Blue O'Clock

สตูดิโอผลิตและพัฒนาสื่อการเรียนรู้ด้านการลงทุน ธุรกิจ จิตวิทยาและการพัฒนาตนเอง อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

Quote

100 ข้อคิด จาก MrBeast Jimmy Donaldson | Blue O’Clock Podcast EP. 59

MrBeast หรือ Jimmy Donaldson เจ้าของและผู้ก่อตั้งช่อง Youtube ชื่อ MrBeast ที่ถือได้ว่าเป็นชาวอเมริกันที่มีผู้ติดตามมากที่สุด ณ ขณะนี้ ด้วยจำนวนผู้ติดตามช่องหลักมากกว่า 175 ล้าน subscribers ที่เขามีความมั่งคั่งมากกว่า $100 ล้านดอลล่าร์ฯ หรือกว่า 3,000 ล้านบาท ในวัย 25 ปี และนี่คือ 100 ข้อคิด 100 บทเรียน ที่เราสามารถเรียนรู้ได้จากเขา

  1. Jimmy หรือ MrBeast นั้นเขาบอกว่า เขาตัดสินใจตั้งแต่อายุ 13 แล้วว่า เขาจะเป็น Youtuber ให้ได้ไม่ว่าจะเป็นตายรายได้ยังไงก็ตาม เขาจะพยายามอย่างสุดชีวิตเพื่อเป็น Youtuber ที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลก ต่อให้ ณ ตอนนี้เขาอาจจะมี subscriber หรือผู้ติดตามแค่เพียง 5,000 subs แล้วมีเงินไม่พอเลี้ยงชีพ จนต้องไปทำงานเป็นพนักงานที่ร้านแมคโดนัลด์ แต่เขาก็จะใช้เวลาทั้งหมดหลังเลิกงาน เพื่อไปหมกมุ่นกับการทำ Youtube ให้ดีขึ้นวันแล้ววันเล่าอยู่ดี จนในท้ายที่สุดเขาก็จะลาออกมาเป็น Youtuber อยู่ดี
  2. สาเหตุที่ MrBeast เลือกที่ลงทุนสร้างสตูดิโอขนาดใหญ่ที่ใช้เงินทุนมากกว่า $10 ล้านดอลล่าร์ฯ นั้นเขาบอกว่า พอธุรกิจมันขยายตัว มีทีมงานเยอะขึ้น ทำให้ต้องเช่าออฟฟิศ เช่าสตูดิโอ หลายแห่งกระจายตัวกันอยู่ ดังนั้น เขาจึงต้องการสร้างทั้งหมดให้มารวมตัวในที่ ๆ เดียวกัน เพื่อความสะดวกต่อการทำงาน โดยที่เขายังคงอาศัยอยู่ที่เมืองเล็ก ๆ ที่เขาได้เติบโตมา โดยที่ไม่ได้เลือกที่จะไปเปิดออฟฟิศในย่านที่เจริญมาก ๆ แล้ว นั่นก็เป็นเพราะว่า ที่เมืองเล็ก ๆ นั้น มีค่าสร้างออฟฟิศใหม่ถูกกว่าหลายสิบเท่าตัว ภาษีก็ยังถูกกว่ารัฐในย่านเจริญแล้ว แถมการที่จะย้ายพนักงานที่มีอยู่ ณ ปัจจุบัน ทั้งหมด พากันย้ายข้ามเมืองก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะถ้าไปหาห้องเช่าแถบในเมืองก็มีค่าเช่าที่พักแพงกว่าถึงสามเท่าตัว นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่า ตั้งออฟฟิศอยู่บ้านนอกอยู่ดีอยู่แล้ว เพราะสมัยนี้หมดปัญหาเรื่องการเข้าถึงอินเตอร์เน็ต ส่วนการประชุมก็สามารถใช้โปรแกรมอย่าง Zoom ได้
  3. การอยู่ที่บ้านนอกของ MrBeast นั้น ไม่ได้ทำให้เรื่องของการลดโอกาสที่จะเจอกับผู้คนใหม่ ๆ ที่ดัง ๆ ที่พวกเขามักจะอยู่ในตัวเมืองที่เจริญแล้ว นั่นก็เป็นเพราะว่า ตอนนี้มีแต่คนที่อยากจะมาหาตัวของเขาเอง เดินทางกันมาเอง โดยที่ตัวของเขานั้น ไม่ต้องออกไปหาใครเลยก็ยังได้ แต่ถ้าเขาอยากไปหาเพื่อน ๆ ในเมืองใหญ่ เขาก็จะขึ้นเครื่องบินไป
  4. MrBeast บอกว่า แนวคิดในการทำ content หรือเนื้อหาลงในวีดีโอของเขานั้น เขาใช้หลักคิดแบบ Reinvest คือการเก็บเงิน ออมเงิน แล้วนำเงินที่ได้จากการทำวีดีโอในคราวก่อน นำไปลงทุนเพื่อจัดทำวีดีโอในเดือนต่อ ๆ ไป ให้มันดีขึ้น ใหญ่ขึ้น โดยย้อนกลับไปในวันแรก ๆ ที่เขาเริ่มต้นช่อง Youtube นั้น เขาพยายามเก็บหอมรอมริบเงิน เพื่อซื้ออุปกรณ์ในการถ่ายทำวีดีโอให้มันดียิ่งขึ้น เช่น ซื้อไมโครโฟนใหม่เพื่อเพิ่มคุณภาพเสียง ซื้อกล้องถ่ายวีดีโอใหม่ ซึ่งจากเดิมเขาใช้แค่เพียงกล้องจากมือถือเก่า ๆ ซื้อคอมพิวเตอร์ ซื้อจอมอนิเตอร์ต่าง ๆ เพื่อมาตัดต่อ แล้วจากนั้น เขาเริ่มนำเงินที่ได้ มาให้ทิปพนักงานพิซซ่า $100 ต่อมาแจกเงินคนไร้บ้าน $10,000 แจกรถยนต์ แจกบ้าน แจกเงินล้าน ซึ่งเงินทั้งหมดที่เขานำมาแจกนั้น ก็เป็นเงินเขาได้มากจากการวีดีโอในเดือนก่อนหน้านี้ แล้วก็นำเอาไปลงทุนกับวีดีโอในเดือน ๆ ถัด ๆ ไปเรื่อยมา ทุกเม็ดทุกหน่วย จนกระทั่ง สามารถสร้าง studio ขนาด $10M ได้อย่างที่เห็น
  5. อาจจะมีคำถามจากทางบ้านถามว่า แล้ว MrBeast ได้ช่วงแรก ๆ ที่ยังไม่ค่อยดังนั้น เขาเอาเงินจากไหนมาแจกผู้คน โดย MrBeast ก็ได้ยกตัวอย่างจากวีดีโอเมื่อประมาณ 9 ปีที่แล้ว จากการทำวีดีโอแจกเงิน $10,000 แก่คนไร้บ้าน ซึ่งเขาได้เงินก้อนดังกล่าวมาจากสปอนเซอร์ ซึ่งในตอนแรกสุดทางสปอนเซอร์ได้จ้างเขาทำวีดีโอด้วยเงิน $5,000 ดอลล่าร์ฯ แต่ทาง MrBeast ก็พยายามโทรไปเพื่อโน้มน้าวว่าถ้าคุณเพิ่มเงินเป็น $10,000 เขาจะทำให้วีดีโอเป็นเป็นไวรัลแพร่ดังไปทั่วอินเตอร์เน็ตให้ได้เลย ซึ่งมันก็เป็นไวรัลจริง ๆ ที่ ณ ปัจจุบันมียอดวิวมากกว่า 10 ล้านวิว โดย MrBeast คิดแค่เพียงว่า เขารู้สึกสนุก และอยากจะเห็น reaction หรือปฏิกิริยาแบบว้าว ที่คนไร้บ้านเห็นจำนวนเงินภายในกระเป๋าแล้วต้องร้อง OMG ออกมา เขาต้องการเห็นหน้าตาท่าทาง ก็แค่นั้น
  6. MrBeast เล่าว่า เมื่อตอนที่เขาอายุช่วง 13-19 ปี นั้น เขาสนใจแต่เรื่องของ Youtube แต่ในขณะที่คนอื่น ๆ รอบ ๆ ตัวเขานั้น ไม่ได้สนใจ ไม่ได้แคร์อะไรเลยเกี่ยวกับ Youtube เพราะเมื่อ 10 ปีที่แล้ว เด็กรุ่นเดียวกับเขานั้น ก็มักจะพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องของการ์ตูนซะมากกว่า ซึ่งมันทำให้ตัวของเขานั้น ดูเหมือนเป็นคนไม่ค่อยพูด เพราะเรื่องที่เขาสนใจนั้น คนอื่นไม่ได้สนใจ แต่พออายุได้ประมาณ 18-19 ปี ที่เขาเริ่มมีผู้ติดตามอยู่ราว ๆ 10,000 subscribers นั้น เขาก็เริ่มได้พูดคุยเกี่ยวกับ Youtuber หลายคนบนโลกออนไลน์มากยิ่งขึ้น ซึ่งมันทำให้เขาเลิกหายคิดไปเองว่า เขาเป็นตัวประหลาดคนเดียวที่สนใจแต่ในเรื่องของ Youtube แต่ปรากฏว่ามีอีกหลายคนมาก ๆ ที่สนใจแบบเดียวกันกับเขา
  7. เมื่อตัวของ MrBeast เขารู้แล้วว่า เขาไม่ได้เป็นคนเดียวในโลก(อย่างน้อยก็คนแถวหมู่บ้าน) ที่สนใจ หมกมุ่น แต่เกี่ยวกับเรื่องของ Youtube จากเดิมที่เขาเป็นเหมือนเด็กที่เก็บตัว อยู่แต่กับตัวเอง เขาก็เริ่มพูดคุยกับ Youtube คนอื่น ๆ มากขึ้น เฉลี่ยวันละ 10 ชั่วโมงต่อวัน และจุด ๆ นั้น คือจุดที่ช่องของเขาเริ่มเติบโตขึ้นแบบก้าวกระโดด จากการที่ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการทำ Youtube ซึ่งกันและกันของคนในชุมชนนี้
  8. เมื่อช่วงตอนที่เขาเริ่มต้นทำ Youtube ใหม่ ๆ นั้น เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่า Yotube มันสามารถทำเงินได้จากการทำวีดีโอแล้วได้ค่าโฆษณา จนกระทั่งเขาก็ได้พบกับข่าวจากคนทำวีดีโอคนหนึ่งบนโลกออนไลน์ ที่สามารถทำเงินได้ถึง $300 จากเพียงแค่ทำ 2 วีดีโอเท่านั้น ซึ่งจำนวนเงินดังกล่าว มันมากกว่าที่แม่ของเขาหาได้ซะอีก
