นจะไม่ใช่ของคุณอีกต่อไป ยกตัวอย่างจากเหตุการณ์ในประเทศไซปรัส(Cyprus) ที่รัฐบาลล้มเหลวในเรื่องของการเงิน แล้วธนาคารก็ออกนโยบายว่า จะจัดเก็บภาษีเงินฝากเป็นจำนวน 9.9% หากบัญชีธนาคารใดมีเงินฝากเกินกว่า 100,000 ยูโร ก็จะถูกทางธนาคารไซปรัสยึดเงินไปดื้อ ๆ เลย ก็เพราะเงินนั้นมันอยู่ที่พวกเขาแล้วนั่นเอง
ดังนั้นเราจึงจำเป็นที่จะต้องเริ่มตระหนักแล้วว่า อย่างน้อยสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนคนทั่วธรรมดา ๆ ทั่วไปนั้น ควรจะได้รับสิทธิ์ในการปกป้องและรักษาทรัพย์สิน รักษาความมั่งคั่งได้ด้วยตนเอง ซึ่งถ้าหากคุณยังยืนยันที่จะเก็บเงินไว้ในรูปแบบของ Fiat แต่เปลี่ยนจากฝากธนาคารมาฝังไว้ในสวนหลังบ้านแล้วล่ะก็ มันก็ยังคงมีโอกาสสูงที่คุณอาจจะถูกปล้นได้หากคุณเก็บเงินจำนวนมากเอาไว้ในบ้านของคุณ ซึ่งหากไม่ต้องการโดนใครมาบุกรุกก็ต้องใช้งบประมาณอย่างมากในการยกระดับการป้องกันเพื่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน
แต่ในขณะที่ Bitcoin นั้นสามารถมอบอำนาจอธิปไตยให้กับระดับปัจเจกบุคคลทั่วไปที่สามารถถือครองและรักษาความปลอดภัยเอาไว้บนเทคโนโลยี blockchain ที่ไม่มีใครสามารถยึดมันไปจากคุณได้ตราบใดที่มีคุณคนเดียวที่รู้ Private Key หรือกุญแจส่วนตัว
แต่ก็โอเคแหละว่า ในประเทศที่เจริญแล้ว ก็คงไม่ได้กังวลในเรื่องนี้อะไรมากมายสักเท่าไหร่นัก ส่วนใหญ่ก็ยังคงเลือกฝากเงินสดไว้ในธนาคาร แล้วเวลาจะใช้เงินก็สมัครบัตรเดบิต บัตร ATM ไปกดตามตู้หรือไม่ก็โอนผ่านแอพธนาคารเอาก็ง่ายดี สะดวกดี ไม่ต้องวุ่นวายอะไรกับการรักษาความปลอดภัยหรือไม่ได้กังวลอะไรกับอำนาจอธิปตง อธิปไตย อะไรสักเท่าไหร่นัก
แต่ในขณะที่ประเทศที่กำลังพัฒนาอยู่นั้น นี่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่มาก ยกตัวอย่างเช่น อย่างในประเทศเวเนซูเอลา ที่เกิดค่าเงินเฟ้ออย่างรุนแรง ทำให้ประชาชนภายในประเทศต่างดิ้นรนที่จะออกนอกประเทศเพื่อไปแสวงหาโอกาสทางการเงินที่ดีกว่าในประเทศอื่น ๆ นั้นกลับไม่สามารถทำได้ นั่นก็เป็นเพราะ หากจะเดินทางออกนอกประเทศ ผ่านด่านตรวจคนออกนอกประเทศ ไม่ว่าจะเป็นทางเท้า รถยนต์ รถไฟ สนามบิน สิ่งที่พวกเขาจะโดนเมื่อถึงด่านตรวจก็คือ การถูกยึดทรัพย์สมบัติส่วนตัว เช่นหากคุณขนเงินสด ขนทองคำ ใส่กระเป๋าเดินทางที่เยอะเกินกว่าที่รัฐกำหนดเอาไว้ คุณก็จะต้องถูกยึดทรัพย์สินนั้น ๆ โดยรัฐบาล นี่แสดงให้เห็นถึงว่า ประชาชนคนทั่วไปไม่มีอำนาจอธิปไตยในการปกป้องเงินและทรัพย์สินของตนเองได้เลย มันไม่มีความปลอดภัยเลย ในขณะที่ Bitcoin นั้นมีการเข้ารหัสด้วย cryptography ที่เป็นระบบรักษาความปลอดภัยที่สูงมาก ซึ่งมันควรจะเป็นพื้นฐานในการรักษาความปลอดภัยทางด้านการเงินให้กับคนทั่วโลกที่ควรได้รับสิทธิขั้นพื้นฐานในเรื่องของการเงินที่อนุญาตให้ผู้คนสามารถรักษาทรัพย์สินได้ด้วยตัวเอง
