Blue O'Clock

สตูดิโอผลิตและพัฒนาสื่อการเรียนรู้ด้านการลงทุน ธุรกิจ จิตวิทยาและการพัฒนาตนเอง อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

How to

3 เรื่องราวที่หล่อหลอมจนกลายเป็น Steve Jobs

Steve Jobs ตำนานพ่อมดแห่งวงการไอที บิดาแห่ง Apple ผู้ที่เคยไปสู่จุดสูงสุดของการเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต

โดยเขาได้เคยเล่าเรื่องราวและที่มาที่ไปในอดีตของเขา ณ Stanford University เอาไว้ตั้งแต่ปี 2005 ที่มันหล่อหลอมและนำพาให้เขามาสู่เส้นทางแห่งความสำเร็จ มีอยู่ด้วยกัน 3 เรื่องราวก็คือ

เรื่องที่ 1 – Connecting the DOT

Steve Jobs เล่าว่า เขาเคยได้เข้าเรียนที่ Reed College แต่พอเข้าเรียนได้เพียงแค่ 6 เดือนเขาก็ได้ดรอปเรียนเอาไว้ และก็อยู่ที่นั่นต่ออีกราว ๆ 18 เดือนก่อนที่จะลาออกมาจริง ๆ

คำถามก็คือ เขาลาออกมาทำไม?

โดยเขาเริ่มต้นเล่าว่า เรื่องราวทั้งหมดมันเกิดขึ้นก่อนที่เขาจะถือกำเนิดออกมาจากท้องแม่ซะด้วยซ้ำ

ซึ่งเมื่อแม่แท้ ๆ ของเขาได้ตั้งท้องเขาขึ้นมาในช่วงที่ยังเป็นนักศึกษาอยู่ ซึ่งยังไม่ได้แต่งงานด้วยซ้ำ นั่นจึงทำให้แม่แท้ ๆ ของเขา ตัดสินใจที่จะนำพาเขาไปฝากคนอื่นเพื่อเป็นบุตรบุญธรรมแทน ซึ่งสามีและภรรยาคู่แรกที่เธอไปติดต่อนั้นเป็นทนายความ ซึ่งสาเหตุที่เธอตัดสินใจเลือกสามีภรรยาคู่นี้ก็เพราะ พวกเขามีฐานะการเงินและอาชีพที่มั่นคง และสามารถที่จะส่งเสียค่าเล่าเรียนเพื่อให้ลูกของเธอได้รับการศึกษาที่ดีที่สุด เพราะเธอเล็งเห็นว่าการเข้าเรียนในสถาบันการศึกษาที่ดีคือเรื่องสำคัญของชีวิตลูก

แต่ในนาทีสุดท้าย ครอบครัวของทนายความก็ตัดสินใจว่า พวกเขาอยากได้บุตรบุญธรรมที่เป็นเพศหญิงซะมากกว่า ดีลนี้จึงยกเลิกไป

จนกระทั่งก็มาเจอกับอีกครบครัวหนึ่ง คือครอบครัวของ Paul และ Calara Jobs พวกเขาบอกกับแม่ของ Steve ว่า พวกเขายินดีรับทารกเพศชายไปเลี้ยงดู แต่พอแม่ของ Steve รู้เบื้องหลังว่า Calara เรียนไม่จบระดับวิทยาลัย และ Paul เรียนไม่จบแม่กระทั่งระดับมัธยมปลายซะด้วยซ้ำ นั่นจึงทำให้แม่ของ Steve ตัดสินใจไม่เซ็นต์สัญญาเพื่อส่งมอบลูกของเธอให้แก่ครอบครัวนี้

แต่จนแล้วจนรอด ทางครอบครัวของ Jobs พวกเขาก็สัญญาว่า แม้พวกเขาจะเรียนไม่จบจากสถาบัน แต่พวกเขาสัญญาว่า จะส่งเสียให้ Steve นั้นเรียนจบสูง ๆ ให้ได้อย่างแน่นอน จนแม่ของ Steve จึงยอมมอบบุตรให้แก่ครอบครัวนี้ และนี่ก็คือ จุดเริ่มต้นชีวิตในนาม Steve Jobs