  9. MrBeast แนะนำว่า สำหรับช่อง Youtube ช่องเล็ก ๆ ที่ยังมีจำนวนคอมเม้นท์ไม่มากนัก คุณควรใช้เวลาอย่างน้อยวันละ 1 ชั่วโมง เพื่อไล่ตอบคอมเม้นท์ทุกคอมเม้นท์ในแต่ละวันให้หมด เพราะเท่าที่ตัวเขาสังเกตในช่วงแรกที่เขาทำช่องนั้น คนที่ได้รับการตอบกลับคอมเม้นท์ พวกเขามักจะกลับมาที่ช่องของเราอยู่เสมอ
  10. MrBeast บอกว่า ให้คุณลองนึกภาพตามในโลกที่ว่า ถ้าหากคุณนั่งทำ Youtube อยู่คนเดียว วันละ 12 ชั่วโมง นั่งทำ นั่งเรียนรู้ เจอข้อผิดพลาด ปรับปรุงแก้ไข แล้วเก่งขึ้น โดยใช้เวลาหนึ่งปี เมื่อนำไปเทียบกับอีกโลกหนึ่งที่คุณนั่งทำ Youtube กับกลุ่มเพื่อน ๆ อีก 4 คน ที่ทำในสิ่งที่พวกเขาทำแบบกับคุณเลย แต่สิ่งที่แตกต่างก็คือ สมมติว่าถ้าหากเพื่อนคนแรก เขาทำผิดพลาดบางอย่างในสัปดาห์นี้ แล้วเรียนรู้เรื่องเหล่านั้น เขาก็จะนำไปสอนกับเพื่อน ๆ อีก 4 ในกลุ่มที่เหลือ เพื่อเรียนรู้ แล้วพอสัปดาห์ต่อมา เพื่อนคนที่สองเขาก็เจอข้อผิดพลาด แล้วเรียนรู้สิ่งนั้น เขาก็นำไปสอนกับเพื่อน ๆ ที่เหลืออีกสี่คน เป็นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ซึ่ง MrBeast บอกว่า การหมกมุ่นอยู่กับคนที่มี Passion เหมือน ๆ กัน และเรียนรู้ซึ่งกันและกันนั้น จะทำให้มีความก้าวหน้ามากกว่าการลุยเดี่ยวอย่างน้อย 2 เท่า หรือนำหน้าจากกรณีแรกถึง 2 ปีเลยทีเดียว เพราะมันเป็นการเรียนรู้ตลอด 24 ชั่วโมงต่อวัน 7 วันต่อสัปดาห์
  11. MrBeast บอกว่า ในช่วงแรกที่เขามี sucscriber เพียง 10,000 sub นั้น เขาได้ตกลงกับเพื่อน ๆ ที่มารวมตัวกันเพื่อทำ Youtube นั้น พวกเขามีข้อตกลงกันว่า จะโฟกัสที่การทำ Youtube เพียงอย่างเดียวเท่านั้น พวกเขาจะไม่ดื่ม ไม่เสพย์ ไม่เที่ยว จะมีแค่ตื่นขึ้นมาแล้วก็ทำ Youtube ทำเสร็จก็เข้านอน จะมีกิจวัตรประจำวันเพียงแค่นี้ ซึ่งเขาบอกว่า เขาแทบจะไม่ต้องออกจากบ้านเลยซะด้วยซ้ำ แม้กระทั่งอาหารก็สั่งมากินที่บ้าน ดังนั้น พวกเขาจึงมีเวลาโฟกัสกับการเรียนรู้เพื่อทำ Youtube ให้ดียิ่งขึ้นในทุก ๆ วันอย่างเต็มที่
  12. MrBeast บอกว่า เขาทำงานทุกอย่างแบบฉายเดี่ยวมาหลายปี จนกระทั่งเขาพอจะมีเงินจ้างทีมงานมาช่วย ซึ่งตำแหน่งแรก ๆ ที่เขาจ้างเข้ามาก็คือ ตำแหน่งตัดต่อ โดยเขาจะเตรียมไฟล์ทุกอย่างเอาไว้ให้ในคอมพิวเตอร์ของเขา แล้วจากนั้นก็ให้คนตัดต่อมานั่งทำงานที่คอมพิวเตอร์ในห้องของเขา ที่ตอนนั้นยังไม่ออฟฟิศเลยซะด้วยซ้ำ ซึ่งสาเหตุที่ MrBeast เขาไม่อยากตัดต่อเองอีกต่อไปนั่นก็เป็นเพราะ เขาไม่อยากนั่งหน้าจอหลายชั่วโมงเพื่อทำการตัดต่อวีดีโอที่เขาถ่ายทำเสร็จแล้ว เพราะเขาอยากจะไปสร้างวีดีโอใหม่ ๆ มากกว่า ดังนั้นเขาจึงทำหน้าที่เป็นเหมือน บก. ที่คอยกำกับทีมงานตัดต่ออีกทีหนึ่ง ซึ่งเขาจะมักจะเรียนรู้ด้วยการถามคนตัดต่ออยู่เสมอว่า ทำไมถึงตัดต่อแบบนั้นแบบนี้ เพื่อศึกษาแนวคิดและวิธีการทำงาน ให้มันดียิ่งขึ้น
  13. MrBeast บอกว่า เขาจะจ้างคนมาช่วยงาน ในสิ่งที่เขาไม่ต้องการทำ เพื่อที่จะได้มีเวลาไปโฟกัสทำวีดีโอใหม่ ๆ ยกตัวอย่างเช่น มีอยู่วีดีโอหนึ่งที่เขาอยากจะทำวีดีโอเกี่ยวกับการทำให้จานแตกจำนวน 4,000 ใบ เขาก็ไปจ้างคนมาจัดวางฉาก เรียงจาน เพราะสิ่งที่เขาอยากเห็นจริง ๆ คือภาพวีดีโอตอนที่ทำจานแตก ไม่ใช่อยากมานั่งเรียงจานจำนวนหลายพันใบ
  14. หากคุณต้องการเป็นสุดยอด Youtuber ในวงการแล้วล่ะก็ สิ่งที่คุณจะต้องทำก็คือ การโฟกัสในสิ่งที่สำคัญที่สุดเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ส่วนงานอื่น ๆ ให้ทำการจ้างคนเข้ามาช่วยงานนั้น ๆ เพราะพวกเขาจะทำให้คุณมีเวลาไปโฟกัสกับงานที่สำคัญที่สุดได้มากยิ่งขึ้น และมันจะทำให้คุณยังคงมีแรงเหลือเพื่อไปทำงานสิ่งเหล่านั้น โดยไม่หมดแรงไปกับงานอื่น ๆ ที่ไม่สำคัญ หรืองานอื่น ๆ ที่มีคนสามารถทำแทนคุณได้ ในค่าแรงที่น้อยกว่าที่ตัวคุณสามารถทำได้
  15. MrBeast บอกว่า ตอนที่เขาเริ่มออกมาถ่ายทำวีดีโอนอกห้องส่วนตัวของเขาแล้วนั้น เขาก็เริ่มขยับขยายสตูดิโอที่ใหญ่ขึ้น เพื่อทำวีดีโอที่เล่นใหญ่ขึ้น ซึ่งโดยปกติแล้วนั้น ในแต่ละวีดีโอที่เขาผลิตขึ้นมา จะใช้เวลาในการทำเป็นเดือน ซึ่งแน่นอนว่า เขาไม่ต้องการที่จะอัพโหลดวีดีโอปีละ 2-3 วีดีโอ ดังนั้น เขาจึงจำเป็นที่จะต้องถ่ายทำวีดีโอในคราวเดียวกัน 5 วีดีโอ เพื่อประหยัดเวลา และให้ได้จำนวนวีดีโอมากพอที่จะอัพโหลด ซึ่งถ้าถามว่า เขาทำ Youtube Success ได้ยังไง เขาก็ตอบได้ว่า มันคือการสั่งสม สะสม การทำวีดีโอมาอย่างต่อเนื่องและอย่างยาวนาน มันเหมือนกับ snowball effect ที่ค่อย ๆ ไต่ลงจากเขาลูกเล็ก ๆ พอมันกลิ้งมาถึงข้างล่าง มันก็กลายเป็นก้อนหิมะขนาดมหึมาแล้ว อะไรทำนองนั้น
  16. MrBeast บอกว่า เวลาที่เขาสร้างวีดีโอขึ้นมานั้น เขาไม่สนใจในเรื่องของตัวเงิน เขาไม่สนใจว่าจะต้องใช้เวลาเท่าไหร่ แต่สิ่งเดียวที่เขาสนใจก็คือ การสร้างวีดีโอที่ดีที่สุดในโลกนี้ขึ้นมา
  17. MrBeast เขาเชื่อว่า หากใครก็ตามที่ต้องการเป็น Youtuber ที่ประสบความสำเร็จ มันไม่ใช่แค่คุณทำวีดีโอเพียงแค่ 6 เดือน หรือ 1 ปี แต่มันคือกรอบเวลาในช่วง 10 ปี ที่คุณลงมือทำ เรียนรู้ข้อผิดพลาด ปรับปรุง แก้ไข ทำงานกับคนที่เก่ง คนฉลาด ทำงานอย่างหนักแบบต้องร้องขอชีวิต สร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ มีการ Reinvest ลงทุนกลับไปในการสร้างวีดีโอต่อ ๆ ไปให้มันดียิ่งขึ้น ซึ่งการทำแบบนี้ต่อเนื่องยาวนาน 10 ปี มันก็มีโอกาสที่คุณจะประสบความสำเร็จในเส้นทางนี้ได้
  18. Thumbnail หรือหน้าปกคลิปของวีดีโอนั้น สำคัญมาก เพราะมันจะเป็นตัวตัดสินในด่านแรกสุดว่า คนดูจะคลิกเข้ามารับชมวีดีโอหรือไม่ โดยทาง MrBeast บอกว่า ให้ลองดูปกคลิปในมือถือ แล้วลองยื่นให้กับคุณแม่ของเขาดูว่า สามารถเข้าใจและมองเห็นได้ชัดเจน มองเห็นได้เคลียร์หรือไม่ หรือแถบ เล่นวีดีโอมันบังข้อความอยู่ หรือตัวหนังสือมันเล็กเกินไป ซึ่งทั้งหมดที่ว่ามานั้น มีผลต่อการคลิกเป็นอย่างมาก
  19. แต่สิ่งที่สำคัญที่จะส่งผลให้คนคลิกเข้ามาคลิปเยอะก็คือ การสะสมสั่งสมคลิปคุณภาพสูงมาอย่างยาวนานและต่อเนื่อง จนกระทั่งผู้คนจะคลิกเข้ามาดูทันที ที่เห็นหน้าปกคลิป MrBeast อัพโหลดใหม่ข้ึนมาบนหน้าจอของพวกเขา แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณไม่สามารถรักษาความยอดเยี่ยมและคุณภาพของเนื้อหาในวีดีโอได้ ผู้คนก็จะเริ่มผิดหวัง และไม่อยากเข้ามาดูแล้ว
  20. 10 วินาทีแรกสุดของต้นวีดีโอนั้น สำคัญมาก คุณจะต้องทำให้คนดูที่อุตส่าห์คลิกเข้ามาแล้วนั้น ทำให้พวกเขาอยากดูเนื้อหาภายในวีดีโอต่อจนจบคลิป โดยไม่กดออกจากหน้ารับชมวีดีโอไปเสียก่อน ซึ่งแน่นอนว่า เนื้อหาภายในคลิปมันต้องดีด้วย