ซึ่งก็โอเคแหละว่า ในประเทศที่พัฒนาแล้วมันมีทางเลือกในการโอนเงินหลากหลายช่องทางมาก ไม่ว่าจะเป็นธนาคาร แอพการเงินต่าง ๆ แต่ถ้าให้พูดกันจริง ๆ แล้วนั้น ทางรัฐบาลนึกอยากจะแบนบัญชีธนาคารใครก็สามารถทำได้ในทันที เช่น จู่ ๆ รัฐบาลบอกคุณว่า ทางเจ้าหน้าที่สงสัยว่าคุณอาจจะเกี่ยวข้องกับอาชญากรรม จึงจะทำการล็อคบัญชีเงินฝากของคุณห้ามไม่ให้ทำธุรกรรมทางการเงินต่าง ๆ จนกว่าจะเสร็จสิ้นกระบวนการการสอบสวน ซึ่งถ้าคุณโดนแบบนี้คุณก็คงเกิดอาการเหวอไปสักพักกันเลยทีเดียว ก็โอเคแหละว่ามันไม่ได้เกิดขึ้นกับทุกคน อาจไม่บ่อย แต่รัฐบาลสามารถสั่งการแบบนี้ได้ แม้ว่าคุณจะบริสุทธิ์ผุดผ่องไม่ได้ทำความผิดอะไรใด ๆ ก็ตามที
หรือในอนาคตทางรัฐบาลออกนโยบายว่า หากประชาชนคนใดไม่ยอมทำงานทำการให้ถือว่าเป็นคนไม่ดี และบัญชีธนาคารของคนไม่ดีก็จะไม่สามารถรับส่งเงินได้อีกต่อไป ซึ่งโอเคแหละว่าตัวอย่างอาจจะดูสุดโต่งไปหน่อย แต่อย่างที่บอกรัฐบาลมีอำนาจมากพอที่จะทำแบบนั้น
แต่เดี๋ยวก็มีคนแย้งขึ้นมาอีกแหละว่า ก็ในเมื่อคุณไม่ได้ทำความผิด คุณจะกลัวการถูกตรวจสอบทำไม? หรือที่คุณไม่อยากถูกตรวจสอบเพราะคุณมีเงินผิดกฎหมายในครอบครองใช่หรือไม่? กำลังฟอกเงินหรืออย่างไร? ซึ่งจากเคสก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้ทำผิดกฎหมายอะไร แต่ก็ยังโดนรัฐคุกคามได้ในทันทีหากพวกเขาอยากจะกระทำกับคุณ อย่างกรณีที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วอย่างเช่น เมื่อมีประเด็นทางการเมืองแล้วมีอยู่คนหนึ่งที่คอยวิจารณ์รัฐบาลอยู่เรื่อย ก็เคยถูกสั่งระงับบัญชีธนาคารไม่ให้ทำธรกรรมใด ๆ ก็เคยเกิดขึ้นมาแล้ว
หรืออย่างเคสล่าสุดในปี 2021 ที่เกิดขึ้นจาก paypal ที่มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายการใช้งานในแพลตฟอร์ม ที่บังคับให้ใครก็ตามที่เปิดบัญชีบุคคลทั่วไปถูกบังคับให้ไปเปลี่ยนเป็นบัญชีธุรกิจให้หมด ไม่เช่นนั้นแล้วจะใช้รับเงินถอนเงินไม่ได้ ทำให้ฟรีแลนซ์ทั่วโลกที่มักทำในนามบุคคลธรรมดานั้นได้รับผลกระทบในการรับเงินส่งเงินออนไลน์ ทั้ง ๆ ที่เหล่าบรรดาฟรีแลนซ์ไม่ได้ทำผิดอะไรเลย
ดังนั้นประเด็นที่ Pomp ต้องการจะสื่อมันก็คือเรื่องของการปกป้องและรักษามูลค่าความมั่งคั่งในด้านการเงินนั้นควรเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์
ดังนั้นคำถามที่ Pomp ได้ถามกับตัวเองก็คือ ตัวของเขาอยากเสี่ยงที่จะต้องเกี่ยวข้องกับระบบการเงินแบบนี้หรือไม่? ซึ่งแม้ว่าในสหรัฐฯ กรณีแบบนี้อาจไม่มีทางเกิดขึ้นหรือเกิดขึ้นได้ยาก แต่มันสามารถเกิดขึ้นได้
และถ้าหากมองในมุมของนักลงทุนที่เก่ง ๆ ทั่วโลกก็จะพบว่า พวกเขาไม่ต้องการความเสี่ยงจากการลงทุน ซึ่งการถือเงินสดในบริษัท 100% นั้นเป็นเรื่องที่เสี่ยงมาก ดังนั้นนักลงทุนที่เก่ง ๆ ไม่มีใครที่เก็บเงินสดเอาไว้เป็นสัดส่วนที่สูงมากขนาดนั้นอย่างแน่นอน
ซึ่งหลักการการกระจายความเสี่ยงนั้น ก็สามารถปรับใช้ได้กับคนทุกกลุ่ม ดังคำที่ว่า อย่าใส่ไข่ทั้งหมดไว้ในตะกร้าใบเดียว ยกตัวอย่างเช่น หากคุณทำ Content คุณก็คงไม่เสี่ยงที่จะทำบนแพลตฟอร์มใดแพลตฟอร์มหนึ่งเพียงอย่างเดียว เพราะการมีหลาย ๆ แพลตฟอร์มดูจะปลอดภัยกว่า
หรืออย่างคนที่มีเงินฝากในธนาคารเยอะ ๆ ก็คงไม่อยากเสี่ยงฝากเงินทั้งหมดไว้กับธนาคารที่ใดที่หนึ่งอยู่เจ้าเดียวบัญชีเดียว เพราะมันเสี่ยงเกินไปหากธนาคารนั้นมีปัญหา มันจะดีกว่าหากกระจายไปตามบัญชีธนาคารหลาย ๆ เจ้า หรือหากลงทุนใน Asset ก็ไม่ควรลงทุนในทรัพย์สินใดทรัพย์สินหนึ่งแบบร้อยเปอร์เซ็นต์