จนกระทั่ง Steve Jobs อายุได้ประมาณ 17 ปี เขาก็ได้ตัดสินใจเข้าเรียนต่อที่ Reed College ซึ่งเป็นสถานที่ที่มีค่าเรียนแพงพอ ๆ กับ Stanford University เลยทีเดียว ทั้ง ๆ ที่คุณพ่อและคุณแม่ของเขานั้นมีรายได้ระดับแรงงานทั่วไปเท่านั้น นั่นเท่ากับว่า เงินออมทั้งชีวิตของพวกท่านทั้งหมดจะต้องถูกใช้ไปในการจ่ายค่าเล่าเรียนในสถาบันที่เขาเรียนอยู่

ซึ่งพอหลังจากที่เขาเรียนไปได้เพียงแค่ 6 เดือนเขาก็พบว่า วิชาการเล่าเรียนที่นี่มันไม่น่าจะตอบโจทย์ชีวิตของเขาได้เลย ซึ่งเอาเข้าจริง ณ เวลานั้นตัวของเขาเองก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าชีวิตนี้ตัวของเขาต้องการอะไรกันแน่ และก็ไม่รู้ว่าทางวิทยาลัยแห่งนี้จะช่วยตอบโจทย์ชีวิตของเขาได้อย่างไร

เขาจึงตัดสินใจว่าหยุดเรียนเอาไว้ก่อน และดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อมั่นว่าต่อจากนี้ทุกอย่างมันก็น่าจะดีขึ้นเรื่อย ๆ ตามลำดับ แม้ว่าในเวลานั้น มันฟังดูน่ากังวลก็ตามที

แต่พอเขามองย้อนกลับไปในเหตุการณ์ ณ วันนั้น เขาก็พบว่า มันเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตของเขาเลยก็ว่าได้

ซึ่งตอนที่เขาได้ตัดสินใจดรอปเรียนนั้น เขาได้หยุดเรียนทุกวิชาที่เขาไม่ได้มีความสนใจในเรื่องนั้น ๆ

ซึ่งชีวิตของเขาก็ดำเนินไปอย่างยากลำบากและไม่ได้สวยหรูอย่างที่คนอื่นคิด เพราะนอกจากเงินที่พ่อแม่ส่งมาให้เป็นค่าเล่าเรียนนั้นหมดแล้ว เขาก็ต้องเอาตัวเองให้รอดในการใช้ชีวิตในแต่ละวัน เช่น

  • เขาไม่มีค่าเช่าห้องพัก เขาจึงต้องไปอาศัยพื้นห้องของเพื่อนเพื่อเป็นที่หลับนอน
  • หรือต้องเก็บเศษกระป๋องโค้กเอาไปขายเพื่อนำมาเป็นค่าข้าวประทังชีวิต
  • และทุก ๆ วันอาทิตย์ เขาจะต้องเดินเท้าจากวิทยาลัยไปยังโบสถ์ซึ่งอยู่ห่างกันเป็นระยะทางกว่า 7 miles หรือประมาณกว่า 11 กิโลเมตร เพื่อไปขอทานข้าวฟรีที่วัด Hare Krishna อยู่เป็นประจำ ซึ่งเขาชื่นชอบวันนี้เป็นพิเศษ เพราะนาน ๆ ทีจะได้กินอาหารดี ๆ กับเขาบ้าง

และด้วยความใฝ่รู้บวกกับสัญชาตญาณในความอยากในการค้นหาความหมายของชีวิต จู่ ๆ เขาก็พบวิชาหนึ่งใน Reed Colledge ที่คาดว่าน่าจะเหมาะกับตัวของเขามากกว่าวิชาอื่นใดนั่นก็คือ วิชา Calligraphy Instruction หรือวิชาการออกแบบศิลป์อักษร ที่ถือได้ว่า เป็นวิทยาลัยที่สอนเรื่องนี้ได้ดีที่สุดในประเทศเลยก็ว่าได้ ซึ่งเป็นที่ที่ทำให้เขารู้จักกับตัวอักษรที่ชื่อ Serif และ Sans Serif ที่ทำให้เขาได้ความรู้เกี่ยวกับการคัดลายมือ การออกแบบตัวอักษร การเว้นวรรคช่องไฟอย่างมีศิลป์ มันคือศิลปะที่ละเอียดอ่อนในแบบที่วิทยาศาสตร์ไม่สามารถอธิบายมันได้