  21. สาเหตุที่ MrBeast เขาไม่เลือกที่จะสร้างสตูดิโอหรือทำวีดีโอเพื่อไปลงทางช่องทีวีแบบ Traditional แบบดั้งเดิมนั้น ก็เป็นเพราะว่า คงไม่มีทีวีช่องไหนที่อยากจะให้เขาเข้าไปพูดกับเจ้าของช่องทีวีว่า เฮ้! ผมอยากทำคลิปสนุก ๆ ที่ใช้เงินแต่ละวีดีโอประมาณ $1,000,000 ดอลล่าร์ฯ เพื่อทำวีดีโอไวรัล หรอก เพราะสิ่งเดียวที่ MrBeast สนก็คือ เขาทำคลิปวีดีโอเพื่อความสนุกล้วน ๆ
  22. MrBeast บอกว่า ไม่มีวีดีโอใดที่มัน perfect ไปซะทุกอย่าง ไม่ว่าคุณจะอัพโหลดวีดีโอไปเป็นร้อยเป็นพันคลิป ก็จะยังมีคนเข้ามาวิพากย์วิจารณ์อยู่เสมอ แต่จงใช้ประโยชน์จากตรงนั้น เพื่อนำไปปรับปรุงวีดีโอต่อ ๆ ไปให้มันดียิ่งขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งมันจะเป็นเหมือนกับการสะสม compound effect ที่มันจะทบดอกทบต้นไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งวีดีโอที่ 100 หรือวีดีโอที่ 1,000 ของคุณ มันจะดีขึ้นอย่างผิดหูผิดตาไปเลยเมื่อเทียบกับวีดีโอในช่วงแรก ๆ ที่คุณเคยทำมา
  23. สาเหตุที่การจ้างใครสักคนมาช่วยงาน ที่พวกเขาสามารถทำได้ดีกว่าตัวเรานั้นก็เป็นเพราะ ถ้าเราทำเองคนเดียวทุกอย่าง เราอาจจะใช้เวลากับการตัดต่อคลิปแค่เพียง 30% แต่ในขณะคนที่เป็นมือตัดต่อที่เขาหมกมุ่นอยู่กับการตัดคลิปอย่างเดียวแบบ 100% นั่นหมายถึงว่า พวกเขา ใช้เวลาอุทิศกับเรื่องตัดต่อมากกว่าตัวคุณถึง 3 เท่าตัว ดังนั้น พวกเขาก็จะมีประสบการณ์ชั่วโมงบินที่เยอะกว่า ลูกเล่นเยอะกว่า รู้จังหวะจะโคนในการตัดต่อได้ดีกว่านั่นเอง
  24. เนื่องจากวีดีโอบนช่อง MrBeast นั้น มักจะใช้เวลาในการถ่ายทำที่ยาวนาน หลายคลิปที่คุณเห็น เพียงไม่กี่นาทีนั้น แต่พวกเขาใช้เวลาเตรียมงานก่อนถ่ายทำอย่างน้อย 3-4 เดือน แล้วใช้เวลาอีกนับร้อยวัน ในการทดสอบ ถ่ายทำ ตัดต่อ จนเสร็จ เพราะเขาอยากให้วีดีโอออกมาดีที่สุด
  25. การตัดต่อวีดีโอให้น่าสนใจเป็นสิ่งที่สำคัญมาก คุณจะต้องเรียกความสนใจจากคนดูได้อยู่ตลอด อย่าทำให้พวกเขาเบื่อในระหว่างรับชม ซึ่งสถิติจากช่อง MrBeast นั้น เขาสามารถทำค่า retension rate ได้สูงถึง 70% นั่นหมายความว่า วีดีโอของเขานั้น สามารถดึงดูดให้ผู้ชมรับชมจนจบวีดีโอได้สูงถึงร้อยละ 70 เลยทีเดียว ซึ่งช่องอื่น ๆ โดยทั่วไปนั้น ได้แค่เพียง 30% ก็นับว่าเก่งแล้ว
  26. MrBeast บอกว่า แนวทางคอนเท้นต์บนโลกออนไลน์นั้น มีผู้ชมแทบทุกเรื่องที่คุณคิดจะทำมันขึ้นมา บางทีมันอาจจะเป็นแค่การวาดรูประบายสีลูกโบว์ลิ่ง ที่บวกเข้ากับการที่ตัวคุณมีบุคคลิกภาพที่ดี ที่น่าดึงดูด คุณมีความหลงใหลกับสิ่งนั้น และคุณสามารถนำเสนอมันออกมาเพื่อสร้างความเอนเตอร์เทนต่อผู้อื่นได้ มันก็จะมีคนเข้ามาดูคลิปของคุณ
  27. MeBeast บอกว่า จุดประสงค์ของการทำช่องรองนั้นก็คือ มาจากการที่ช่องหลัก ต้องการที่จะใช้เงินมากขึ้นเพื่อไปทำคอนเท้นต์ที่มันใหญ่ขึ้น ยกตัวอย่างเช่น ตอนที่เขาเปิดช่องเกมใหม่ขึ้นมา ซึ่งมันใช้เงินทุนน้อยกว่าช่องหลัก แต่ก็สามารถทำรายได้ได้ดีในระดับหนึ่ง จากนั้นเขาก็นำเงินที่ได้จากช่องเกม ไปใช้เพื่อทำวีดีโอใหม่ในช่องหลักให้ได้ดียิ่งขึ้น
  28. เส้นทางการทำ Youtube ของ MrBeast นั้น เขาบอกว่า ในตอนแรกผู้คนจะมองคุณว่าเป็นคนบ้า ๆ บอ ๆ คนหนึ่ง ที่ถ่ายคลิปไร้สาระไปวัน ๆ จนกว่าคุณจะประสบความสำเร็จ แล้วจากนั้นผู้คนก็จะมองคุณว่าคุณเป็นคนเก่ง เป็นคนฉลาด พูดอะไรก็ดูสมาร์ทไปซะหมด
  29. MrBeast บอกว่า เมื่อตอนที่เขาตัดสินใจที่จะทำ Youtube อย่างจริงจังแล้วนั้น ทุกลมหายใจของเขาคือเรื่องของ Youtube เท่านั้น แม้กระทั่งตอนเรียนวิชาคณิตศาสตร์ก็ดี เรียนภาษาอังกฤษก็ดี ไม่ว่าจะเรียนคลาสไหน ๆ เขาก็คิดถึงแต่เรื่องของ Youtube แทบทุกลมหายใจ อยู่ตลอดเวลา ต่อเนื่องยาวนานนับสิบปี
  30. MrBeast เล่าว่า เขามักจะดูวีดีโออื่น ๆ หลากหลายประเภทอย่างมากมาย เพื่อหาแรงบันดาลใจในการนำไปทำคลิปต่อ ๆ ไป หรืออย่างบางที เขาก็เริ่มต้นจากการหาไอเดียด้วยการเปิดหนังสือดิกชันนารี แล้วจิ้มเลือกสักคำขึ้นมา เพื่อเป็นจุดตั้งต้นในการเริ่มต้นทำคลิปเกี่ยวกับคำ ๆ นั้นขึ้นมา
  31. สื่อที่ทาง MrBeast ชอบเสพย์มากที่สุดก็คือ Anime เพราะเขารู้สึกว่ามันมีความคิดสร้างสรรค์และมีความแตกต่างที่สูงมากในแต่ละเรื่อง Anime จึงเป็นแรงบันดาลใจในการทำงานของเขาเป็นอย่างดี และสื่อรองลงมาที่เขาจะเสพย์ก็คือ วีดีโอที่มีเนื้อหาในเชิง Education ดูเพื่อเรียนรู้ เพื่อศึกษา ที่สามารถเปลี่ยนแปลงวิธีคิด เพื่อนำไปสู่การตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ ให้มันดียิ่งขึ้นสำหรับช่วงชีวิตที่เหลืออยู่ของเขา
  32. MrBeast บอกว่า ถ้าคุณไม่เคยดู anime เรื่องนารูโตะ นินจาจอมคาถามาเลยนั้น เราไม่ใช่เพื่อนกัน
  33. คลิปแรกที่เปลี่ยนชีวิตของช่อง MrBeast ก็คือ ตอนที่เขาทำวีดีโอถ่ายตัวเองนับเลข 1 ถึง 100,000 แล้วตั้งกล้องถ่ายยาวกว่า 40 ชั่วโมง โดยที่มาของการเริ่มต้นถ่ายทำคลิปวีดีโอนี้ เขาบอกว่า เขาต้องการที่จะดูซีรี่ย์ Naruto ที่มี 700 กว่าตอน ที่ต้องใช้เวลาดูราว ๆ 60 ชั่วโมง แบบรวดเดียวจนจบ เขาก็เลยคิดว่า ถ้าในระหว่างที่ดู Naruto ไปด้วย แล้วทำเงินได้ด้วยก็น่าจะดี เขาเลยเริ่มต้นฝึกนับเลขไปพร้อมกับดู Anime ไปด้วย มันก็ดูรู้เรื่องดี แล้วจากนั้น คลิปนับเลขนี้ มันก็กลายเป็นไวรัล ในทำนองที่คนเข้ามาดูไอ้บ๊องที่ไหนคนหนึ่งนั่งนับเลขที่ใช้เวลาหลายสิบชั่วโมง ที่ทำอะไรบ้า ๆ บอ ๆ บน Youtube
  34. มีคนถามว่า MrBeast จะไปชกมวยกับเขาบ้างไหม หลังจากที่มีเน็ตไอดอลชื่อดังจัดงานชกมวยกัน ซึ่งทาง MrBeast ก็ตอบว่า ถ้าหากต้องใช้เวลาในการฝึกซ้อมเพื่อขึ้นชกมวยเป็นเวลายาวนานถึง 6 เดือน ที่จะตั้งฝึกซ้อมวันละ 2-3 ครั้งในแต่ละวัน แล้วล่ะก็ เขาไม่เคยคิดที่จะทำแบบนั้นเลย เพราะเขามีพนักงานจำนวนมาก ที่ยังคงต้องพึ่งพาตัวของเขาอยู่ ถ้าเขาใช้เวลาถึงครึ่งปี เพื่อไปฝึกซ้อมมวยอย่างเดียวแล้วล่ะก็ จะต้องมีคนตกงานหลายคนเลยทีเดียว ซึ่งตัวของเขาไม่ได้ต้องการให้เกิดเหตุการณ์เหล่านั้น
  35. หลักในการสร้างทีมงานของ MrBeast นั้น เขาเล่าว่า เขาเคยจ้างคนที่เคยทำงานให้กับ Disney มาช่วยทำ Youtube ผลปรากฏว่า เขาติดกรอบทำคอนเท้นต์แบบสื่อดั้งเดิมที่ไม่เหมาะกับโลกออนไลน์มา มันเลยไม่เวิร์ค หรือเคยลองสร้างทีมที่มีประสบการณ์จากการทำสื่อจากช่องทางต่าง ๆ มารวมทีมกันราว ๆ 4-5 คน ก็ไม่เวิร์คอีก เพราะพวกเขาไม่เคยทำ Youtube มาก่อน เขาจึงเลือกที่จะปั้นทีมงานขึ้นมาใหม่จากศูนย์ ที่เรียนรู้จากตัวเขา เรียนรู้จากการลงมือทำ เพราะพวกเขาพร้อมที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ และไม่ติดกรอบการทำสื่อแบบเดิม ๆ ที่เคยมีมา
