Blue O'Clock

สตูดิโอผลิตและพัฒนาสื่อการเรียนรู้ด้านการลงทุน ธุรกิจ จิตวิทยาและการพัฒนาตนเอง อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

How to

4 ขั้นตอนในการเป็นเศรษฐีเงินล้าน by Grant Cardone มหาเศรษฐีหมื่นล้าน

Grant Cardone เติบโตมาจากรากหญ้าคนธรรมดาทั่ว ๆ ไป ที่เริ่มอาชีพด้วยการเป็นเซลล์ขายรถยนต์ จนกลายเป็น Top Sales และต่อมาจึงได้หันมาเป็นนายหน้าอสังหาฯ และเริ่มลงทุนในอสังหาริมทรัพย์จนร่ำรวย และในปัจจุบัน เขาก็ยังร่ำรวยขึ้นไปอีก จากการสร้างรายได้จากช่องทางอื่น ๆ อีกเช่น เป็นนักเขียน Bestsellers ที่หนังสือขายดีไปทั่วโลก เช่น THE 10X RULES, SELL OR BE SOLD รวมไปถึงการเป็นเทรนเนอร์ในด้านการขายให้กับหลายพันบริษัท ซึ่งส่งผลให้เขากลายเป็นมหาเศรษฐีหมื่นล้านได้ในที่สุด (จากข้อมูลในปี 2018 Grant Cardone มีรายได้ที่ประมาณ 350 ล้านเหรียญ หรือราว ๆ 11,500 ล้านบาท)

และสำหรับเนื้อหานี้ ผมได้มีโอกาสรับชมวีดีโอที่ Grant Cardone ได้เทรนนิ่งเหล่าบรรดาทีมขายในบริษัทของเขาเอง ซึ่งหน้าที่ของผู้นำที่ดีนั้น จะต้องสามารถสอนให้ทีมงานขึ้นมาอยู่ในระดับเดียวกันหรือใกล้เคียงกับตัวเองมากที่สุด เพื่อที่พวกเขาเหล่านั้น จะสามารถช่วยรันธุรกิจของคุณให้เติบโตได้ และนี่ก็คือ 4 ขั้นตอน ในการจับเงินล้านแรกสไตล์ Grant Cardone

ขั้นตอนที่ 1 – ตั้งเป้าหมาย (Target)

การทำเงินให้ได้ 1 ล้านนั้น มีได้หลายรูปแบบ เช่น

  • นาย A ขายของชิ้นละ 1 บาท ให้คนจำนวน 1,000,000 คน
  • นาย B ขายของชิ้นละ 10 บาท ให้คนจำนวน 100,000 คน
  • นาย C ขายของชิ้นละ 100 บาท ให้คนจำนวน 10,000 คน
  • นาย D ขายของชิ้นละ 1,000 บาท ให้คนจำนวน 1,000 คน
  • นาย E ขายของชิ้นละ 10,000 บาท ให้คนจำนวน 100 คน
  • นาย F ขายของชิ้นละ 100,000 บาท ให้คนจำนวน 10 คน
  • นาย G ขายของชิ้นละ 1,000,000 บาท ให้คนจำนวน 1 คน

จะเห็นได้ว่าแต่ละคนนั้นมีความฝันเดียวกันคือ ทำเงินให้ได้ 1 ล้านบาท แต่สิ่งที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงก็คือ กลุ่มเป้าหมายที่จะขายสินค้าของแต่ละคนนั้น เป็นคนละกลุ่มกัน เพราะเมื่อสินค้ามีราคาที่สูงขึ้น ในแต่ละกลุ่ม ลูกค้าก็จะมีฐานรายได้หรือกำลังซื้อที่แตกต่างกัน เช่น สินค้าของนาย D เน้นขายคนวัยทำงานประจำทั่วไปที่มีรายได้กลาง ๆ แต่ในขณะที่ลูกค้าของนาย F นั้น เป็นกลุ่มของผู้บริหารหรือเจ้าของธุรกิจ เป็นต้น

ดังนั้น คุณต้องเอาให้ชัดว่า สินค้าหรือบริการที่คุณจะขายนั้น คุณต้องการจะขายให้ใคร เพราะหากนำสินค้าเป็นแสนเป็นล้าน ไปเสนอขายให้กับ นักเรียน นักศึกษา หรือพนักงานออฟฟิศที่พึ่งเริ่มต้นทำงาน ก็ยากที่จะปิดการขายได้ เนื่องจากพวกเขาไม่มีกำลังซื้อมากขนาดนั้น

ขั้นตอนที่ 2 – รายได้ (Income)

Grant Cardone ได้บอกแบบมั่นใจสุด ๆ เอาไว้ว่า เขาสามารถการันตีหรือทำนายได้ว่า หากคุณสามารถเก็บเงินเป็นจำนวน 40 เปอร์เซ็นต์ ของรายได้ทั้งหมดก่อนหักค่าใช้จ่ายอื่นใดที่คุณได้รับในแต่ละครั้ง คุณจะเป็นเศรษฐีเงินล้านอย่างแน่นอน

