Blue O'Clock

สตูดิโอผลิตและพัฒนาสื่อการเรียนรู้ด้านการลงทุน ธุรกิจ จิตวิทยาและการพัฒนาตนเอง อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

How to

7 ทักษะที่จำเป็นต้องมีที่จะทำให้คุณกลายเป็นเศรษฐีที่ร่ำรวย

หลายคนบ่นว่า เงินไม่พอใช้ ทำไมฉันไม่รวยสักกะที ทำไมเงินหายากจัง ซึ่งก็จะลามต่อมาถึงว่า ก็เพราะฉันไม่มีเงินนี่แหละ ฉันจึงไม่สามารถเริ่มต้นทำธุรกิจได้สักกะที เพราะถ้ามีเงิน ฉันจะทำนู่น ฉันจะทำนี่ แต่เพราะฉันไม่มีเงินนี่แหละจึงทำอะไรไม่ได้

แต่ Dan Lok ที่ปรึกษานักธุรกิจร้อยล้าน ได้ให้คำแนะนำว่า เหตุผลที่คุณไม่เงินนั้น มันไม่ใช่ปัญหา มันเป็นเพียงแค่อาการที่แสดงออกมาจากปัญหาที่แท้จริง ซึ่งปัญหาที่แท้จริง ไม่ใช่การไม่มีเงิน แต่เป็นเพราะทักษะในการหาเงินของคุณนั้นมีปัญหาต่างหาก

คุณคงเคยได้ยินเรื่องเล่ามาบ้างเรื่องเกี่ยวกับสามล้อถูกหวย ที่ถูกหวยหลายสิบล้าน แต่ปรากฏว่า ภายในปีเดียว สามล้อคนนั้น กลับใช้เงินที่ว่านั้นไปหมดแล้ว แถมตอนนี้ เป็นหนี้เยอะยิ่งกว่าเดิมซะอีก ซึ่งคุณจะเห็นได้ว่า ต่อให้คุณมีเงินมากมายแค่ไหนก็ตาม แต่หากคุณไม่มีทักษะในการจัดการกับเงิน สุดท้ายเงินก็หมดอยู่ดี ซึ่ง Dan Lok ได้บอกเอาไว้ว่า ที่เขาร่ำรวยนั้น ไม่ใช่เพราะเขามีเงินเยอะหรือได้รับมรดกมา เพราะตอนที่เขาเริ่มต้นทำธุรกิจนั้น เขาเป็นหนี้อยู่หลายล้าน แต่ที่เขามีได้ทุกวันนี้ ก็เพราะ เขาได้พัฒนาทักษะที่คนรวยเขามีกัน โดยฝึกให้เชี่ยวชาญและชำนาญมากยิ่งขึ้น ทักษะเหล่านั้น มันก็จะช่วยให้คุณมีเงินมากขึ้น ร่ำรวยมากยิ่งขึ้น มั่นคงมากยิ่งขึ้นนั่นเอง

ทักษะที่ 1 –  การปิดการขาย (Closing)

การขายคือการที่คุณสามารถโน้มน้าวลูกค้าควักเงินจากกระเป๋าของพวกเขาเพื่อแลกกับสินค้าหรือบริการที่คุณมีอยู่ ซึ่งทักษะนี้ถือได้ว่า เป็นหนึ่งในทักษะที่สำคัญที่สุดอันหนึ่ง ที่คุณจำเป็นต้องฝึกฝนให้เชี่ยวชาญ เพราะทุกธุรกิจจะอยู่รอดได้เมื่อเกิดการขาย หากไม่มีการซื้อขายเกิดขึ้น ธุรกิจก็ไม่สามารถอยู่รอดได้

ดังนั้นคุณลองสำรวจตัวเองก่อนว่า คุณรู้สึกอย่างไร เวลาที่คุณพูดขายสินค้ากับลูกค้า คุณรู้สึกอย่างไรเวลาที่ต้องนำเสนอไอเดียธุรกิจ ไอเดียสินค้าแก่คนแปลกหน้า คุณรู้สึกอย่างไร หากคุณรู้สึกว่าเวลาที่พูดเกี่ยวกับเรื่องการขายแล้วยังดูไม่เป็นธรรมชาติ ยังดูหวาดกลัว ยังดูคะ ๆ เขิน ๆ อยู่แล้วล่ะก็ คุณต้องรีบพัฒนาและฝึกฝนให้เชี่ยวชาญให้เร็วที่สุด

ทักษะที่ 2 – การพูดในที่สาธารณะ (Public Speaking)