  36. การโฟกัสในสิ่งเดียวเป็นสิ่งที่ Youtuber หรือ Creator ทุกคนควรทำ โดย MrBeast บอกว่า Creator หรือผู้สร้างเนื้อหามักหลุดโฟกัสจากงานหลักอย่างการสร้าง Content แล้วไปทำหลายอย่างในเวลาเดียวกันมากเกินไป เช่น บางคนก็ออกไปทำธุรกิจส่วนตัว รีบไปเปิดช่องใหม่ จนทำให้เนื้อหาวีดีโอบนช่องหลักจางหายไป และตายในที่สุด ซึ่ง MrBeast เขาแนะนำว่า ถ้าให้ดีควรโฟกัสที่การสร้างวีดีโอลงบน Youtube ให้ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
  37. MrBeast บอกว่า เขายินดีที่จ่ายค่าจ้างแบบซีเรียส เพื่อให้ทำลิสต์รายชื่อของเหล่าบรรดา Youtuber หน้าใหม่ไฟแรงขึ้นมา เพื่อที่เขาจะได้โทรไปพูดคุยทุกสัปดาห์เพื่อเรียนรู้จากเหล่าบรรดาพวก Youtuber ที่เก่ง ๆ เพราะ ณ ตอนนี้เขาแทบไม่มีเวลาเจอ Youtuber หน้าใหม่ ๆ เลย
  38. MrBeast บอกว่า ถ้า ณ ตอนนี้ เขาเป็นแค่เด็กฝึกงาน ที่อยากจะเป็น Youtuber ที่ยอดเยี่ยมนั้น สิ่งที่เขาจะทำก็คือ เขาจะขอให้ฝึกงาน เรียนรู้งานจาก Youtuber ที่เก่ง ๆ โดยที่ขอพวกเขาเข้าไปช่วยงานเลย โดยไม่สนใจว่าจะได้ค่าจ้างหรือไม่ เพราะหากคุณเรียนรู้ได้ในระดับหนึ่งแล้ว คุณก็สามารถออกไปเปิดช่อง Youtube ทำเองได้เลย ซึ่งมันเป็นอะไรที่คุ้มค่ามาก ๆ แม้ว่าในระหว่างฝึกงานคุณจะไม่ค่าจ้างเลยก็ตามที
  39. มีหลายคนชอบถาม MrBeast ว่า จะทำยังไงเพื่อให้ช่อง Youtube มีผู้ติดตามถึง 1 ล้าน subscribers หรือจะทำยังไงให้วีดีโอมียอดวิวทะลุล้านวิว บ้าง ซึ่งทาง MrBeast บอกว่า พวกคุณกำลังตั้งคำถามผิด เพราะคำถามที่ถูกต้องที่สุดก็คือ คุณจะทำอย่างไรเพื่อให้ได้วีดีโอที่ออกมาดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ดังนั้น คุณจงสร้างวีดีโอให้ดีขึ้นในทุก ๆ วัน เป็นเวลาต่อเนื่องหลายปี นั่นแหละ คือสิ่งที่คุณจะต้องทำ เพื่อให้ได้มาซึ่งยอดวิว
  40. Attention คือ Currency ในยุคดิจิตอลนี้ ความหมายก็คือ ในยุคนี้ ความสนใจบนโลกออนไลน์เปรียบเสมือนสกุลเงินในยุคดิจิตอล โดย MrBeast บอกว่า ถ้าคุณสามารถโพสต์อะไรบางอย่างลงบนโลกอินเตอร์เน็ตที่ทุกคนบนโลกหันมาให้ความสนใจได้ คุณจะกลายเป็นผู้ที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดในโลกนี้
  41. วีดีโอที่ยากที่สุดตั้งแต่ที่ MrBeast เคยทำมา เขาบอกว่า มันคือคลิปที่ทำแคมเปญ ปลูกต้นไม้ 20 ล้านต้น เพื่อฉลองจากการที่เขาจะมีผู้ติดตามครบ 20 ล้าน subscribers ที่ใช้เวลามากกว่าครึ่งปีในการคิด วางแผน เพื่อทำแคมเปญ ที่แม้ว่าตัวของเขาและทีมงาน รวมทั้งเหล่าบรรดาอาสาสมัครจะทำหน้าที่อย่างเต็มที่แล้ว ก็ยังพบว่าพวกเขาปลูกต้นไม้ได้แค่เพียง 1 แสนต้น ซึ่งยังห่างไกลจากเป้าหมายอยู่มาก เขาจึงได้ไปร่วมมือกับองค์กรการกุศลอย่าง Arbor Day Foundation ที่เป็นองค์กรเกี่ยวกับการปลูกต้นไม้ที่ไม่แสวงหาผลกำไรที่ใหญ่ที่สุดในโลกเข้ามาช่วยเหลือ จนกระทั่งได้ข้อสรุปว่า ต้นทุนในการปลูกต้นไม้ 1 ต้นนั้น อยู่ที่ $1 ดังนั้น เขาจึงคิดแคมเปญที่จะให้เหล่าบรรดาชาวเน็ตที่ติดตามเขาอยู่นั้น ช่วยกันบริจาค $1 ต่อต้นไม้ 1 ต้น จนกระทั่งแคมเปญนี้ก็ประสบความสำเร็จ สามารถระดมทุนได้กว่า $20 ล้านดอลล่าร์ฯ จนได้
  42. MrBeast บอกว่า การทำวีดีโอแนว Vlog ที่เป็นการถ่ายทำแนวเล่าชีวิตและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน โดยเอาบุคคลหน้ากล้องเป็นตัวแสดงหลักเพรียว ๆ นั้น ถ้าหากคุณมีบุคคลิกที่โดดเด่น ไม่เหมือนใคร ที่สามารถสร้างความเอนเตอร์เทนให้แก่ผู้คนได้ ก็จะได้รับความสนใจจากผู้คนบนโลกออนไลน์เป็นอย่างมาก แต่นั่นก็มีคนแบบนั้นแค่เพียง Top 1% ของโลกเท่านั้น แต่ข้อเสียก็คือ ถ้าคนที่ไม่ชอบในตัวคุณ พวกเขาก็จะไม่ติดตาม หรืออย่างในช่วงที่ถ่ายทำวีดีโอนั้น คุณที่เป็นตัวหลักหน้ากล้อง มีอารมณ์เศร้าหมอง มันก็ยากที่จะถ่ายวีดีโอออกมาให้ดีได้ แต่ในขณะที่ถ้าหากเราเอา content นำ เอาการเล่า story เล่าเรื่องราวให้มันดูน่าสนใจ มันก็สามารถเข้าถึงผู้คนได้ในวงกว้างมากกว่าการยึดติดกับที่ตัวบุคคลหน้ากล้องเพียงอย่างเดียว
  43. ถ้าคุณมีวีดีโอที่ดีมากพอ ต่อให้คุณมีผู้ติดตามแค่ 100 subscribers คุณก็สามารถมียอดวิวเป็นล้านได้จากเพียงวีดีโอเดียว MrBeast เขาสาบานได้เลยว่ามันสามารถเกิดขึ้นจริงได้ เพราะเขาเห็นมาหลายเคสแล้วบน Youtube
  44. MrBeast บอกว่า เขาค่อนข้างที่จะไม่ค่อยอยากที่จะโปรโมทขายสินค้าหรือข้าวของเครื่องใช้ของแบรนด์ตัวเองสักเท่าไหร่นัก เพราะถ้าคุณใส่การโปรโมทสินค้าเอาไว้ทุกวีดีโอเลย มันจะทำให้ผู้รับชมคลิกออกไป ไม่รับชมคลิปต่อ หรือพอวีดีโอใหม่ ๆ ลงแล้ว ผู้ชมก็ไม่ค่อยอยากคลิกเข้ามา เพราะเดี๋ยวก็โดนขายของอีก แต่บางครั้งเขาก็ต้องโปรโมทสินค้า เพราะบางวีดีโอมีต้นทุนในการผลิตเกินกว่า $1 ล้านดอลล่าร์ฯ เขาก็จำเป็นที่จะต้องขายของตัวเองด้วยเพื่อให้ cover กับค่าใช้จ่าย เพราะแน่นอนว่า รายได้โฆษณาบน Youtube อย่างเดียวมันไม่เพียงพอ
  45. MrBeast เล่าว่า วีดีโอที่เขาถ่ายทำการฝังตัวเองอยู่ใต้ดินเป็นเวลากว่า 50 ชั่วโมง ที่ดูเหมือนจะอันตรายถึงชีวิตนั้น ทางเขาบอกว่า เขาใช้งบประมาณในการทดลองและ research จากผู้เชี่ยวชาญ กว่า $250,000 หรือ 1 ใน 4 ส่วนจากงบ $1 ล้านดอลล่าร์ฯ เพื่อให้มั่นใจว่า โอกาสที่เขาจะเสียชีวิตนั้นจะต้องน้อยกว่า 0% ซึ่งปลอดภัยกว่าการที่เขาขับรถกลับบ้านเองเสียอีก ดังนั้น แต่ละคลิปที่กว่าจะได้ออกมานั้น เขาได้ทำการทดลองและวิจัยมาเป็นอย่างดี แถมก่อนวันถ่ายทำจริง เขายังฝึกนอนในโลง ที่เขาเอามันมาไว้ที่โรงจอดรถที่บ้าน วันละหลายชั่วโมง ซ้อมทุกวันก่อนถึงวันจริง ซึ่งเขาหายใจได้สะดวก แต่สิ่งที่เขาต้องการจะฝึกจริง ๆ ก็คือ เขากลัวเรื่องของ panic กลัวตื่นตระหนก เขาจึงทำให้ร่างกายและจิตใจของเขาให้ชินก่อนถึงวันถ่ายทำจริง
  46. MrBeast เล่าว่า เมื่อตอนที่เขาอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่กำลังจะขึ้นระดับชั้นมหาวิทยาลัย แต่เขาต้องการทำ Youtube ไม่อยากเรียนมหาวิทยาลัยต่อ แม่ของเขาจึงยื่นคำขาดว่า ถ้าลูกจะอยู่บ้านแม่ต่อ ลูกต้องเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย ถ้าไม่งั้นลูกก็ต้องย้ายออกไปอยู่ข้างนอกเอาเอง ซึ่งเอาเข้าจริงเขาอยากทำ Youtube อย่างเดียว แต่ไม่ได้ต้องการเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัย แต่เขาก็ไม่มีเงินมากพอที่จะย้ายออกไปอยู่ข้างนอกเอง ในระหว่างนั้น เขาจึงซุ่มทำวีดีโอลง Youtube อย่างต่อเนื่อง แล้วก็ขึ้นรถไปมหาวิทยาลัย แต่ก็ไม่ได้เข้าเรียนอะไร เพราะเขาใช้เวลาเกือบทั้งหมดไปกับการทำวีดีโอลง Youtube จนกระทั่ง ไม่นานเขาก็สามารถทำรายได้จาก Youtube ได้มากพอที่จะย้ายออกจากบ้าน แล้วลาออกจากมหาวิทยาลัย ไปทำออฟฟิศเพื่อทำ Youtube อย่างจริงจัง