หลายคนถึงกับร้องอุทานว่าบ้าไปแล้ว เพราะทุกวันนี้ ยังไม่ทันได้ออม ยังไม่ค่อยจะพอใช้จ่ายเลย ซึ่ง Grant Cardone บอกเอาไว้ว่า “ผมไม่ได้บอกนะว่ามันทำกันง่าย ๆ เพราะมันทำได้ยากมาก แต่การันตีได้เลยว่าถ้าคุณทำได้ คุณได้จับเงินล้านอย่างแน่นอน”

ทีนี้ลองมาดูตัวอย่างคร่าว ๆ ในการคำนวณเงินที่คุณต้องจ่ายตัวเองก่อนเป็นอันดับแรกกัน ซึ่งคำว่า “จ่ายให้ตัวเองก่อนในทีนี้ ไม่ได้หมายถึงเอาเงินนั้นไปกิน เที่ยว เล่น แต่เป็นการเก็บเงินสด ๆ เอาไว้ให้ตัวเอง” ตัวอย่างเช่น

  • หากคุณมีรายได้เดือนละ 30,000 บาท จำนวนเงินเก็บ 40% = 12,000 บาท และคุณจะเหลือเงินเอาไว้ใช้จ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ ค่ากิน ค่าอยู่ หนี้สิน ภาษี ฯลฯ ได้จำนวน 18,000 บาท (หรือแค่คุณเก็บแบบนี้ต่อเนื่องกันเป็นเวลา 7 ปี คุณก็จะมีเงินล้านเช่นกัน)
  • หากคุณมีรายได้เดือนละ 50,000 บาท จำนวนเงินเก็บ 40% = 20,000 บาท และคุณจะเหลือเงินเอาไว้ใช้จ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ ค่ากิน ค่าอยู่ หนี้สิน ภาษี ฯลฯ ได้จำนวน 30,000 บาท (หรือแค่คุณเก็บแบบนี้ต่อเนื่องกันเป็นเวลา 4 ปี คุณก็จะมีเงินล้านเช่นกัน)
  • หากคุณมีรายได้เดือนละ 100,000 บาท จำนวนเงินเก็บ 40% = 40,000 บาท และคุณจะเหลือเงินเอาไว้ใช้จ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ ค่ากิน ค่าอยู่ หนี้สิน ภาษี ฯลฯ ได้จำนวน 60,000 บาท (หรือแค่คุณเก็บแบบนี้ต่อเนื่องกันเป็นเวลา 2 ปี คุณก็จะมีเงินล้านเช่นกัน)

จะเห็นได้ว่า ในกรณีที่คุณจ่ายให้ตัวเองก่อนทันที 40% เมื่อคุณมีรายได้ที่เพิ่มมากขึ้น คุณก็ยังคงมีเงินใช้จ่ายฟุ่มเฟือยได้แบบเหลือเฟือ แต่คนส่วนใหญ่กลับไม่ยอมจ่ายให้ตัวเองก่อน สุดท้ายก็จะเข้าวงจรอุบาทที่เรียกว่า “ต่อให้หาเงินได้เยอะเท่าไหร่ มันก็ไม่เหลือ” เพราะเมื่อคุณมีรายได้เพิ่มขึ้น คุณจะพยายามใช้จ่ายเพิ่มขึ้นโดยอัตโนมัติ ดังนั้น หากคุณยังไม่มีเงินสดในบัญชีเป็นสิบล้านร้อยล้านแล้วล่ะก็ อย่าพึ่งซื้อของฟุ่มเฟือย ให้ใช้ชีวิตเหมือนตอนที่คุณยังมีรายได้น้อย ๆ อยู่

คุณอาจจะเคยได้ยินเรื่องราวที่ว่า High Profile Low Profit BUT High Profit Low Profile หมายถึง บางคนที่เราเห็นภายนอกเขาดูรวย ใส่ของแบรนด์เนม กินแต่ของแพง ๆ นั้น เงินในบัญชีเขาอาจจะติดลบจากการรูดบัตรเครดิตเต็มวงเงินก็เป็นได้ แต่ในขณะที่บางคน แต่งตัวธรรมดา ๆ ไม่ได้ใส่เสื้อผ้าแบรนด์เนม กินข้าวง่าย ๆ อาจมีเงินในบัญชีสิบล้าน ร้อยล้าน ก็เป็นได้

ขั้นตอนที่ 3 – การลงทุน (Investment)

ต่อเนื่องกันเลยจากขั้นตอนที่ 2 เงินที่จ่ายให้ตัวเองก่อนจำนวน 40% ที่คุณรวบรวมมันเอาไว้ มันถึงเวลาที่ใช้ให้เกิดประโยชน์แล้ว ซึ่งคุณอาจจะเคยได้ยินคำว่า “ใช้เงินทำงาน” ก็คือขั้นตอนนี้นี่เอง