อีกกรณีหนึ่งที่เกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้งก็คือการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ ซึ่งทำให้ประชาชนในประเทศนั้น ๆ ถูกแบนทั้งประเทศ โดยไม่สนว่าใครจะเป็นคนดีหรือคนไม่ดี แต่ก็โดนแบนหมด
ส่วนคนทำผิดกฎหมาย ไม่ว่าเงินจะอยู่ในรูปแบบไหน พวกเขาก็ทำผิดกฎหมายได้ทั้งนั้นแหละ ไม่ว่าเงินจะอยู่ในรูปของแบงค์ดอลล่าร์, บัญชีธนาคารที่เอาไว้ใช้ฟอกเงิน หรือจะใช้ bitcoin หรือ crypto ในการทำธุรกรรมที่ผิดกฎหมาย พวกเขาก็ทำได้ทั้งนั้น แต่อย่าลืมว่าการทำธุรกรรมบนโลก blockchain นั้น ทุกครั้งที่เกิดการทำธุรกรรมขึ้น มันจะถูกบันทึกลงบนโลกออนไลน์ที่ผู้คนทั่วโลกสามารถเห็นได้ว่า เงินจากกระเป๋าบัญชีไหนกำลังเคลื่อนย้ายไปยังบัญชีใด ถ้าลองเอาคอนเซ็ปต์นี้ไปถามกับพวกอาชญากรแล้วล่ะก็ พวกเขาก็คงไม่แฮปปี้สักเท่าไหร่ หากการทำธรกรรมที่ผิดกฎหมายของพวกเขากำลังมีชาวเน็ตคอยเฝ้ามองอยู่ ดังนั้นจะดีกว่าถ้าหันไปใช้เงินสดอย่างเงินดอลล่าร์ในการค้าขายสิ่งของผิดกฎหมายน่าจะปลอดภัยกว่า เพราะมันติดตามได้ยากกว่าเยอะ โดยเคยมีรายงานระบุว่า เหล่าบรรดาอาชญากรนั้นได้มีการนำเงิน fiat ไปใช้ในทางที่ผิดกฎหมายมากถึง $2 Trillion ต่อปี ซึ่งนั่นมันมากกว่าเม็ดเงินทั้งหมดทั้งตลาด crypto ซะอีก
ดังนั้นการมาของ Bitcoin สำหรับผู้ที่ยอมรับมันแต่เนิ่น ๆ นั้น ก็จะกลายเป็นผู้ที่ได้รับผลประโยชน์มากที่สุดมากกว่าคนอื่น ๆ ที่เข้ามาทีหลัง
ก็โอเคแหละว่า โดยธรรมชาติของมนุษย์นั้นมักกลัวการเปลี่ยนแปลง โดยสามารถดูได้จากยุคแรกของการมาอินเตอร์เน็ต ที่ใครก็ตามบนโลกใบนี้ก็สามารถเข้าร่วม Network นี้ได้ ทำให้คนในยุคแรกสุดก็มักจะพูดว่า อินเตอร์เน็ตมันน่ากลัว อย่าไปยุ่งกับมันเลย มันไม่มีใครคอยควบคุม แดนเถื่อนชัด ๆ ในขณะคนที่กระโดดเข้าสู่โลกอินเตอร์เน็ตก่อนใคร พวกเขาเหล่านั้นก็กลับได้รับผลประโยชน์ไปแบบเต็ม ๆ
และเช่นเดียวกัน ในยุคนี้ การมาของ bitcoin นั้น มันเป็นระบบ Open Payment System คือเป็นระบบการเงินแบบเปิด ที่มันเป็นคอนเซ็ปต์ที่ตรงข้ามกับโลกการเงินในแบบดั้งเดิมที่เรารู้จัก ที่เป็นระบบเปิดที่อนุญาตให้ใครก็ตามบนโลกใบนี้สามารถเข้าร่วม Network นี้ได้ โดยสามารถส่งมูลค่าหาใครก็ได้บนโลกใบนี้โดยที่ไม่ต้องขออนุญาตจากใคร มันมอบเสรีภาพในการตัดสินใจทางการเงินให้กับตัวคุณแบบร้อยเปอร์เซ็นต์
มุมมองของนักลงทุน
เนื้อหาในนี้จะพูดถึงเรื่องมุมมองในการลงทุนในฐานะนักลงทุน ที่เป็นมุมมองจาก Anthony Pompliano ว่าเขามีมุมมองในการลงทุน Bitcoin อย่างไร
Pomp บอกว่าเมื่อตอนที่เขายังอายุน้อยและมีประสบการณ์น้อยในวงการการลงทุน เขามักจะชอบทำตัวเป็น Market Predictor คือชอบวิเคราะห์ในเชิงการทำนายว่า ในอนาคตมันจะเป็นแบบนั้นแบบนี้ ถ้าเกิด A B C อาจจะส่งผลให้เกิด D E F ซึ่งบางครั้งก็ถูก และเมื่อทำนายถูกเขาก็มักจะเกิดความมั่นใจในตนเองมากจนเกินไป มีความเหย่อหยิ่งในตนเองว่า ฉันเก่ง ฉันเจ๋ง ฉันแน่ และแน่นอนแหละว่าในบางครั้งก็ทำนายไม่ถูก จนกระทั่งเขาเติบโตขึ้นและมีประสบการณ์ในการลงทุนมากยิ่งขึ้นก็ทำให้เขาเปลี่ยนตัวเองจากการที่เป็น