หลายคนกลัวการพูดในที่ชุมชนหรือต่อหน้าคนเยอะ ๆ ซึ่งอาจจะกังวลว่า เสียงพูดอาจจะไม่เพราะ, การแต่งตัวอาจจะไม่ค่อยดี, เรื่องที่คุณพูดคนไม่ค่อยสนใจ หรือกลัวการพูดผิด ๆ ถูก ๆ ซึ่ง Dan Lok ก็เคยเป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน เพราะเขาเป็นคนฮ่องกงโดยกำเนิด และตอนที่อพยพมาที่อเมริกานั้น เขาพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย ซึ่งเขาก็เข้าเรียนหลายคอร์สมาก ๆ ที่เกี่ยวกับการพูดภาษาอังกฤษและการพูดในที่สาธารณะ เพื่อให้สำเนียงการพูดใกล้เคียงกับเจ้าของภาษามากที่สุด ซึ่งแม้ว่าจะไม่เหมือนเป๊ะ ๆ แบบ 100% แต่นับว่าเข้าขั้นดีมาก เมื่อเทียบกับคนต่างชาติที่พยายามพูดภาษาอังกฤษ

และคุณจะสังเกตได้ว่านักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จระดับโลกนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นคนที่สามารถพูดในที่สาธารณะได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็น Steve Jobs, Bill Gates, Warren Buffett หรือแม้กระทั่ง Jack Ma ซึ่งเขาเคยให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวว่า เขาคิดว่าเขาเจ๋งกว่า Bill Gates อย่างน้อยก็ตรงที่ เขาพูดได้ทั้งภาษาจีนและภาษาอังกฤษ แต่ในขณะที่ Bill Gates นั้นพูดได้แต่ภาษาอังกฤษเพียงเดียว พูดภาษาจีนไม่ได้

ทักษะที่ 3 – การเขียนคำโฆษณา (Copywriting)

ในที่นี้ Dan Lok ไม่ได้หมายถึงการเขียนเรียงความ การเขียนกลอนให้ไพเราะเสนาะหู หรือแม้กระทั่งการสะกดคำให้ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์แบบเป๊ะ ๆ เพราะการเขียน Copywriting ในที่นี่ก็คือ การเขียนเพื่อสื่อสารกับกลุ่มคนในภาษาเดียวกันกับพวกเขา ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดายเพราะเรื่องนี้กลับไม่มีการเรียนการสอนในโรงเรียน

คุณอาจเคยเห็นโฆษณาที่มีขอทานที่ตาบอด กำลังนั่งขอทาน โดยเขียนข้อความตั้งไว้ตรงหน้าตัวเองว่า “I’m blind, please help.” ซึ่งมีแต่คนเดินผ่านไปผ่านมา โดยที่แทบไม่มีใครสนใจที่จะหยอดเหรียญบริจาคให้กับชายคนนี้เลย จนกระทั่งมีหญิงสาวคนหนึ่งเดินผ่านมาและก้มลงเพื่อเขียนอะไรบางอย่างลงบนป้ายที่ตั้งอยู่หน้าของชายตาบอดคนนั้น แล้วเดินจากไปโดยที่ไม่ได้ให้เศษเหรียญใด ๆ แก่ชายตาบอดคนนี้เลย แต่หลังจากที่หญิงสาวดังกล่าวเดินจากไป ทันใดนั้น ก็กลับมีผู้คนหลั่งไหล บริจาคเศษเหรียญอย่างมากมายและเต็มกระป๋องขอทานอย่างรวดเร็วอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ซึ่งหลังจากที่หญิงสาวคนนั้นเดินผ่านมาอีกครั้งหนึ่ง ชายตาบอดจึงได้ถามหญิงสาวคนนั้นว่า “คุณทำอะไรกับป้ายของผม” หญิงสาวคนนั้นเลยตอบไปว่า ก็เขียนความหมายอย่างเดียวกับที่คุณเขียนไว้ก่อนหน้านี้นี่แหละ เพียงแต่ใช้คนละคำก็เท่านั้นเอง ซึ่งสิ่งที่หญิงสาวคนนั้นเขียนก็คือ “It’s a beautiful day and I can’t see it.”

ทักษะที่ 4 – การเป็นผู้นำ (Leadership)

การทำธุรกิจคือการทำงานเป็นทีม หากเปรียบธุรกิจเป็นกีฬาชนิดหนึ่ง ซึ่งมันเป็นกีฬาที่ไม่ใช่เล่นแบบเดี่ยว แต่เป็นกีฬาที่ต้องเล่นกันเป็นทีม (ซึ่งแม้แต่กีฬาหลายประเภทที่แม้มีนักกีฬาลงแข่งขันเพียงคนเดียว แต่หารู้ไม่ว่าเบื้องหลังประกอบไปด้วยทีมงานนับสิบนับร้อยชีวิต เช่น โค้ช ผู้จัดการ นักกายภาพบำบัด นักการตลาด นายทุน ฯลฯ) และในฐานะที่คุณเป็นผู้นำขององค์กร คุณจำเป็นที่จะต้องสื่อสารวิสัยทัศน์ของคุณให้ทุกคนในทีมเข้าใจตรงกัน โดยคุณมีหน้าที่ที่จะต้องสร้างความเชื่อมั่น สร้างแรงบันดาลใจ กระตุ้นทีมงาน เพื่อให้เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ในการนำพาธุรกิจให้สู่ความสำเร็จ

ทักษะที่ 5 – การบริหารเวลา (Time Managment)