  47. MrBeast เล่าว่า แนวคิดเมื่อตอนที่ทำวีดีโอให้เงินแม่ของเขาเป็นจำนวน $100,000 ดอลล่าร์ฯ หรือประมาณ 3 ล้านกว่าบาท เมื่อตอนที่เขามี subscribers ประมาณ 1 ล้านกว่าผู้ติดตาม นั้น เขาได้รับเงินจากสปอนเซอร์ $100,000 เขาก็คิดว่า เขาจะให้เงินนี้ทั้งหมดแก่แม่ของเขา เป็นการตอบแทนเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่แม่ของเขาเลี้ยงดูมาตลอดกว่า 18 ปี ซึ่งเขาเชื่อว่า การที่แม่คนหนึ่งเลี้ยงลูกกว่าจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ได้นั้นหมดเยอะกว่านี้มาก หมดหลายล้าน ซึ่งเงินก้อนดังกล่าว ก็สามารถช่วยปิดหนี้บ้านแม่ของเขาที่เหลืออยู่ได้เลย
  48. MrBeast บอกว่า สาเหตุที่เขาเลือกที่จะลงทุนสร้างสตูดิโอขนาดใหญ่แห่งใหม่ที่ต้องใช้เงินสร้างกว่า $10 ล้านดอลล่าร์ฯ นั้น เนื่องจากเขาต้องการพื้นที่กว้างมากพอในการถ่ายทำวีดีโอ พร้อม ๆ กัน เพื่อให้มีวีดีโอออกอย่างน้อย เดือนละ 1 คลิป เพราะถ้ามัวรื้อของ จัดของ ย้ายที่ถ่ายใหม่ มันจะกินเวลาเป็นอย่างมาก และหลายคอนเท้นต์ก็ต้องใช้เวลาถ่ายทำหลายวัน ดังนั้น ในระหว่างที่รอถ่ายคอนเท้นต์เดิม ก็ต้องเริ่มถ่ายคอนเท้นต์ใหม่ในทันที ไม่เช่นนั้น เขาจะมีคลิปลงไม่ทันในทุก ๆ เดือนแน่ ๆ
  49. MrBeast บอกว่า หัวใจสำคัญมากกว่าการทำคอนเท้นต์อีกเรื่องหนึ่งก็คือ การอัพโหลดวีดีโออย่างสม่ำเสมอ โดย ณ ตอนนี้ช่องของเขาจะอัพโหลดเฉลี่ยสัปดาห์ละ 1 คลิป แต่ในอนาคตเขาต้องการที่จะอัพโหลดสัปดาห์ละ 2 คลิป ซึ่งแต่ละคลิป ก็ต้องเป็นสุดยอดคอนเท้นต์ ที่ต้องดีกว่าคนอื่น แปลกใหม่ เล่นใหญ่ ที่ไม่เคยมีใครที่ไหนบนโลกนี้ทำมาก่อน แต่หากเป็นช่วงเป็นที่คอนเท้นต์ที่ยากมาก ๆ อย่างเช่น เอาชีวิตรอด 50 ชั่วโมงในแอนตาร์กติกา นั้น อาจจะลงเฉลี่ยได้เดือนละคลิป แต่ต้องเป็นสุดยอดคอนเท้นต์กว่าที่เคยทำมา
  50. การวางแผนการทำงานของ MrBeast นั้นเขาบอกว่า ถ้าเขาตัดสินใจที่จะทำ Content บางอย่างในวันนี้ วีดีโอดังกล่าวมันจะถูกอัพโหลดในอีก 6 เดือนข้างหน้า นับจากนี้ ดังนั้น เขาจึงจำเป็นต้องวางแผนทำหลายวีดีโอ และวางไทม์ไลน์แต่ละวีดีโอมาเป็นอย่างดี เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว เขาจะไม่สามารถอัพโหลดได้ในทุก ๆ เดือน
  51. MrBeast บอกว่า ถ้าคุณสามารถวิเคราะห์ Youtube Analytics ข้อมูลหลังบ้านบนช่อง Youtube ของคุณได้จะมีประโยชน์มาก อย่างเช่น ถ้าสมมติว่าวีดีโอคุณมียอดวิว 10 ล้านวิว นั่นหมายถึงว่า มีคนเห็นหน้าปกคลิปของคุณผ่านตามาแล้วไม่น้อยกว่า 100 ล้านคน หากเปอร์เซ็นต์การคลิกคือ 10% หรือมันมีความหมายอีกนัยหนึ่งว่า คนจำนวนอีกกว่า 90 ล้านคน ไม่ยอมคลิกเข้ามาดูวีดีโอของคุณ ดังนั้น ถ้าหากคุณสามารถปรับปรุงแก้ไขและพัฒนาหน้าปกและชื่อวีดีโอให้มันดียิ่งขึ้น คุณก็อาจจะได้รับยอดวิวเป็น 20 ล้านวิว หรือสองเท่าจากเดิมก็เป็นไปได้
  52. หลายคนมักโฟกัสไปการเอาชนะอัลกอลิทึ่มของ Youtube ว่าจะทำยังไงให้มียอดวิวเยอะ ๆ แต่ทาง MrBeast บอกว่า สิ่งที่เราควรโฟกัสจริง ๆ ก็คือ เราต้องศึกษาว่าจริง ๆ แล้วผู้ชมพวกเขาต้องการดูอะไรมากกว่า แล้วจากนั้นก็เป็นวิธีการที่คุณเล่าเรื่องออกมาในวีดีโอ ถ้าเรื่องราวมันดี ระบบ Youtube มันก็จะส่งเสริมวีดีโอนั้นเอง
  53. แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่า คนดูชอบดูคอนเท้นต์แบบไหน? โดยทาง MrBeast ก็บอกว่า มันคือเรื่องพื้นฐานจิตวิทยาของมนุษย์เลยว่า มนุษย์เราต้องการอะไร พวกเขากำลังสนใจเรื่องอะไรอยู่ วิธีการ การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์นั้นทำอย่างไร
  54. การเล่าเรื่อง หรือการทำ storytelling ที่ดีนั้น MrBeast เขาแนะนำว่าให้คุณลองไปลงเรียนคอร์สเรียนออนไลน์ใน The Art of Storytelling โดย Pixar แบบฟรี ๆ ได้เลย แล้วคุณจะได้เรียนรู้การเล่าเรื่องจากตัวพ่อในวงการทำ Animation อย่างเยอะแยะมากมาย โดยส่วนตัวของ MrBeast นั้น เขาบอกว่าเนื่องจากเขาชอบ Steve Jobs เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เขาจึงชอบการเล่าเรื่องจาก Toy Story มากที่สุด
  55. สิ่งที่ MrBeast เขาได้เรียนรู้จากการทำผลิตภัณฑ์อย่างช็อคโกแล็ตแท่งขึ้นมาเพื่อเข้าขายในห้างชั้นนำทั่วประเทศนั้น เขาบอกว่า การค้าสมัยนี้มันเปลี่ยนไปมาก จากเดิมที่มีแบรนด์เจ้าตลาดคุมตลาดนั้นอยู่ แถมรสชาติก็ยังไม่เท่าไหร่ ไม่มีการพัฒนาสินค้าสักเท่าไหร่นัก เขาเลยมีความคิดว่า ฉันจะทำช็อคโกแล็ตแท่งที่แสนอร่อย อร่อยที่สุดกว่าที่วางขายขึ้นมา ในราคาที่จับต้องได้ แล้วจากนั้นเขาก็เริ่มต้นไปวางสินค้าที่ห้างยักษ์ใหญ่อย่าง Wallmart แล้วเขาก็ต้องตกใจมากกว่าที่คาดเอาไว้ว่า มีคนมาขอถ่ายรูปเขากับผลิตภัณฑ์เป็นจำนวนมาก มีแต่คนชี้มาทางเขาว่า “นั่นมันคนใน Youtube นี่นา” แล้วจากนั้น พวกเขาก็ซื้อช็อคโกแล็ตแท่ง เพียงเพราะพวกเขาชอบเรา ซึ่งยอดขายกับผลตอบรับนั้นมันดีกว่า MrBeast คาดไว้ถึง 5 เท่า เลยทีเดียว นี่แหละคือวิธีการทำธุรกิจในยุคสมัยใหม่
  56. MrBeast เขาคิดว่า ในช่วง 10 ปี ต่อจากนี้ จะมีคนที่มีชื่อเสียง มีอิทธิพล บนโลกออนไลน์ จะลงมาทำผลิตภัณฑ์ที่ดีกว่า ที่มีอยู่ในท้องตลาด และบริษัทดั้งเดิมที่มีสินค้าห่วย ๆ ก็จะออกถีบให้ออกจากตลาดไป
  57. MrBeast บอกว่า ถ้าคนที่มีอิทธิพลบนโลกออนไลน์ที่เขาชอบลงทำผลิตภัณฑ์แข่งขันกับสินค้าที่มีอยู่ในท้องตลาดอยู่แล้ว เขาเลือกที่จะซื้อสินค้านั้นจากคนที่เขาชอบ อย่างเช่น ถ้าจู่ ๆ วันหนึ่ง Youtuber ชื่อดังอย่าง PewDiePie ลงมาทำน้ำดื่มธรรมดา ๆ สักขวดที่มีคุณภาพและราคาเท่ากับสินค้าที่มีอยู่ดั้งเดิม เขาก็เลือกที่จะอุดหนุนยี่ห้อจาก PewDiePie มากกว่า ยี่ห้ออื่นที่มีอยู่นับสิบแบรนด์ ที่เขาแทบจะจำชื่อแต่ละยี่ห้อไม่ได้เลย
  58. Youtuber สมัยก่อนนั้น มันอธิบายยากมากว่า สิ่งที่พวกเขากำลังทำอยู่นั้นมันคืออะไร ซึ่งสมัยก่อนจะต้องหาคำอธิบายเพื่อโต้เถียงกับผู้ใหญ่ที่บ้านเป็นปี ๆ ที่กว่าที่พวกเขาจะเข้าใจว่าอาชีพ Youtuber มันคืออะไร มันสามารถทำเงินได้ ไม่เหมือนสมัยนี้ ที่ไม่ต้องอธิบาย ผู้ปกครองก็เข้าใจในทันทีว่า Youtuber ก็คืออาชีพ ๆ หนึ่ง ที่สามารถสร้างรายได้ ได้
  59. คุณรู้ไหมว่า ภาษาอังกฤษที่หลายประเทศใช้เป็นภาษาหลัก ที่มีคนใช้มากที่สุดในโลกนั้น มีคนใช้เป็นภาษาหลักคิดเป็นแค่เพียง 6% ของทั้งโลกเท่านั้น นั่นหมายถึงว่าคนจำนวนอีกกว่า 90% นั้น พวกเขาไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลัก ทำให้ทาง MrBeast เขาเล็งเห็นว่า การขยายช่องแล้วใช้นักพากษ์ชื่อดังท้องถิ่นภายในแต่ละประเทศเขามาช่วยพากย์เสียงให้นั้น จะทำให้คอนเท้นต์ของเขา สามารถเข้าถึงผู้คนในประเทศนั้น ๆ ได้อย่างรวดเร็ว ยกตัวอย่างเช่น เขาจ้างนักพากย์เสียงที่พากย์เป็น Spiderman ในประเทศหนึ่ง จนทำให้ผู้คนภายในประเทศนั้น คุ้นเสียงพากย์ดังกล่าวอย่างรวดเร็ว ซึ่งจากเดิมที่เขามีวีดีโอต้นฉบับอยู่แล้ว เขาจึงไปเปิดช่องต่างประเทศใหม่ พร้อมกับลงคลิปแบบพากย์เสียงภาษาหลักในแต่ละประเทศ แถมยังใส่รายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างเช่น มุกหรือ meme ที่รู้กันภายในแต่ละประเทศเข้าไปอีกด้วย