Market Predictor มาเป็น Market Observer คือผู้เฝ้าสังเกตุการณ์กับสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะแน่นอนแหละว่าแต่ละคนมักมีความคิดเห็นเป็นของตนเองที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งไม่ว่าคุณจะคิดว่า Bitcoin คือสิ่งมีค่าหรือไร้ค่านั้น ความคิดเห็นของคุณก็ไม่ได้มีผลอะไรกับตลาด เพราะสุดท้ายตลาดจะเป็นตัวตัดสินเองว่าสิ่งนั้นมันมีค่าเท่าไหร่ หรือไม่ อย่างไร
ยกตัวอย่างเช่น ถ้า Pomp เขาเจอคนที่บอกว่าไม่เห็นว่า Bitcoin มันจะมีค่าอะไรตรงไหนเลย Pomp นั้นสามารถนั่งอธิบายให้กับคนเหล่านั้นฟังได้ทั้งวันว่า เพราะเหตุใด Bitcoin ถึงมีค่า ไม่ว่าจะเป็น
- Bitcoin มันมี Market Cap มากกว่า $1 Trillion
- มีผู้คนถือครอง Bitcoin ทั่วโลกกว่าร้อยล้านคน
- มีการทำธุรกรรมด้วย Bitcoin อย่างมหาศาล
- มันคือ Money Network หรือเครือข่ายการเงินที่ทรงพลัง บลา ๆๆๆ
ซึ่งโอเคแหละว่าพออธิบายไปดังนี้ ก็จะมีคนบอกอยู่ดีแหละว่า แล้วไง? มันก็อาจจะมีค่าหรือไม่มีค่าก็ได้ แต่สิ่งที่ Pomp พยายามจะสื่อก็คือ มันไม่สำคัญว่าใครจะบอกว่ายังไง แต่มันสำคัญตรงที่ว่าในตลาดมันเกิดอะไรขึ้นต่างหาก และตลาดก็เป็นตัวตัดสินว่า Bitcoin นั้นมีค่าขึ้นมา
ซึ่งก็โอเคแหละว่า การเป็น Market Predictor นั้นหากคาดการณ์ได้ถูกก็มีโอกาสที่จะสามารถเก็งกำไรในตลาดนั้น ๆ ได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ แต่ในความเป็นจริงแล้วนั้นคนเราสามารถคาดเดาเหตุการณ์ในอนาคตได้แย่เอามาก ๆ หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ ส่วนใหญ่ทายไม่แม่น และอนาคตเป็นที่สิ่งมนุษย์เรานั้นไม่มีทางรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
แต่ Tom Bilyeu ก็แย้งขึ้นมาว่า ในบางครั้งอย่างตัวของเขาเองก็ต้องเป็น Market Predictor ที่มักจะคาดการณ์ว่า ถ้าหากเกิด ABC แล้วควรจะทำ DEF แต่หากไม่เกิดก็จะได้หากลยุทธ์อื่นเข้ามาปรับใช้แทน
ซึ่ง Pomp ก็ได้อธิบายว่า นั่นก็ขึ้นอยู่กับว่า คุณเป็นนักลงทุนประเภทใด เพราะนักลงทุนแต่ละคนมีสไตล์การลงทุนที่ไม่เหมือนกัน
โดยเขาได้ยกตัวอย่างจากการที่เขามีประสบการณ์ในการลงทุนในบริษัทสตาร์ทอัพในช่วง Seed Round หรือช่วงตั้งไข่เริ่มแรกนั้น โดยในตอนแรกเขาได้ทำตัวเป็น Market Predictor พฤติกรรมของเขาจะเป็นประมาณว่า ฉันคิดว่าสิ่งนี้น่าจะฮอตฮิตในอนาคต ถ้าเกิดสิ่งนี้ บริษัทนี้น่าจะเติบโตอย่างก้าวกระโดด ดังนั้นเมื่อฉันได้มาเจอกับบริษัทนี้ ฉันก็คิดว่าเป็นบริษัทที่น่าลงทุน ซึ่งจากประโยคดังกล่าวจะเห็นได้ว่า มีแต่ ฉันคิด… ฉันคิด… ฉันคิด… ซึ่งมันเป็นการทำนายและคาดการณ์กับสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต และผลัพธ์ที่ได้ก็คือ ความคิดบางอย่างก็ใช้ได้และบางอย่างก็ใช้ไม่ได้
แต่พอวันเวลาผ่านไป เมื่อเขามีประสบการณ์ในวงการการลงทุนมากยิ่งขึ้น และเขาลองทำตัวเองให้เห็น Market Observer ทำตัวเองให้ผู้เฝ้าสังเกตุการณ์ พฤติกรรมของเขาเมื่อมองมาที่ Bitcoin ก็เกิดมุมมองใหม่ ๆ ประมาณว่า คนกลุ่มนี้พวกเขาฉลาดแค่ไหน เก่งขนาดไหน พวกเขาแก้ปัญหาได้จริงหรือไม่ พวกเขามีแนวความคิดที่แจ่มแจ้งจัดเชนหรือไม่อย่างไร พวกเขามีแรงกระตุ้นอะไรที่นำพาไปสู่จุดหมาย