แต่…จนแล้วจนรอด เขาก็ยังไม่พบว่า ไอ้วิชาการออกแบบศิลป์อักษรที่เขาเรียนรู้ในวันนี้นั้น มันจะเอาไปใช้อะไรได้บ้างกับในชีวิตจริง จนกระทั่งวันเวลาผ่านไป 10 ปี เมื่อตอนที่พวกเขากำลังออกแบบเครื่องคอมพิวเตอร์ Macintosh เครื่องแรก จู่ ๆ ความรู้ทั้งหมดทั้งมวลที่เขาได้เรียนรู้เมื่อตอนออกแบบตัวอักษรนั้น พวกเขาก็ยัดมันลงไปในเครื่องคอมพิวเตอร์ที่พวกเขาสร้าง ซึ่งมันทำให้กลายเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องที่มีตัวอักษรที่สวยงาม

ซึ่งนั่นมันทำให้เขาคิดได้ว่า ถ้าหากในอดีตที่ผ่านมาในสมัยเรียนวิทยาลัยเขาไม่ได้ลงเรียนวิชาออกแบบศิลป์อักษร เครื่องคอมพิวเตอร์ Mac ทุกวันนี้ก็คงไม่มี font สวย ๆ ใช้กัน หรือแม้กระทั่งเครื่องคอมพิวเตอร์ยี่ห้อ Windows ที่ก้อปไอเดียนี้ของเขาไปก็คงไม่มีตัวอักษรสวย ๆ ใช้ด้วยเช่นกัน

หรือแม้กระทั่ง หากในตอนนั้นเขาไม่ตัดสินใจหยุดเรียนวิชาอื่น ๆ เขาก็คงไม่ได้มีโอกาสเพื่อที่จะค้นพบและมาเรียนวิชาออกแบบศิลป์อักษรนี้อย่างแน่นอน

ซึ่งเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในอดีตที่ผ่านมานั้น มันเชื่อมต่อถึงกันในทุก ๆ เรื่องราวที่ผ่านมา ซึ่งตัวของเขาเองในตอนที่เรียนอยู่ในวิทยาลัยก็ไม่รู้เช่นกันว่า เรื่องราวมันจะปะติดปะต่อกันได้อย่างไรในอนาคต

แต่พอมาวันนี้เขาก็ได้รู้แล้วว่า เราไม่สามารถเชื่อมโยงกับเรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้นในอนาคตได้ แต่เราสามารถเชื่อมโยงจากอดีตที่ผ่านมาเชื่อมต่อเข้าด้วยกันได้ ดังนั้นคุณจำเป็นที่จะต้องมีความเชื่อมั่นในตนเองอย่างสูงว่า สิ่งที่เราทำในอดีตจนมาถึงทุกวันนี้ มันจะหล่อหลอมให้เป็นตัวเราในอนาคตได้

ซึ่งไม่ว่าคุณจะเชื่อในเรื่องอะไรก็ตาม แต่ขอให้มีความเชื่อมั่นสักอย่างไม่ว่าจะเป็น เชื่อในพระเจ้า, เชื่อในโชคชะตา เชื่อในการดำเนินชีวิต เชื่อในเรื่องของเวรกรรม หรือจะเชื่อในเรื่องอะไรแล้วก็ตามที่คุณศรัทธา

จงเชื่อว่าทุกเรื่องราว ทุกการกระทำของตัวเรา จะเชื่อมต่อและส่งผลเพื่อนำไปสู่เส้นทางในอนาคตข้างหน้าตามที่หัวใจคุณปรารถนา เดินทางไปด้วยความเชื่อมั่นและมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม แม้ว่าในบางครั้งเส้นทางที่คุณเดินมันไม่ได้ราบเรียบหรือโปรยปรายไปด้วยกลีบกุหลาบ แต่นั่นมันจะทำให้คุณโดดเด่นและแตกต่างกว่าใคร ๆ