  60. MrBeast ได้ยกตัวอย่างจากการทำช่องพากย์ภาษาสเปน เขาพบว่า เมื่อเขาได้เข้าไปคุยกับผู้คนที่ประเทศดังกล่าว แทบไม่มีใครพูดภาษาอังกฤษเลย แถมยังไม่รู้จัก MrBeast ซะด้วยซ้ำ แต่พอหลังจากเขาเปิดช่อง MrBeast ที่พากย์เสียงเป็นภาษาสเปน กลายเป็นว่า แทบทุกคนที่โรงเรียน จะเข้าคลิกเข้ามาดูช่อง MrBeast ที่เป็นภาษาสเปนกันแทบทุกครั้งที่มีการอัพโหลดกันเลยทีเดียว (ซึ่งนั่นคือเรื่องราวที่เขาทำก่อนที่ Youtube จะมีฟังก์ชั่นให้เพิ่มภาษาในแต่ละคลิป ในช่องหลักได้ โดยที่ไม่ต้องไปเปิดช่องใหม่ให้เสียเวลา)
  61. มีคนถามว่า ไอเดียของ MrBeast ในการทำคลิปนั้นมีตันบางไหม? โดยเขาบอกว่า เขาทำการลิสต์ content เอาไว้นับหมื่นไอเดีย โดยมีอยู่แน่ ๆ 500 ไอเดีย ที่หากทำคลิปออกมาแล้วต้องไวรัลแน่ ๆ ซึ่งปัญหาอย่างเดียวของเขาในตอนนี้ก็คือ จะหาเวลาที่ไหนไปถ่ายทำวีดีโอจากไอเดียเหล่านั้นได้หมด
  62. MrBeast พูดเอาไว้เมื่อตอนที่จำนวน subscribers อยู่ที่ราว ๆ 105 ล้าน subs นั้น เขาคาดหวังเอาไว้ว่า แต่ละวีดีโอที่อัพโหลดไปนั้น จะต้องยอดวิวไม่ต่ำกว่า 40-50 ล้านวิว เป็นอย่างน้อย ไม่งั้นเขาจะรู้สึกเศร้าใจอยู่นิดหน่อย ซึ่งนั่นหมายความว่า เขามีมาตรฐานที่สูงมาก และจะพยายามทำผลงานให้ได้ไม่ต่ำกว่านั้น
  63. มีอยู่ 2-3 ปัจจัยที่จะทำให้ช่อง Youtube ประสบความสำเร็จได้ จากการดูสถิติหลังบ้านก็คือ 1) CTR: Click Through Rate คือ อัตราการคลิกเข้ารับชมต่อจำนวนการมองเห็นทั้งหมด เช่น ถ้า CTR = 10% แล้วมียอดวิว 10 ล้านวิว นั่นแสดงว่า มีคนเห็นหน้าปกคลิปเรามากกว่า 100 ล้านครั้ง 2) AVD: Average View Duration คือระยะเวลาในการดูวีดีโอบน Youtube ว่าผู้คนรับชมวีดีโอยาวนานกี่นาที โดย MrBeast เขายกตัวอย่างจาก Content หนึ่งที่เขาทำรายการ Podcast บนช่อง Colin and Samir ที่คลิปทั่วไปบนช่องดังกล่าวจะมียอดวิวแค่หลักแสน แต่พอเป็น Podcast ที่นั่งสัมภาษณ์ตัวเขากลับมียอดวิวมากกว่า 10 ล้านวิว โดยเป็นคลิปสัมภาษณ์ยาวเกือบ ๆ 2 ชั่วโมง ซึ่งมีค่า AVD: Average View Duration สูงถึง 45 นาที นั่นหมายความว่า มีคนดูหรือฟังคลิปยาวนานมาก นั่นจึงทำให้ Youtube ช่วยผลักดันวีดีโอดังกล่าว เพราะสามารถตรึงคนดูได้นานกว่าคลิปอื่น ๆ ในขณะที่หากวีดีโอที่มีความยาว 10 นาที แล้วคนดูเฉลี่ยแค่เพียง 2 นาที มันก็ไม่มีเหตุผลที่ Youtube จะผลักดันคลิปดังกล่าว 3) ต้องสำรวจตรวจสอบเอาเองว่า จู่ ๆ มีสิ่งใดที่ผิดปกติ หรือแปลกประหลาดขึ้นมา เมื่อเทียบกับคลิปอื่น ๆ ที่เคยอัพโหลดมาก่อนหน้านี้ ซึ่งไม่มีแสดงให้เห็นเป็นตัวเลข แต่คุณต้องเป็นคนช่างสังเกตเอา
  64. MrBeast บอกว่า ทั้งหมดทั้งมวลในการทำวีดีโอลงบน Youtube ให้ประสบความสำเร็จก็คือ ทำให้พวกเขาคลิกหน้าปกให้ได้ จากนั้นทำให้พวกเขาดูคลิปให้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และสุดท้ายคือ ทำให้มั่นใจว่าผู้รับชมเหล่านั้นจะมีความสุขจากการดูคลิปของเรา ยิ่งคุณทำสามสิ่งเหล่านี้ได้มากเท่าไหร่ คุณก็ยิ่งดีขึ้นมากเท่านั้น
  65. ความคาดหวังของ MrBeast ที่เขาออกมาแชร์ความรู้แก่เหล่าบรรดา creator เหล่าบรรดา Youtuber ทั้งหลายนั้น เขาหวังเอาไว้ว่า จะนำความรู้ที่ได้จากเขาไปสร้างวีดีโอในรูปแบบของตนเอง แต่กลับกลายเป็นว่ามีคนจำนวนกว่า 90% กลับทำคอนเท้นต์แบบเดียวกันกับเขาเป๊ะ ๆ อย่างกับลอกกันมาซะอย่างงั้น
  66. MrBeast บอกว่า การที่เขาทำคอนเท้นต์แนวแจกเงินแก่คนอื่น ๆ นั้น เขาไม่ได้ต้องการให้ใครมารู้สึกว่าติดหนี้บุญคุณเขาเลย เขาให้เพราะเขารู้สึกดี รู้สึกสนุกไปกับการทำแบบนั้น ก็เท่านั้นเอง
  67. ถ้าถามว่า reaction หรือปฏิกิริยาตอบกลับใดที่ MrBeast เขารู้สึกดีที่สุดตั้งแต่ทำคอนเท้นต์แนวแจกเงินมา โดย MrBeast บอกว่า มันเป็นวีดีโอที่เขาให้ทิปจำนวน $10,000 กับคนส่งพิซซ่าคนหนึ่ง ที่วันต่อมาคนส่งพิซซ่าคนนั้นก็กลับมาที่หน้าประตูของเขา ซึ่งในใจแว๊บแรก MrBeast เขาคิดว่า หมอนี่มาขอเงินเพิ่มอีกแน่ ๆ เลย ไม่อยากเปิดประตูเลยซะจริง แต่สุดท้ายเขาก็เปิดประตู จากนั้นคนส่งพิซซ่าก็เริ่มสะอึกสะอื้นร้องไห้ออกมา พร้อมกับขอบคุณที่ให้ทิปก้อนนั้นมา ซึ่งมันทำให้เขาสามารถใช้เวลาช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์กับลูก ๆ ของเขา ที่ไม่ได้ทำแบบนี้มาแรมเดือน เพราะต้องทำงานตลอด 3 jobs ในแต่ละสัปดาห์ และนั่นคือเหตุการณ์ reaction ที่ดีที่สุดตั้งแต่ที่เขาเคยได้รับมา
  68. เงินสำหรับ MrBeast แล้วนั้น เขามองว่า มันคือสิ่งที่สามารถเอาไปช่วยเหลือคนอื่นได้ ช่วยทำให้ธุรกิจเติบโตได้ และใช้มันในการขับเคลื่อนบางสิ่งบางอย่างให้เกิดขึ้นจริงได้ เขาไม่ได้มองว่าจะต้องใช้เงินไปกับของฟุ่มเฟือยอย่างรถ Lamborghini บ้านหลังใหญ่มหึมา ที่เป็นเหล่าบรรดาวัตถุนิยม ที่เขามองว่า เป็นวิธีที่แย่ที่สุดในการใช้ชีวิตเลยก็ว่าได้
  69. การมาของ Youtube Shorts ทาง MrBeast เขามองว่า นอกจากจะพึ่งให้สร้างรายได้จากส่วนแบ่งค่าโฆษณาเพื่อดึงดูด creator จาก tiktok เข้ามาแล้วนั้น คลิปสั้นบน Youtube Shorts จะช่วยส่งเสริมให้คนเข้าไปดูคลิปยาวที่เป็นเนื้อหาหลักของช่องเรามากยิ่งขึ้น และนอกจากนั้นคลิปสั้น ก็สามารถช่วยเพิ่มจำนวนผู้ติดตามให้เพิ่มมากขึ้น เวลาที่เราอัพโหลดคลิปใหม่ ๆ ก็มีโอกาสที่ผู้ติดตามใหม่ ๆ จะเห็นคลิปเรามากขึ้นด้วย
  70. การมาของ Youtube Shorts นั้น จะสร้าง Creator หน้าใหม่ ๆ หรือหน้าเก่าที่เคยยอมแพ้ไปกับยาวทำวีดีโอแบบยาวที่ยากและเหนื่อยที่กว่าจะได้มาสักคลิป แต่ในขณะที่ Youtube Shorts นั้น อาจจะเวลาถ่ายทำเพียงแค่ 5 นาที ก็สามารถมีคลิปลงได้ตลอด และ Youtube Shorts ก็เริ่มเปิดสร้างรายได้ โดยเริ่มแบ่งค่าโษณาจาก advertiser มาให้กับเหล่าบรรดา Creator แล้ว
  71. ความสนใจของผู้ชมจะเปลี่ยนไปตามกาลเวลาเสมออย่างแน่นอน เราในฐานะ creator หรือผู้สร้างนั้น ก็จำเป็นที่จะต้องคิดค้นนวัตกรรมใหม่ ๆ ปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์อยู่เสมอ