ซึ่งไม่ว่าตัวของ Pomp จะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย หรือจะคิดอย่างไรมันก็ไม่สำคัญ มันสำคัญตรงที่ว่า มีผู้คนเข้ามาใช้งาน Bitcoin อย่างมหาศาล นั่นตลาดก็สามารถบอกออกมาเองแล้วว่ามันเวิร์ค ดังนั้นการลงทุนด้วยแนวความคิดของการเป็น Market Observer จะทำให้ตัวเรานั้นเลิกนิสัยในการคาดการณ์ การคาดเดากับอนาคต เดาว่ามันอาจจะเป็นตลาดกระทิงขาขึ้น หรือเดาว่ามันจะเป็นตลาดหมีขาลง หรืออาจเดาว่ามันเป็นตลาด Sideway ที่ราคานิ่ง ๆ ไม่ขยับไปไหน
ดังนั้นพอเขาเริ่มสังเกตุการณ์แล้วก็จะพบว่ามีการรวมตัวของผู้คนทั่วโลกนับล้านคนกำลังเข้ามาสู่ตลาด Bitcoin เขาเฝ้าดูเทรนด์ว่าตลาดกำลังเทเม็ดเงินมาที่นี่ ดังนั้นจะเห็นได้ว่า ความคิดเห็นของเขาที่เคยคาดการณ์ว่าอนาคตจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ มันไม่ได้มีใครสนใจและไม่ได้มีผลอะไรกับตลาดเลย
ยกตัวอย่างอีกสักตัวอย่างจากกรณีของ Airbnb ที่เป็นผู้ให้บริการเช่าห้องพัก ซึ่งคุณลองนึกภาพตามดูว่า ในตอนแรกสุดพวกเขาโคตรจะโนเนมแล้วจู่ ๆ หากพวกเขาเข้ามานำเสนอโปรเจคว่าพวกเขากำลังจะเปิดบริษัทที่มีแนวคิดว่าใครก็ตามที่มีบ้านเป็นของตัวเอง สามารถเอาเตียงเป่าลมมาวางไว้ในห้องครัวแล้วเดี๋ยวก็จะมีคนมาขอเช่านอนเอง และทั่วโลกก็จะเป็นแบบนี้เช่นกัน ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริงมันยังไม่เกิดเหตุการณ์อะไรแบบนั้นเลย แถมเป็นความคิดที่บ้าสุด ๆ เพราะใครที่ไหนจะยอมจ่ายเงินเพื่อมาเช่าที่หลับนอนในห้องครัวที่เป็นเตียงแบบเป่าลมอีกต่างหาก นี่คือสิ่งที่ Market Predictor เป็น
แต่ในขณะที่ Market Observer นั้น พวกเขาสังเกตจากสิ่งที่เกิดขึ้น โดย ณ ตอนนั้นหนึ่งในผู้ก่อตั้ง Airbnb อย่าง Brian Chesky มีไอเดียเริ่มต้นมาจากตัวของ Brian และ Joe Gebbia ที่เป็นรูมเมท ประสบปัญหาด้านการเงินมาจ่ายค่าเช่าห้อง ก็เลยอยากหารายได้พิเศษ ซึ่งประจวบเหมาะกับช่วงนั้นในเมืองที่พวกเขาอาศัยอยู่มีการจัดประชุมใหญ่ ทำให้โรงแรมที่พักในแถบนั้นถูกจับจองเต็มหมด ส่งผลให้ผู้เข้าร่วมประชุมบางส่วนไม่มีที่พัก Joe จึงปิ๊งไอเดีย ในการเปิดห้องพักของตนเอง โดยในห้องพักจะให้บริการเตียงลม 3 ตัวพร้อมอาหารเช้าให้แขกที่เข้ามาพักในคืนแรกซึ่งโจก็ได้ส่งอีเมลหาไบรอันเพื่อนำเสนอไอเดียนี้ โดยโจได้บอกกับไบรอันว่ามันน่าจะพอทำเงินให้พวกเขาได้บ้าง ไบรอันและโจคิดค่าเช่าเพียง 80 เหรียญฯ ต่อคน สำหรับการเปิดห้องพักให้เช่าในครั้งแรก ซึ่งสิ่งที่พวกเขาคาดหวังก็เป็นจริง เมื่อมีผู้เช่า 3 รายแรกติดต่อเข้ามาพัก ทำให้สองหนุ่มไม่ต้องออกจากห้องพักไปนอนในกล่องกระดาษลังข้างถนน
ดังนั้นหากมองในมุมของ Market Observer ก็จะเริ่มตั้งคำถามกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วว่า ทำไมผู้คนถึงยอมจ่ายกับสิ่งนี้ มันน่าสนใจดีแฮะ และก็อาจจะตั้งคำถามกับผู้ที่เข้าพักว่า พวกเขาจะพักกี่วันและทำแบบนี้กับที่อื่น ๆ อีกหรือไม่ อย่างไร ซึ่งคุณจะสังเกตได้ว่า การถามคำถามจะเปลี่ยนไป จากการเดานั่นเดานี่ไปเป็นมันเกิดแบบนั้นเกิดแบบนี้ เทรนด์มันไปในทางนี้ โลกมันไปในทางนี้มากยิ่งขึ้น