ทุกคนล้วนแล้วเกิดมามีเวลาเหมือน ๆ กัน ก็คือ ในแต่ละวันจะมีเวลาเท่ากับ 24 ชั่วโมง เท่ากัน ดังนั้นหากให้เวลาแก่คนสองคนที่เริ่มต้นจากศูนย์เหมือนกัน การที่ใครคนหนึ่งไปถึงเส้นชัยก่อน ก็ขึ้นอยู่กับว่า เวลาที่คน ๆ นั้นจะใช้ ใช้อย่างไรให้เกิดประโยชน์มากที่สุด และการที่จะใช้เวลาไปทำในแต่ละสิ่งนั้น ก็ต้องสอดคล้องกับเป้าหมายหรือเส้นชัยข้างหน้าที่ต้องการด้วย

และนอกจากจะต้องบริหารเวลาให้เป็นแล้ว ยังต้องบริหารเวลาให้ดีด้วย การจัดลำดับความสำคัญของงานแต่ละชิ้น ว่าอันไหนเป็นเรื่องสำคัญและเร่งด่วนมากกว่ากัน ซึ่งการเรียงลำดับงานที่ดีควรจะเป็น

  • สำคัญและเร่งด่วน
  • ไม่สำคัญและเร่งด่วน
  • สำคัญแต่ไม่เร่งด่วน
  • ไม่สำคัญและไม่เร่งด่วน

ทักษะที่ 6 – ความฉลาดทางการเงิน (Financial Literacy)

ในชีวิตจริงนั้น ตั้งแต่เกิดยันตาย ทุกคนมีเรื่องที่ล้วนแล้วที่เกี่ยวข้องกับเงินแทบทั้งสิ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย ที่เรื่องของเงินนั้น ไม่ได้เป็นหนึ่งในหลักสูตรที่ถูกบรรจุไว้ในหลักสูตรจำเป็นที่ทุกคนต้องเรียน แต่ในโรงเรียนกลับสอนแต่เพียงว่า จะทำอย่างไรให้ได้เกรด 1, 2, 3 หรือ 4 แต่ ทั้ง ๆ ที่ความเป็นจริงนั้น สถานะทางเงินของคุณคือคะแนนหรือเกรดที่นำมาใช้ในชีวิตจริง ไม่ว่าจะในฐานะคนทำงานออฟฟิศหรือคนที่ทำธุรกิจส่วนตัวก็ตามที เพราะเวลาที่คุณไปขอกู้เงินจากธนาคาร แน่นอนว่าธนาคารก็ต้องขอดู Statement ในสมุดบัญชีธนาคารของคุณ คงไม่ใครธนาคารไหนขอดูใบเกรดของคุณแน่ ๆ

ซึ่งในทีนี้ คุณไม่จำเป็นถึงขนาดที่จะต้องไปลงเรียนเพื่อเป็นผู้สอบบัญชีมีปริญญาตรีด้านการเงินโดยเฉพาะ แต่สิ่งที่คุณจำเป็นต้องเรียนรู้ก็คือ การเข้าใจในภาษาของการเงิน เช่น Balance Sheet, Income Statement หรือ Cash Flow Statement ซึ่งข้อมูลทางการเงินเหล่านี้ ก็มักจะมีศัพท์แสงแปลก ๆ ที่คุณต้องทำความเข้าใจเพิ่มเติมว่ามันหมายถึงอะไร เช่น Credit Score, Return on investment (ROI), Profit & Loss, Capital Gain, Capital Loss, Depreciation หรืออะไรก็ตามที่มันสามารถวัดผล ออกมาเป็นตัวเลขได้ เพราะคุณไม่สามารถวัดได้ หากสิ่งนั้นไม่มีตัวเลข

ทักษะที่ 7 – จัดการกับความคิดตัวเอง (Manage Your Mindset)

ทักษะข้อที่ 7 นี้ ถือเป็นทักษะที่สำคัญที่สุดในบรรดาทั้งหมดที่กล่าวมา ซึ่งหากคุณไม่มีทักษะในข้อนี้ ทักษะที่ผ่านมาจะไม่มีความสำคัญเลยแม้แต่น้อย เพราะผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นนั้น เกิดขึ้นมาจากการกระทำอะไรสักอย่าง ที่การกระทำนั้น ถูกคิดและไตร่ตรองมาจากสมองของเรา ดังนั้น จะเห็นได้ว่า ต้นทางของผลลัพธ์คือความคิด หากความคิดผิดแต่แรก ผลลัพธ์ที่ได้ออกมานั้นก็จะผิดไปด้วยนั่นเอง

ดังนั้น หน้าที่ของเราก็คือ เราจะต้องควบคุมความคิดของตัวเองให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์รัก โลภ โกรธ หลง คิดบวก คิดลบ ความกลัว ความเชื่อ ฯลฯ ยกตัวอย่างเช่น หากคุณไม่เชื่อว่า เป้าหมายที่คุณตั้งเอาไว้ มันไม่สามารถเป็นไปได้ตั้งแต่แรก คุณก็จะไม่เสาะหา พยายามหรือขวนขวายทำให้มันเกิดขึ้นจริง

Resource