  72. MrBeast บอกว่า คลิปที่ใช้เงินสร้างเยอะที่สุดคือคลิป Squid Game in Real Life ที่ใช้คอนเซ็ปต์จากภาพยนตร์ชื่อดังบน Netflix มาทำเป็นเกมให้ผู้คนเข้ามาร่วมเล่นเพื่อชิงรางวัลจาก MrBeast โดยคลิปนี้จริง ๆ แล้วน่าจะใช้ทุนสร้างราว ๆ $2 ล้านดอลล่าร์ฯ แต่เลยเถิดไปมากกว่า $4 ล้านดอลล่าร์ฯ แต่ก็เป็นวีดีโอที่มียอดวิวสูงที่สุดในช่องตั้งแต่เคยทำคลิปมาเลย โดย ณ ตอนนี้ยอดวิวที่ช่องหลักมากว่า 481 ล้านวิว เข้าไปแล้ว แถมช่องที่แปลเป็นภาษาอื่น ๆ รวมกันแล้วยังมียอดวิวเพิ่มเข้าอีกกว่า 216 ล้านวิว หรือรวม ๆ แล้ว ก็เกือบ ๆ 700 ล้านวิว ทั่วโลก
  73. คุณไม่สามารถสร้างแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่ไม่มีคนใช้ขึ้นมาได้ คุณต้องไปใช้แพลตฟอร์มที่มีผู้คนรวมตัวกันอยู่ที่นั่นอยู่แล้ว อย่าง Youtube ถ้าคุณจะสร้างแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียใหม่เองก็ได้ แต่มันจะไปมีประโยชน์อะไรถ้าแพลตฟอร์มนั้นไม่มีคนใช้เลย
  74. MrBeast บอกว่า ไอเดียมันเป็นเรื่องอะไรที่ง่ายมาก ที่สิ่งที่ยากกว่าคือการทำให้ไอเดียนั้นเกิดขึ้นจริง
  75. ตารางการทำงานของ MrBeast นั้นเขาเล่าว่า เขาเคยออกแบบตารางการทำงาน วันจันทร์ถึงศุกร์ ก็ไม่เวิร์ค วันจันทร์ถึงเสาร์ แล้วหยุดวันอาทิตย์วันเดียวก็ไม่เวิร์ค เขาเลยตัดสินใจทำงานมันทุกวัน ทุกชั่วโมง ที่ทำได้เลยก็แล้วกัน แล้วถ้าเมื่อไหร่เขารู้สึกหมดไฟ เขาก็จะพักเบรคสักครึ่งวันเพื่อนั่งดูการ์ตูน Anime แบบยาว ๆ เพื่อชาร์จพลังกลับไปลุยงานใหม่ ซึ่งวิธีนี้มันอาจจะไม่เวิร์คสำหรับทุกคน แต่มันเวิร์คสำหรับตัวของเขาเอง
  76. คนส่วนใหญ่มักเกลียดงานที่ตัวเองทำอยู่ แต่ MrBeast บอกว่า หากคุณเจองานที่คุณรักแล้ว มันก็ไม่มีเหตุผลที่จะไปวางขอบเขตการทำงานให้มัน อย่างตัวของเขาเอง เขาชอบที่จะลุยงานหนัก ๆ อย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 8-9 วัน อย่างต่อเนื่อง แล้วก็หยุดพักชาร์ตแบต เติมพลังสักวันแล้วกลับไปลุยใหม่
  77. MrBeast บอกว่า ณ ตอนนี้ วีดีโอ Podcast ที่เป็นเหมือนจัดรายการ talk show ออนไลน์ นั้น มีพลังมากเป็นพิเศษ เพราะมันเป็นการนั่งพูดคุยแบบสบาย ๆ ในระหว่างการถ่ายทำ แต่ได้รับยอดวิวเยอะมาก ซึ่งนั่นอาจจะเป็นเพราะ Youtube พึ่งเปิดตัวระบบหลังบ้าน ที่สามารถอัพโหลด Podcast ได้อย่างสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น อาจเป็นช่วงการผลักดันวีดีโอประเภท Podcast มากยิ่งขึ้น โดย MrBeast บอกว่า นี่น่าจะเป็นช่วงที่ดีที่สุดของการทำรายการ Podcast ที่หากนำไปเปรียบเทียบกับเมื่อประมาณ 4 ปีก่อนหน้านี้ มันจะไม่มีใครดูหรือฟังรายการ Podcast เลย แล้วสุดท้ายรายการ Podcast ต่าง ๆ ก็ล้มหายตายจากไป
  78. MrBeast บอกว่า เขาชอบฟัง podcast เกี่ยวกับเรื่องของการพัฒนาตนเอง เกี่ยวกับชีวประวัติของคนที่ประสบความสำเร็จ คนที่ยิ่งใหญ่ในอดีตที่ผ่านมา อย่างเช่น จักรพรรดินโปเลียน อเล็กซานเดอร์มหาราช เป็นต้น
  79. สถานที่ที่ MrBeast ชอบมากที่สุดในโลกก็คือ Studio ของเขาเอง เพราะเวลาที่เขาไปต่างประเทศหรือที่ไหน ๆ เขาก็รู้สึกเหมือน ๆ กัน แค่แตกต่างกันในเรื่องของสถานที่กับเวลา เพราะในใจเขาอยากจะกลับไปทำงานที่สตูดิโอใจจะขาด เพราะเขาอยากปลดปล่อยความ creative ของเขา ออกมาให้เป็นรูปเป็นร่าง
  80. MrBeast บอกว่า ยอดวิว Youtube ในประเทศอินเดียนั้นดีกว่าอเมริกามาก นั่นก็เป็นเพราะว่า ประเทศอินเดียมีประชากรมากถึง 1,400 ล้านคน ในขณะที่อเมริกามีประชากรราว ๆ 300 ล้านคน ต่อให้คนทุกคนในอเมริกาดูวีดีโอเฉลี่ยวันละ 10 คลิป ยอดวิวยังไม่เท่ากับคนอินเดียเพียงแค่ครึ่งประเทศดูวันละ 7 คลิป เลยซะด้วยซ้ำ
  81. ถ้าถามว่า MrBeast เขากลัวคู่แข่งไล่ตามเขามาบ้างไหม เขาก็ตอบว่า ‘ไม่’ เพราะเขาคิดว่า Youtuber ส่วนใหญ่ มักจะใช้เงินทุนในการสร้างแต่ละคลิปเฉลี่ยอยู่ที่ราว ๆ $10,000 ในขณะที่เขาทุ่มงบกว่า $1,000,000 นอกจากนั้น พวกเขาส่วนใหญ่มักไม่ได้เวลาหมกมุ่นอยู่กับการทำวีดีโอมากขนาดนั้น และไม่มีทีมงานอย่างที่เขามี และแน่นอนว่า Youtuber ส่วนใหญ่ หากในปีถัดมาพวกเขาทำเงินได้ $5 ล้านดอลล่าร์ฯ ส่วนใหญ่พวกเขากมักจะพอใจและหยุดอยู่แค่นั้น แต่ในขณะที่ MrBeast นั้น เขาทุ่มงบหมดหน้าตักในทุก ๆ เดือน มาเป็นเวลายาวนานกว่า 10 ปีแล้ว
  82. MrBeast บอกว่า คนส่วนใหญ่มักมี mindset คือความคิดที่พวกเขามักไม่ชอบที่จะช่วยเหลือผู้อื่น เพราะพวกเขากังวลว่า คนอื่นจะมาเอาเงินจากพวกเขาเพิ่มขึ้นอีก ในขณะที่ตัวของ MrBeast เขาเรียนรู้มาว่า เมื่อคนให้เขาก็มักจะได้รับกลับคืนมา ยกตัวอย่างเช่น เขาช่วยให้ creator หรือคนทำคอนเท้นต์นับร้อยคนเติบโตขึ้น และจากนั้น พวกเขาก็กลับมาช่วยให้ช่องของ MrBeast เติบโตขึ้นด้วย ดังนั้นมันเป็นโลกที่ดีการที่เขาไม่ช่วยใครเลย แล้วก็ไม่มีใครช่วยเขาเลย
  83. การที่เรารู้จักการให้ผู้อื่นนั้น มันไม่ได้ทำให้เราตกต่ำลง แต่มันจะช่วยให้เราเติบโตขึ้น
  84. MrBeast บอกว่า การที่เรามีใครสักใครที่คอยเชียร์อัพอยู่ในทุก ๆ วันนั้น มันจะช่วยให้เรามีแรงฮึดที่จะทำมันขึ้นมา ยกตัวอย่างเช่น ตัวของ MrBeast เขาเริ่มหันมาออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องในทุก ๆ วัน เพราะเขาต้องใช้ร่างกายอย่างหนัก แถมยังอ้วนลงพุงอีกด้วย เขาเลยหาเทรนเนอร์ประจำตัว ที่พร้อมจะโทรมาสั่ง โทรมาปลุกใจ โทรมาตะโกนใส่ เขา ให้ลุกขึ้นไปออกกำลังกายในทุก ๆ วัน แม้ว่าวันนั้นเขาจะพึ่งเลิกกองถ่ายหลังจากทำงานมาต่อเนื่องกว่า 15 ชั่วโมง ที่กำลังจะเอนหลังนอนลงบนเตียง แล้วจู่ ๆ เขาก็ได้รับสายจากเทรนเนอร์ให้ลุกขึ้นมาออกกำลังกายเดี๋ยวนี้ เพราะเทรนเนอร์นั้นมีตารางการทำงานของ MrBeast อยู่จึงรู้ว่า จะต้องโทรมาเวลาไหนในทุก ๆ วัน
  85. MrBeast บอกว่า อย่าให้คอมเม้นท์แย่ ๆ ของคนไม่กี่คน มาทำให้คุณเศร้าหมอง เพราะมีคอมเม้นท์ดี ๆ อีกนับร้อยนับพันที่พวกเขาคอยให้กำลังใจคุณอยู่
  86. MrBeast บอกว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่เขาทำวีดีโอที่แจกเงินหรือของที่มีมูลค่ามากกว่า $100,000 ขึ้นไป จะเริ่มมีคนมาคอมเม้นท์มากขึ้นว่า ในวีดีโอของเขานั้นเป็นของปลอม แจกไม่จริง น้ำหน้าอย่าง Youtuber จะเอาเงินจากไหนตั้งเยอะแยะมากมายมาแจกคนแบบสุ่มแบบนี้ ซึ่งก็มีบางครั้งที่ MrBeast เขาตอบกลับคอมเม้นท์ดังกล่าวว่า เนื้อหาในคลิปนั้นเป็นของจริง แจกจริง
  87. MrBeast บอกว่า บางวีดีโอที่เห็นว่ามีความยาวราว ๆ 15-20 นาที นั้น เขาตัดต่อมาจาก video footage ที่มีความยาวถึง 10,000 ชั่วโมง ก็มี แต่ต้องตัดให้เหลือแค่ 15-20 นาที ให้ยังคงดูน่าสนใจอยู่ได้ อย่างวีดีโอที่ให้ผู้ติดตามช่องของ MrBeast คนหนึ่ง มาแข่งขันเอาชีวิตรอดให้ได้ 100 วัน โดยที่ต้องอยู่ภายในวงกลมที่เขาจัดทำขึ้นเอาไว้เท่านั้น ซึ่งเขาก็ให้ ผู้เข้าร่วมในครั้งนี้ ถ่ายอัพเดทชีวิตตัวเองเป็นเวลากว่า 100 วัน ซึ่งถ้าคุณนั่งดูเฉพาะ Video footage 10,000 ชั่วโมงเพียงอย่างเดียว คุณน่าจะต้องใช้เวลาทั้งปีในการดูมันทั้งหมด