ต่อมา Pomp เขามองว่า Bitcoin เปรียบได้กับ Digital Gold หรือทองคำในรูปของดิจิตอล ซึ่งที่ผ่านมาเราจะสังเกตได้ว่า Asset ใดก็ตามที่เปลี่ยนถ่ายจากโลกออฟไลน์มายังโลกออนไลน์แล้วจะพบว่า ในเวอร์ชั่นออนไลน์มันสามารถแผ่ขยายตลาดได้กว้างใหญ่กว่าในเวอร์ชั่นออฟไลน์เป็นอย่างมาก และเช่นเดียวกัน ตลาดทองคำตอนนี้มีมูลค่าราว ๆ $10 Trillion และตลาด Bitcoin มีมูลค่าราว ๆ $1 Trillion ดังนั้นหาก Bitcoin คือทองคำดิจิตอล เทรนด์ของมันจะต้องแผ่ขยายได้ไม่น้อยกว่าตลาดของทองคำอย่างแน่นอน
นั่นก็มีสาเหตุอยู่หลายอย่างที่ทำให้ Bitcoin นั้นดูเจ๋งกว่าทองคำ
อย่างแรกคือ มันมีความเป็นดิจิตอล อะไรก็ตามในโลกยุคปัจจุบันที่มันสามารถเชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ตได้ โดย Bitcoin นั้น ใครก็ตามที่สามารถเข้าเว็บไซต์แล้ว sign in ลงชื่อเข้าใช้งานได้ ก็สามารถเริ่มต้นทำธุรกรรมได้ในทันที มันคือข้อได้เปรียบในการเข้าถึงได้ง่ายกว่าทองคำทั่วไป
อย่างที่สองคือ มันสามารถซื้อทีละเล็กทีละน้อยได้ เพราะตอนนี้ราคา 1 BTC ก็ประมาณ $50,000 ตีเป็นเงินไทยก็ล้านกว่าบาท ซึ่งข้อดีของ Bitcoin ก็คือ มันสามารถแบ่งหน่วยย่อยได้ถึง 8 หน่วย โดยหน่วยย่อยนั้นจะมีชื่อเรียกว่า satoshi ที่ตั้งตามชื่อนามแฝงของผู้ก่อตั้ง Bitcoin นามว่า Satoshi Nakamoto โดย 1 BTC = 100,000,000 Satoshi(sat) ซึ่งอย่างกระดานเทรด Exchange ในไทยอย่าง Bitkub ก็สามารถใช้เงินเริ่มต้นที่ 10 บาท ก็สามารถซื้อ bitcoin ได้แล้ว หรืออย่างต่างประเทศบน Binance ก็ขั้นต่ำเริ่มต้นที่ $10 เป็นต้น ในขณะที่ทองคำนั้น แบ่งแยกย่อยได้ยาก ที่นิยมขั้นต่ำก็ต้องมีสัก 1 สลึงขึ้นไป ก็ตกหลายพันบาทจึงจะเริ่มต้นซื้อทองคำได้
อย่างที่สาม bitcoin นั้นสามารถพกพาได้ง่าย เขาสามารถพกมันติดตัวไปได้ตลอดผ่าน smartphone, laptop หรือ hardware wallet หรือแม้กระทั่งหากคุณแค่จำรหัสผ่านได้ก็ไม่ต้องพกอะไรไปก็ยังได้ ในขณะที่ทองคำนั้นต้องเพิ่มระดับในการรักษาความปลอดภัยที่สูงมากยิ่งขึ้นเมื่อมีมูลค่าเพิ่มขึ้น
ดังนั้นคุณจะเห็นได้ว่าอะไรก็ตามในเวอร์ชั่น digital มันมักจะดีกว่าในเวอร์ชั่น physical
ซึ่งไม่ว่าคุณเลือกที่จะเป็นนักลงทุนสไตล์ไหน ก็จงคุยกับตนเองให้เคลียร์ ว่าตอนนี้คุณกำลังอยู่ในโหมดสะสมความมั่งคั่ง โหมดทำกำไรหรือโหมดปกป้องความมั่งคั่ง ซึ่งส่วนตัวของ Pomp นั้น เขาเป็นนักลงทุนประเภทที่ไม่ชอบมีความเสี่ยงสูง เพราะตอนนี้เขาก็มีความมั่งคั่งในระดับหนึ่งแล้ว ดังนั้นเป้าหมายของเขาไม่ใช่การทำกำไรสูงสุด แต่เป็นการลงทุนเพื่อปกป้องความมั่งคั่งมากกว่า
โดย Pomp จะมีหลักการในการลงทุนของเขาอยู่ด้วยกัน 5 ข้อก็คือ
- ใช้จ่ายให้น้อยกว่าที่หามาได้
- กำจัดหนี้เสียให้หมด
- นำเงินสดที่เหลือมาลงทุนใน Asset ซึ่งไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สินใดก็ขอให้เริ่มต้นลงทุน
- มีความอดทนอดกลั้น สามารถรอคอยความสำเร็จได้
- มีวินัยในการลงทุน
เพราะการถือเงินสดเอาไว้นั้น นับวันมันมีแต่จะลดมูลค่าลง ในขณะที่ Asset กลับมีราคาที่สูงขึ้นอยู่ตลอด