Grant Cardone ได้บอกเอาไว้ว่า เงินมันไม่มีค่าอะไรเลย ถ้ามันไม่ได้ถูกนำมาใช้ ดังเช่นประโยคที่ว่า “เงินสำคัญมากในเรื่องที่ต้องใช้เงิน และเงินจะไม่สำคัญอะไรเลยสักกะนิด ในเรื่องที่ไม่จำเป็นต้องใช้มัน” ดังนั้น เงินจะมีค่าก็ต่อเมื่อ มันถูกใช้ในที่ ๆ ถูกต้อง ซึ่งมันก็ขึ้นอยู่กับว่า คุณจะลงในสิ่งใด ซึ่งสิ่งที่ Grant Cardone แนะนำก็คือ จงลงทุนในสิ่งที่คุณรู้จักและศึกษามันมาเป็นอย่างดี ตัวอย่างเช่นของ Grant Cardone เอง เขาถนัดที่จะลงทุนในอสังหาฯ มากกว่าการลงทุนในหุ้นหรือ Bit Coin

และกฏการลงทุนง่าย ๆ ของ Grant มีด้วยกัน 3 ข้อก็คือ

  1. อย่าเสียเงินก้อนนี้เด็ดขาด
  2. อย่าเสียเงินก้อนนี้เด็ดขาด
  3. อย่าเสียเงินก้อนนี้เด็ดขาด

หลายคนอาจจะคิดว่า การฝากเงินในธนาคารเป็นการออม เพราะได้ดอกเบี้ย แต่หารู้ไม่ว่า หากคุณทิ้งเงินไว้ในธนาคารเฉย ๆ ท้ายที่สุดเงินคุณจะค่อย ๆ มีมูลค่าที่ลดลงเนื่องจาก “ค่าเงินเเฟ้อ” ซึ่งลำพังเพียงดอกเบี้ยเงินฝากของธนาคารนั้น ไม่สามารถเอาชนะเงินเฟ้อได้ เพราะธนาคารอย่างมากก็ได้ดอกเบี้ย 1-2% แต่ในขณะที่เงินเฟ้ออยู่ที่ 3-4% ยกตัวอย่างง่าย ๆ ว่าเงินมันจะลดค่าหน้าตาเป็นอย่างไร

ตัวอย่างเช่น เมื่อก่อนเรามีเงินในกระเป๋า 100 บาท เราสามารถซื้อก๋วยเตี๋ยวชามละ 25 บาท ได้ถึง 4 ชาม แต่ ณ ปัจจุบันเรากลับซื้อก๋วยเตี๋ยว(เจ้าเดิม เมนูเดิม)ได้เพียง 2 ชาม เนื่องจากราคาปัจจุบนตกชามละ 50 บาท

หลักในการลงทุน ก็เหมือนกับนิทานเรื่อง “ห่านทองคำ” ซึ่งเงินที่เราเก็บเอาไว้จำนวน 40% ในขั้นตอนที่ 2 เปรียบเสมือนแม่ห่าน และหน้าที่ของเราก็คือ ทำยังไงก็ได้ ให้ห่านตัวนี้ออกไข่มาเป็นทองคำ แล้วเราก็เก็บไข่ทองคำนั้นมากินมาใช้ประโยชน์ ซึ่งแน่นอนว่า บางคนก็เลือกที่จะนำแม่ห่านตัวนั้นไปต้ม ยำทำแกงกินได้ ซึ่งแน่นอนว่า คุณก็จะไม่มีแม่ห่านคอยออกไข่ทองคำให้อีกต่อไป

ขั้นตอนที่ 4 – มีกระแสเงินสดจากทรัพย์สิน (Passive Income)

และแล้วก็มาถึงขั้นตอนสุดท้าย หลังจากที่ผ่านความยากลำบากมาอย่างหนักหนาสาหัส ไม่ว่าจะเป็นความยากในช่วงที่สะสมเงินจำนวน 40% จากรายได้ทั้งหมด ซึ่งในช่วงนี้ต้องเรียกว่า ใช้ชีวิตแบบรัดเข็มขัดกันเลยทีเดียว ต่อในช่วงที่คุณเริ่มลงทุน ช่วงนี้ Grant Cardone แนะนำว่า คุณอย่าพึ่งซื้อนู่นนี่นั่น โดยเฉพาะของใหญ่ ๆ อย่างบ้าน ให้คุณเช่าอยู่ก็พอ อย่าพึ่งรีบร้อนตัดสินใจซื้อ เพราะมันจะกลายเป็นภาระของคุณไปอีกหลายสิบปี

แต่ให้คุณอดทนรอจนกระทั่ง ห่านของคุณเริ่มออกไข่ทองคำ ซึ่งเจ้าไข่ทองคำนี้ ก็คือรายได้จริง ๆ ของคุณสักที โดยคุณสามารถนำเงินก้อนนี้ไปใช้จ่ายอะไรก็ได้ตามที่คุณต้องการ โดยที่ไม่ต้องคิดหรือกังวลใด ๆ ทั้งสิ้น แต่คุณต้องมั่นใจว่า ห่านของคุณจะยังคงออกไข่ทองคำในทุก ๆ เดือน อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งเงินก้อนนี้หลาย ๆ คนเรียกมันว่า เงินเพื่ออิสรภาพ หรือ เกิดอิสรภาพทางการเงินกับตัวคุณเรียบร้อยแล้ว

 

 

Resource