และนี่คือเรื่องแรกของเขา Connecting the DOT

เรื่องที่ 2 – Love and Loss

Steve Jobs เล่าว่า ตัวของเขานั้นค่อนข้างโชคดีที่ได้เจอในสิ่งที่รักเจอในสิ่งที่ชอบตั้งแต่ช่วงต้นของชีวิต โดยตัวของเขากับ Steve Wozniak นั้น ได้เริ่มต้นธุรกิจ Apple ตั้งอายุประมาณ 20 ปี ภายในโรงรถบ้านพ่อของแม่ Steve Jobs ซึ่งพวกเขาตรากตรำทำงานกันอย่างหนัก จนภายในไป 10 ปี บริษัทก็เติบโตกลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่ากว่า 2 พันล้านดอลล่าร์ฯ หรือราว ๆ 6.7 หมื่นล้านบาท ที่มีพนักงานมากกว่า 4,000 ชีวิต และเขาก็มีอายุเพียง 30 ปี และสิ่งที่เขาเจอในช่วงวัย 30 ปีเช่นเดียวกันก็คือ ‘เขาโดนไล่ออก’

คำถามก็คือ เขาโดนไล่ออกจากบริษัทที่สร้างมากับมือตัวอย่างได้อย่างไร?

โดยเหตุการณ์มันเริ่มต้นจาก เมื่อ Apple เติบโตมากขึ้น เขาก็ต้องการจ้างใครสักคนที่มีความสามารถ มีความเป็นมืออาชีพเพื่อมาบริหารบริษัทร่วมกัน ซึ่งในช่วงปีแรกทุกอย่างก็ดูเหมือนไปได้ดี จนกระทั่งในเวลาต่อมาไม่นาน เขาก็เริ่มมีวิสัยทัศน์ที่แตกต่างกันกับผู้บริหารที่เขาจ้างมา แล้วคณะกรรมการบริษัทส่วนใหญ่ก็ดันไปเข้าข้างเขา ก็เลยกลายเป็นว่าตัวของ Steve Jobs ที่ไม่มีใครเห็นด้วยก็โดนไล่ออกไปโดยปริยาย ในช่วงวัย 30 ปี

ซึ่งเขายอมรับว่าในช่วง 2-3 เดือนแรกเขาถึงกับมึนงง ไปไม่ถูกกันเลยทีเดียว ว่าจะเอายังไงกับชีวิตต่อดี และนอกจากนั้นเขายังรู้สึกว่าตัวเองกำลังทำให้ผู้ประกอบการรุ่นก่อน ๆ ต้องเสียเกียรติไปเพราะความล้มเหลวที่เกิดขึ้นกับตัวของเขา เพราะชีวิตกว่าสิบปีที่ผ่านมานั้น ในหัวของเขามีแต่บริษัท Apple

จากนั้นเขาก็มีโอกาสได้พบกับ David Packard ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท HP และ Robert Noyce ผู้ก่อตั้งบริษัท Intel ซึ่ง Steve Jobs ก็ได้พยายามขอโทษพวกเขาที่ทำผิดพลาดอย่างร้ายแรงในวงการนี้

ซึ่งข่าวการโดนไล่ออกของ Steve Jobs ในครั้งนี้นั้น เป็นเรื่องที่ถูกเปิดเผยต่อสาธารณะชน ซึ่งมันทำให้เขารู้สึกล้มเหลวจนอยากจะหนีไปอยู่หลังเขาเงียบ ๆ คนเดียวซะเลย

แต่พอวันเวลาผ่านไปสักพัก สิ่งที่ผุดขึ้นมาในใจของเขาก็คือ เขายังชอบ เขายังคงรักในสิ่งที่ตัวเองทำอยู่อย่างไม่เปลี่ยนแปลง แม้ว่าเขาจะถูกไล่ออกจาก Apple แล้วก็ตาม แต่สิ่งที่เขาชอบทำก็ยังคงรู้สึกอยู่เช่นเดิม