ส่วนตลาด NFT นั้น ส่วนตัวของ Pomp เขาก็เคยลงทุนเมื่อช่วงแรก ๆ ในการมาของมัน แต่เขาก็พบว่ามันมีความเสี่ยงสูงมาก ไม่เหมาะกับสไตล์การลงทุนของเขาเลย และเขาพบว่าจำนวน Supply ของ Bitcoin นั้นมันถูกจำกัดให้มีแค่เพียง 21 ล้านเหรียญ BTC เท่านั้น แต่ในขณะที่ NFT มันสามารถเสกออกมาจากอากาศได้ เช่น หากคุณอยากได้เหรียญ crypto ก็ให้คุณลองสร้างงานศิลปะขึ้นมาสักชิ้นหนึ่งแล้วประกาศขาย ถ้าคุณขายได้ นั่นก็หมายถึงคุณจะได้รับเหรียญ crypto มานั่นเอง ดังนั้นจะเห็นได้ว่ามันเสกเงินจากอากาศได้ โอเคแหละว่าในมุมของผู้สร้างหรือ Creator งานศิลปะจะได้เปรียบที่หากมีความสามารถก็สามารถใช้จินตนาการในการสร้างสรรค์ผลงานออกมาขายได้ แต่ในฝั่งของนักลงทุนแล้วนั้น การที่อะไรที่มันเสกขึ้นมาได้อย่างไม่มีจำกัดนั้นเป็นเรื่องที่น่ากังวล เพราะอะไรก็ตามที่มันมีมากเกินไป มันจะถูกลดทอนคุณค่าลง แถมการที่ NFT บางชิ้นมีมูลค่าสูงจนน่าตกใจ ชิ้นนึงหลายล้านบาทแต่กลับตีมูลค่าที่แท้จริงได้ยากมาก ว่าเพราะเหตุใดงานชิ้นนั้นจึงมีมูลค่าสูง
ในขณะที่นักลงทุนส่วนใหญ่จะตีมูลค่าหุ้นได้ง่ายกว่า โดยมักจะดูจากผลประกอบการของบริษัท กำไรที่บริษัทสามารถทำได้ ราคาหุ้นก็ขึ้นตามมูลค่านั้น เป็นต้น
แต่ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สินแบบใดก็ตาม คีย์สำคัญในการลงทุนของ Pomp ก็คือการที่เราถือครองทรัพย์สินนั้นเอาไว้เป็นของเราเอง โดยทรัพย์สินดังกล่าวจะมีมูลค่าเพิ่มมากขึ้นตามจำนวนผู้ที่เข้าร่วมใน Network นั้น ๆ เช่น การถือครองธุรกิจที่สามารถผลิตกระแสเงินสดเข้ามาได้, หากเป็นวงการ NFT ก็ถือครองชิ้นงานสักชิ้น, หากเป็นอสังหาริมทรัพย์ก็ถือครองที่ดิน หรือหากเป็นระบบการเงินก็ถือครอง Bitcoin ซึ่งก็จะเห็นได้ว่า ไม่ว่าจะลงใน Asset ใดก็ตามที มันก็จะมีหลักการและกลไกที่เหมือน ๆ กัน
และในฐานะที่ Pomp เขาเลือกที่จะเป็นนักลงทุนแบบ Market Oberserver ที่คอยเฝ้าสังเกตการณ์นั้นเขาก็มองเห็นเทรนด์ที่เกิดขึ้นกับ Bitcoin โดยเขาไม่ได้สนใจมากนักว่าราคาของมันจะขึ้นหรือจะลงเท่าไหร่ แต่สิ่งที่เขาเห็นก็คือ ผู้คนทั่วโลกกระโดดเข้ามาเล่นในตลาดนี้แล้วมันก็เติบโตขึ้น ดังนั้นข้อคิดของคนที่จะเป็น Market Observer ก็คือ การเอาคำว่าคาดเดาว่าอนาคตจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ออกไป แล้วให้สังเกตการณ์กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ณ ปัจจุบัน
โดยสิ่งที่ทำให้ Pomp ตัดสินใจที่จะเลือกลงทุนใน Bitcoin นั้นก็เป็นเพราะ การมา Bitcoin ทำให้เกิดการปฏิวัติวงการเดิม ๆ อยู่สองเรื่องก็คือ
- ปฏิวัติวงการการเงิน – ที่มันชนะการเงินในรูปแบบเดิม ๆ ใคร ๆ ก็สามารถเข้าถึงได้ มีอิสระในการควบคุมการเงินได้ด้วยตนเอง โดยไม่ต้องรอหรือขออนุญาตจากใคร และเพิ่มอำนาจอธิปไตยทางเงินในระดับปัจเจคบุคคลสำหรับผู้ที่ครอง bitcoin ซึ่งมันใช้เวลา 10 กว่าปีนิด ๆ ในการสร้างตลาดที่มีมูลค่ากว่า $1 Trillion เขาจึงตัดสินใจจากสิ่งที่เห็นว่า โอเคมันน่าสนใจดี ถ้าเช่นนั้นเขาก็ต้องการที่จะเป็นเจ้าของมัน นั่นคือการตัดสินใจโดยส่วนตัวของเขา