  88. MrBeast บอกว่า การที่เขาจะตัดสินว่าวีดีโอใดสนุกหรือน่าเบื่อนั้น เขาจะพยายามเอาตัวเองไปอยู่ในมุมของคนดู ว่าถ้าหากเขาเป็นคนดู ที่เข้ามาดูวีดีโอของ MrBeast พวกเขาจะรู้สึกอย่างไร ตอนไหนน่าสนุก หรือตอนไหนน่าเบื่อ ควรปรับปรุง
  89. MrBeast บอกว่า คุณแม่ของเขาเข้ามาช่วยดูแลในเรื่องของบัญชีธนาคารส่วนตัวของเขา เพื่อทำให้มั่นใจว่า จะไม่มีใครมาขโมยเงินของเขาไป เพราะไม่มีใครที่เขาสามารถไว้วางใจได้ไปมากกว่าแม่ของตัวเองอีกแล้ว
  90. บัญชีใช้จ่ายของฟุ่มเฟือย หรือเพื่อความบันเทิงส่วนตัวของ MrBeast นั้น เขาบอกว่า เขามีบัญชีแยกออกมาอย่างชัดเจน ซึ่งเป็นบัญชีที่เป็นผลที่ได้มาจากกำไรล้วน ๆ มันจะทำให้เขารับรู้ได้ว่า เขาสามารถหยิบเงินก้อนนี้มาเมื่อไหร่ หรือใช้ในเรื่องอะไรก็ได้ ได้อย่างเต็มที่ โดยที่ไม่ไปแตะเงินที่ใช้ในการทำวีดีโอลงช่องหลัก Youtube เลย
  91. MrBeast เล่าว่า มีอยู่ครั้งหนึ่ง ที่มี Billionaire เศรษฐีพันล้าน จ้างให้เขาอัดวีดีโอเพื่อไปพูดทักทายกับของลูกเขา จำนวน $250,000 หรือประมาณ 8 ล้านกว่าบาท เพื่อทำวีดีโอทักทายลูกของเขาที่มีความวีดีโอประมาณ 1 นาที
  92. MrBeast บอกว่า ตัวเขาคือ Creator ไม่ใช่ Businessman ดังนั้นเขาไม่รู้ว่าการทุ่มเงินทั้งหมดที่หามาได้ในเดือนที่แล้ว เพื่อมาสร้างวีดีโอใหม่ในเดือนนี้นั้นจะได้กำไรหรือขาดทุนเท่าไหร่ แต่เขารู้แค่เพียงว่า เขาจะนำเงินดังกล่าว มาสร้างวีดีโอที่ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ออกมาก็เท่านั้น
  93. การบริหารจัดการกับเวลาของ MrBeast ในแต่ละวัน หลังจากที่เลิกกองถ่ายทำวีดีโอแล้วนั้น เขาบอกว่า เขามีอยู่ด้วยกันหลายบริษัท ทำ Youtube หลายช่อง แถมยังมีธุรกิจขายแฮมเบอร์เกอร์กับขายช็อคโกแล็ต พอเขาบอกว่าตัวเขาในวันนั้น มีเวลาว่างอยู่ราว ๆ 1 ชั่วโมง ทีมงานของเขาจากทุกธุรกิจก็จะมามะรุมะตุ้ม แย่งตัวเขาเพื่อไปทำงานนั้นงานนี้ ซึ่งสิ่งที่ MrBeast เขาทำก็คือ เขาก็จะเริ่มพิจารณาแล้วว่าโดยจัดเรียงลำดับความสำคัญของงานว่างานใดสำคัญที่สุด งานใดที่เป็นคอขวดติดปัญหาไปต่อไม่ได้ งานใดที่ทำแล้วใช้เวลาน้อยที่สุดและสร้าง impact ได้มากที่สุด เขาก็จะทำงานนั้นก่อน ซึ่งเขาใช้หลักการนี้ในการทำงานในทุก ๆ วัน
  94. ถ้าถามว่าถ้า MrBeast ไม่ได้ทำวีดีโอหรือทำ Youtube เขาจะไปทำอะไร ซึ่ง MrBeast ก็บอกว่าเขาน่าจะออกไป hangout นั่งชิล ๆ กับ Elon Musk ซึ่งในความเป็นจริงแล้วนั้น มันไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ แต่เขาก็น่าจะออกไป hangout กับเหล่าบรรดา Entrepreneur หรือกลุ่มผู้ประกอบการ ที่ทำธุรกิจต่าง ๆ เพื่อพูดคุยและแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกัน
  95. MrBeast เขาเชื่อมั่นและศรัทธาในแพลตฟอร์ม Youtube เป็นอย่างมาก เพราะเขาอยู่กับแพลตฟอร์มนี้มาเป็นเวลากว่าสิบปีแล้ว และเขาก็เชื่อว่าในช่วงอีก 10 ปี ข้างหน้านับจากนี้ Youtube ก็จะเติบโตมากยิ่งขึ้นไปอีก โดยเขาได้ยกตัวอย่างจากการมาของ Youtube Gaming แค่ตลาดนี้ตลาดเดียวก็สามารถทำให้แพลตฟอร์มของ Youtube เติบโตมากกว่าสองเท่าภายในสองปี ซึ่งนี่คือเหตุผลที่ตัวของ MrBeast นั้น ไร้ข้อกังขาใด ๆ เกี่ยวกับการเติบโตของ Youtube
  96. คำแนะนำสำหรับคนที่ต้องการเริ่มต้นทำ Youtube ถ้าคุณไม่มีผู้ติดตามเลยสักคน ไม่มีชื่อเสียงมาก่อนเลย ทาง MrBeast เขาแนะนำว่า ให้เริ่มต้นทำ 100 วีดีโอแรกก่อนเลย แล้วให้พัฒนาการทำวีดีโอในทุก ๆ ครั้ง ในแต่ละคลิป คุณจะต้องเรียนรู้บางอย่างเพื่อนำไปปรับปรุงในคลิปต่อ ๆ ไป แล้วหลังจากวีดีโอที่ 101 คุณอาจจะเริ่มได้ยอดวิวมาบ้างแล้ว ซึ่งแน่นอนว่า ถ้าคุณเป็นเพียงแค่คนธรรมดาทั่ว ๆ ไป ที่ไม่ได้โดดเด่นอะไร วีดีโอแรกสุดก็มักไม่มียอดวิวหรอก มันเป็นเรื่องที่ธรรมดามาก
  97. วิธีการพัฒนาในแต่ละคลิปวีดีโอถัด ๆ ไปให้มันดียิ่งขึ้นนั้น MrBeast บอกว่า ให้คุณใช้ความพยายามในการเขียนสคริปต์ให้มันดียิ่งขึ้น, พยายามเรียนรู้เทคนิคการตัดต่อคลิปวีดีโอใหม่ ๆ ดู, ค้นหาสิ่งที่ทำให้คุณดูแตกต่างและดีกว่าคนอื่น ๆ , พยายามศึกษาวิธีสร้าง Thumbnail หรือหน้าปกคลิปให้มันน่าดึงดูดมากยิ่งขึ้น และลองพัฒนาการตั้งชื่อคลิปให้มันดียิ่งขึ้น ซึ่งมันไม่มีที่สิ้นสุด คุณสามารถทำให้สิ่งเหล่านี้มันดียิ่งขึ้นเรื่อย ๆ ได้
  98. ถ้าถาม MrBeast ว่า ถ้าตัวเขาในวันนี้ไม่มีเงินเลยแม้แต่บาทเดียว แต่ยังคงมีความรู้อย่างเช่นทุกวันนี้ เขาจะทำอย่างไร? โดยทาง MrBeast ก็บอกว่า สมัยที่เขายังจนอยู่ เขาก็ทำคลิปนับเลข 1 ถึง 100,000 เมื่อ 6 ปีที่แล้ว ที่ ณ ตอนนี้มียอดวิวรวมเฉพาะคลิปนั้นคลิปเดียวก็ปาเข้าไป 28 ล้านวิวแล้ว
  99. หาสิ่งที่คุณคิดว่าคุณทำได้ดี แล้วลงมือทำมัน โดยที่ไม่ยึดติดกับวิธีการ ยกตัวอย่างเช่น เขาทำวีดีโอเนื้อหาที่จะฉลองผู้ติดตามครบ 100 ล้าน subscribers ให้กับผู้ติดตาม โดยจะแจกเป็นเกาะส่วนตัว ซึ่งแน่นอนว่าเกาะส่วนตัวที่ดีนั้น ส่วนใหญ่มีราคาไม่ต่ำกว่า $10M ดอลล่าร์ฯ ขึ้นไป ซึ่งเขาไม่มีเงินมากพอขนาดนั้น ซึ่งถ้าคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ คอนเท้นต์แจกเกาะส่วนตัวก็จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้จริง ดังนั้น เขาจึงคิดค้นหาวิธีการใหม่ ๆ ที่มีความเป็นไปได้ จนกระทั่งเขาก็ตัดสินใจที่จะซื้อเกาะส่วนตัวห่วย ๆ สักที่หนึ่งที่มีราคา $2M แล้วจากนั้นก็ใช้งบแต่งเกาะให้มันสวยงามอีก $1M เช่น ถมทรายจนมีหาดทรายขึ้นมา นำต้นไม้ไปปลูกให้ดูร่มรื่นอีก 300 ต้น ขุดคลองให้ดูเหมือนกับที่พักผ่อนหย่อนใจ จนกลายเป็นเกาะส่วนตัวที่สวยงามขึ้นได้ในราคา $3.5M ซึ่งเป็นราคาที่เขาจ่ายไหว
  100. มีคนถามว่า ถ้า MrBeast กลายเป็น Billionaire เป็นเศรษฐีพันล้านแล้ว นอกจากการทำ Youtube แล้วเขาอยากจะทำอะไรอีกบ้าง หรืออยากจะเกษียณเมื่อไหร่? โดยทาง MrBeast ก็ตอบว่า ในทางเทคนิคแล้ว Billionaire หรือเศรษฐีพันล้านนั้น เป็นการประเมินมูลค่าทรัพย์สิน ซึ่งไม่ใช่เงินสด แต่การทำวีดีโอ การทำธุรกิจ MrBeast Burgur ร้านขายอาหารนั้น จำเป็นต้องใช้เงินสด ดังนั้นถ้าเขามีเงินมากขึ้น เขาก็จะนำไปต่อยอด ไปขยายธุรกิจให้เติบโตมากขึ้น หรือถ้าตอนที่เขาอายุ 60 70 ปี เขาอาจจะกลายเป็นคนถังแตกก็ได้ เพราะตัวของเขานั้นมีความทะเยอทะยานสูง หรือถ้าหากเขากลายเป็นอภิมหาเศรษฐี $100,000 ล้านดอลล่าร์ฯ หรือล้านล้าน นั้น เขาก็อาจจะทำในเรื่องของการช่วยเหลือแก้ไขปัญหาความอดอยากในทวีปแอฟริกา หรือไม่ก็ช่วยโลกในเรื่องของโรคระบาด แบบที่ Bill Gates ชอบทำหลังจากเกษียณที่ Microsoft

Resources