เขาถูกปฏิเสธ แต่เขาก็ยังรักมันอยู่

เขาจึงบอกกับตนเองว่า งั้นฉันจะเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง

ซึ่ง ณ ตอนนั้นเขามองไม่เห็นว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้

แต่พอกลับมามองย้อนหลังเขาก็พบว่า เหตุการณ์การถูกไล่ออกจาก Apple ในครั้งนั้น เป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่ดีที่สุดที่เคยเกิดขึ้นในชีวิตของเขาเลยก็ว่าได้

เพราะจากเดิมที่เขารู้สึกว่าตนเองเป็นคนที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในชีวิตแต่นั่นมันก็มาพร้อมกับความกดดันอย่างมหาศาลในฐานะผู้นำองค์กรขนาดใหญ่ กลับสู่ความรู้สึกเบาหวิวและเป็นอิสระอย่างทุกสิ่งทุกอย่างในฐานะผู้ประกอบการที่เริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง นั่นถือได้ว่าเป็นช่วงที่ตัวเขานั้นรู้สึกว่า เป็นช่วงเวลาที่เขามีความคิดสร้างสรรค์มากที่สุดช่วงหนึ่งของชีวิต

และหลังจากนั้นอีกประมาณ 5 ปี เขาก้ได้เริ่มต้นบริษัทใหม่ที่มีชื่อว่า NeXT และตามมาด้วยบริษัท Pixar ที่ถือได้ว่าเป็นบริษัทแห่งแรกของโลกที่สร้างภาพยนตร์แอนิเมชั่นด้วยคอมพิวเตอร์ อย่าง Toy Story ทำให้ Pixar ถูกยกย่องให้กลายเป็นสตูดิโอแอนิเมชั่นที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลกอีกด้วย ทำให้บริษัท Disney ติดต่อขอเข้าซื้อกิจการไปในที่สุด

และเรื่องที่น่าทึ่งมากอีกเรื่องหนึ่งก็คือ การที่บริษัท Apple ติดต่อขอเข้ากิจการของบริษัท NeXT ซึ่งนั่นทำให้ Steve Jobs ได้กลับเข้าไปเป็นผู้บริหารของบริษัท Apple ได้อีกครั้งหนึ่ง และที่สำคัญไปกว่านั้น เทคโนโลยีที่ถูกพัฒนาขึ้นบน NeXT ก็ได้กลายมาเป็นหัวใจสำคัญในยุคฟื้นฟูกิจการของ Apple ที่กำลังย่ำแย่ ณ ขณะนั้น แถมในช่วงนี้นั้นเขาก็ยังได้พบรักกับ Laurene Powell และขอเธอแต่งงานพร้อมกับมีลูก ๆ ที่น่ารัก เป็นครอบครัวที่อบอุ่นมากเหลือเกิน

ซึ่งเรื่องทั้งหมดที่ว่ามานี้นั้น จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย ถ้าหากเขาไม่ถูกไล่ออกจากบริษัท Apple ในวันนั้น

หากเปรียบเป็นยา มันก็เป็นยาที่รสขมเอามาก ๆ แต่ในฐานะผู้ป่วยคุณก็ต้องทนฝืนกินมันลงไป

ซึ่งบางครั้งในชีวิตของคนเราก็เหมือนกับถูกทุบด้วยก้อนอิฐอย่างจังเข้าที่หัว ซึ่งไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม จงอย่าสูญสิ้นศรัทธา จงอย่ายอมแพ้

และสิ่งเดียวที่เขามั่นใจว่าทำให้เดินต่อไปได้นั่นก็คือ การที่เรารักในสิ่งที่ทำ ดังนั้นคุณจงทำในสิ่งที่คุณรัก จงหางานที่รักราวกับการหาคู่ชีวิตของคุณ