- ปฏิวัติวงการดิจิตอล – การมาของ bitcoin มันมาในรูปแบบดิจิตอล ที่มันไม่ได้มาปฏิวัติเฉพาะแค่วงการการเงินเพียงอย่างเดียว แต่มันจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมในวงการอื่น ๆ อีกเยอะแยะมากมาย
และอีกเหตุผลที่ Pomp เขาเลือกที่จะลงทุนใน Bitcoin เป็นหลักนั้นก็เพราะ เขาต้องการศึกษาและเรียนรู้แบบลงลึก ดังนั้นเขาจึงจำเป็นต้องโฟกัสอย่างใดอย่างหนึ่ง และเมื่อเขาศึกษาเกี่ยวกับ bitcoin มากยิ่งขึ้น มันทำให้เขามีความรู้ในเรื่องต่าง ๆ มากยิ่งขึ้น ฉลาดมากยิ่งขึ้น มีสติปัญญามากยิ่งขึ้น เพราะการเรียนรู้ในบิตคอยน์ที่ดีนั้น คุณก็จำเป็นที่จะต้องเรียนรู้ในเรื่องของการเงิน เรื่องของเศรษศาสตร์ และเรื่องของเทคโนโลยี
และเช่นกัน เมื่อในอดีตที่เหล่าบรรดาสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ต่าง ๆ รวมไปถึงห้างร้านบริษัทต่าง ๆ ยังไม่ได้กระโดดเข้ามาในตลาด bitcoin นั้นก็เป็นเพราะ พวกเขายังไม่ได้ศึกษามันมากพอ แต่ในปัจจุบันเมื่อพวกเขาได้ศึกษาเกี่ยวกับ bitcoin มากขึ้น ก็ทำให้เริ่มมีสถาบันการเงินและบริษัทต่าง ๆ ทั่วโลก เริ่มเข้ามาลงทุนใน bitcoin เพราะอย่าลืมว่าพวกเขาส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่เป็นนักลงทุนที่เก่งกาจ พวกเขาจึงต้องศึกษามาเป็นอย่างดี แล้วจึงค่อยตัดสินใจมาลงทุน ดังนั้นความรู้เป็นเรื่องที่สำคัญ
แต่ผู้คนส่วนใหญ่ที่ยังไม่ได้เข้ามาในตลาดนี้นั้นก็เป็นเพราะ ส่วนใหญ่ยังไม่เคยได้สัมผัสในเรื่องของการลงทุน ข้อมูลที่จะนำโลกการเงินแบบเดิม ๆ มาเปรียบเทียบกับโลกการเงินของบิตคอยน์นั้น ก็ยิ่งมีข้อมูลน้อยเข้าไปใหญ่ อย่าว่าแต่เรื่องการลงทุนเลย เรื่องของการเงินส่วนบุคคลทั่วไป ยังมีกลุ่มคนน้อยมากที่เชี่ยวชาญในเรื่องนี้ ซึ่งจริง ๆ แล้วมันควรเป็นเรื่องพื้นฐานที่ทุกคนควรเชี่ยวชาญซะด้วยซ้ำ
ซึ่งเมื่อ Pomp เขาลองดูตัวเลข Perfomance ที่ผ่านมาของ bitcoin เขาก็พบว่า ตลอดสิบปีที่ผ่านมา bitcoin ให้ผลตอบแทนแแบบ Compound Interest หรือแบบดอกทบต้นเฉลี่ยเกือบ ๆ 200% ต่อปี เขาก็เริ่มมองแล้วว่ามันน่าสนใจ แล้วเขาก็ถามกับตนเองต่อว่าจะถือ bitcoin ไปจนถึงเมื่อไหร่ ซึ่งเขาก็จะถือมันไปจนถึงส่งมอบให้รุ่นลูกรุ่นหลานหรือนับอีกร้อยปีนับจากนี้ คำถามก็คือ มันอยู่ถาวรคงทนหรือไม่ ซึ่งถ้าดูจากเทคโนโลยี blockchain และการเข้ารหัสแบบ cryptography แล้วมันก็ยังอยู่ไปได้อีกนาน
ดังนั้นเมื่อเขาได้รับข้อมูลเกี่ยวกับ bitcoin มากขึ้น ๆ มันก็ทำให้ในปัจจุบันนั้นเขาเลือกที่จะสะสมความมั่งคั่งของเขากว่าร้อยละ 95 ใน bitcoin โดยมีหลายคนมักจะชอบถามเขาว่า เขานั้นบ้าไปแล้วที่ลงทุนใน bitcoin เกือบทั้งหมด มันเสี่ยงจะตายไป Pomp เขาจึงถามกลับว่า ผมก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่าทำไมพวกคุณถึงกล้าถือเงินดอลล่าร์ กล้าถือ Asset ที่วัดค่าด้วยเงินดอลล่าร์กว่าร้อยละ 95 ใน portfolio ของพวกคุณกันล่ะ ผมว่ามันเสี่ยงยิ่งกว่าเสี่ยงซะอีก และนั่นก็คือมุมมองต่างมุมของนักลงทุนแต่ละสาย โดย Anthony Pompliano ก็ได้ส่งท้ายเอาไว้ว่า ไม่ว่าคุณจะเลือกลงทุนในสิ่งใดก็ตาม ขอให้คุณศึกษาในสิ่งนั้นให้รู้อย่างลึกซึ้ง และโฟกัสในสิ่งที่คุณเชี่ยวชาญอย่างมีความสุข
Resources