เพราะงานของคุณจะเข้ามาเติมเต็มพื้นที่ส่วนใหญ่ในชีวิตของคุณ และเพื่อให้ตัวคุณเกิดความพึงพอใจในงานอย่างแท้จริง คุณก็จะต้องเชื่อว่าคุณกำลังทำงานเพื่อให้มันออกมายอดเยี่ยมที่สุด และการที่จะให้ผลงานออกมายอดเยี่ยมที่สุดใด้นั้นก็คือ การที่คุณรักในสิ่งที่คุณทำ

และถ้าหากวันนี้คุณยังไม่เจองานที่รัก จงค้นหามันต่อไป

เรื่องที่ 3 – Death

เมื่อตอนที่เขาอายุได้ประมาณ 17 ปี เขาได้มีโอกาสอ่านคำคมประโยคหนึ่งที่เขียนประมาณว่า

“If you live each day as if it was your last, someday you’ll most certainly be right.”

หมายถึง “จงใช้ชีวิตในวันนี้ ราวกับว่ามันเป็นวันสุดท้ายของชีวิต และสักวันหนึ่งคุณจะพบกับสิ่งที่ใช่ในที่สุด”

ซึ่งนับตั้งแต่นั้นมาตลอดหลายสิบปี ในทุก ๆ เช้า เขาจะตื่นขึ้นมาหน้ากระจกแล้วตั้งคำถามกับตนเองว่า “ถ้าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของชีวิต ฉันยังอยากจะทำในสิ่งที่กำลังจะทำในวันนี้อยู่ไหม?”

และเมื่อไหร่ก็ตามที่คำตอบของเขาคือ ‘ไม่’ ติดต่อกันหลาย ๆ วัน มันจะทำให้เขารู้ว่า เขาต้องเปลี่ยนแปลงอะไรบางสิ่งบางอย่างให้แตกต่างออกไปจากเดิมในวันนี้

และในเวลาต่อมาเขาก็ถูกตรวจพบว่าเขาเป็นมะเร็งที่ตับอ่อนชนิดที่หาได้ยาก และไม่มีทางหายขาดได้ ซึ่งเขาไม่รู้ว่าตับอ่อนคืออะไรซะด้วยซ้ำ

ซึ่งเขามีเวลาเพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น ที่จะทำการบอกลากับครอบครัว และจัดการทุกสิ่งทุกอย่างให้เรียบร้อยก่อนจากโลกนี้ไป

นั่นมันทำให้เขาได้เรียนรู้ว่า คนเราเกิดมานั้นมีเวลาที่จำกัด ดังนั้นจงใช้ชีวิตให้คุ้มค่า จงใช้ชีวิตตามที่ใจปรารถนา ไอ้ความรู้สึกท้อแท้ ล้มเหลว ผิดหวัง สิ้นหวัง ลาภ ยศ นั้นมันไม่สำคัญเลยแม้แต่น้อย มันทำให้เสียเวลาชีวิตไปเปล่า ๆ และเมื่อเราคิดได้แล้วว่า ชีวิตเรามีอยู่อย่างจำกัด ก็จงใช้มันเพื่อตนเองเต็มที่

ซึ่งความตายนั้นเขามองว่ามันเป็นปรัชญาชีวิตที่จริงและเรียบง่าย ซึ่งแน่นอนว่า ไม่ว่าใครก็ไม่อยากตาย แม้กระทั่งคนที่อยากขึ้นสวรรค์ก็ไม่อยากตายเพื่อไปที่นั่นเช่นกัน และความตายก็เป็นจุดหมายปลายทางที่ทุกคนบนโลกใบนี้มีร่วมกัน ไม่มีใครหนีมันพ้น ดังนั้นเวลาของคุณมีอยู่อย่างจำกัด จงอย่าเสียเวลาไปใช้ชีวิตตามแบบคนอื่น จงอย่าใช้ชีวิตตามความคิดของผู้อื่น อย่าปล่อยให้เสียงและความคิดเห็นของคนอื่นเข้ากลบเสียงของคุณ

และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ จงมีความกล้าที่จะทำตามในสิ่งที่หัวใจบอกและกล้าทำตามสัญชาตญาณของตัวคุณเอง

Stay Hungry Stay Foolish

– Steve Jobs –

Resources