Blue O'Clock

สตูดิโอผลิตและพัฒนาสื่อการเรียนรู้ด้านการลงทุน ธุรกิจ จิตวิทยาและการพัฒนาตนเอง อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

How to

7 วิธีที่มาของรายได้ที่คุณต้องรู้หากอยากเป็นเศรษฐี

สาเหตุที่ Dan Lok ได้สอนเรื่องวิธีการที่คุณจะได้มาซึ่งรายได้และเงินทองที่คนเรามีโอกาสได้รับนั้น มีวิธีการที่แตกต่างกันถึง 7 วิธี ซึ่งระหว่างคนที่ประสบความสำเร็จกับคนที่ถังแตกหลังวัยเกษียณนั้น มีวิธีการที่ได้รายได้ที่แตกต่างกัน และหากเราต้องการที่จะประสบความสำเร็จทางด้านการเงินและไม่ถังแตกหลังเกษียณไปแล้ว เราจะต้องมีรายได้ด้วยวิธีการใดบ้าง แต่ก่อนอื่น เรามารู้จักวิธีการต่าง ๆ ทั้ง 7 วิธี ดังนี้

วิธีที่ 1 – การได้รับเงินตามจำนวนชั่วโมงในการทำงาน (Pay Per Hour)

เราอาจจะคุ้นเคยกับการจ่ายค่าแรงด้วยวิธีนี้ หากใครที่เคยเป็นนักศึกษาฝึกงานหรือเป็นพนักงานฝึกหัดที่ร้านอาหารฟาร์ดฟู้ด ที่จะได้รับค่าแรงตามชั่วโมงที่ทำงาน ยกตัวอย่างเช่น หากที่ทำงานให้ค่าจ้างที่ชั่วโมงละ 40 บาท หากทำงานเป็นเวลา 8 ชั่วโมง ก็จะได้ค่าแรงอยู่ที่ 40×8 = 320 บาท นั่นเอง ซึ่งการได้รับรายได้ด้วยวิธีนี้ ถือว่าได้น้อยสุดในบรรดาทั้ง 7 วิธี ที่กล่าวถึงในที่นี้

วิธีที่ 2 – การได้รับเงินแบบรายสัปดาห์หรือแบบรายเดือน (Pay Per Week/Month)

หรือที่เราคุ้นเคยกันก็คือ Salary หรือเงินเดือนนั่นเอง ซึ่งเราจะได้รับก็ต่อเมื่อเราทำงานจนถึงสุดสัปดาห์หรือสิ้นเดือน จากนั้นเราจึงจะได้รับเงินก้อนนี้ ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นกับสองวิธีแรกที่กล่าวมาก็คือ ในระบบการศึกษาของโรงเรียนที่เราถูกสอนมานั้น มุ่งเน้นให้เราได้รับรายได้หลัก ๆ จากสองวิธีนี้ซะมากกว่า

ซึ่ง Dan Lok ได้บอกเอาไว้ว่า คนที่ประสบความสำเร็จด้านการเงินส่วนใหญ่นั้น พวกเขามักจะมีรายได้จาก 5 วิธีที่เหลือต่อจากนี้

วิธีที่ 3 – การได้รับเงินต่อโครงการ (Pay Per Project)

ซึ่งการได้เงินในรูปแบบนี้ เรามักจะเห็นได้จากคนที่ทำงานอิสระ อาจเป็นฟรีแลนซ์หรือเหล่าบรรดานายตัวเอง ที่มักจะได้รับการว่าจ้างแบบเป็นโปรเจค โดยการส่งมอบงานให้กับอีกฝ่ายได้ครบถ้วนตามที่ตกลงกันเอาไว้แต่แรก ยกตัวอย่างเช่น การเป็นผู้เชี่ยวชาญพิเศษที่ให้คำปรึกษา ซึ่งอาจตกลงกันว่า จะให้คำปรึกษาอะไรบ้างและมีระยะเวลาโครงการนานกี่เดือน 2 หรือ 3 เดือน ก็ว่ากันไป

วิธีที่ 4 – การได้รับเงินอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ (Pay By Recurring)

โมเดลรายได้รูปแบบนี้ ถือว่าเป็นหนึ่งในวิธีที่ฟินสุด ๆ วิธีหนึ่ง เนื่องจากการที่คุณได้รับเงินอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอในทุก ๆ เดือน แม้ว่าคนที่จ่ายเงินจะใช้หรือไม่ใช้บริการนั้น ๆ ก็ตามที ยกตัวอย่างเช่น NETFLIX ผู้ให้บริการเช่าดูภาพยนตร์รายเดือน ซึ่งเก็บค่าสมาชิกรายเดือน เฉลี่ยเดือนละ 350 บาท ซึ่งหลังจากที่ลูกค้าจ่ายเงินแล้ว ไม่ว่าเขาจะเข้ามารับชมหรือไม่ก็ตาม แต่เจ้าของ NETFLIX ก็ยังคงได้เงิน 350 บาท เต็มจำนวนอยู่ดี

หรือลองดูอีกสักตัวอย่างจากธุรกิจที่มีหน้าร้านอย่าง ธุรกิจฟิสเนส ที่ให้บริการสำหรับสมาชิกสามารถเข้ามาเล่นอุปกรณ์ใด ๆ ก็ได้ โดยจ่ายค่าใช้บริการที่ทางเข้า ซึ่งหากเป็นโมเดลรายได้แบบเดิม ๆ ก็คือ การเก็บค่าบริการที่ทางเข้าเป็นครั้งคราวไป ซึ่งคนส่วนใหญ่มักไม่ได้มาออกกำลังกันทุกวัน แถมสถานที่ก็สามารถรองรับคนได้เพียงไม่กี่คน โดย Dan Lok ได้ยกตัวอย่างจากการให้คำแนะนำกับเพื่อนของเขาที่ทำธุรกิจฟิสเนสที่มาปรึกษาเขาว่า จะเพิ่มยอดขายอย่างไรดี ในเมื่อสถานที่ก็สามารถรองรับคนได้อย่างจำกัด ซึ่ง Dan Lok ได้ให้คำแนะนำไปว่า ลองเก็บค่าสมาชิกแบบรายเดือนหรือรายปี โดยให้ราคาพิเศษกับลูกค้าไปเลย เช่น ถ้าค่าใช้บริการต่อครั้งอยู่ที่ 100 บาทต่อครั้ง ก็เสนอไปเลยว่า ถ้าเป็นสมาชิกรายเดือน ค่าบริการเพียง 999 บาท ซึ่งใช้วิธีโน้มน้าวลูกค้าว่า มาออกกำลังเพียงเดือนละ 10 ครั้งก็กำไรแล้ว ซึ่งเอาเข้าจริงลูกค้าส่วนใหญ่ร้อยละ 80 มาใช้บริการไม่ถึง 10 ครั้งด้วยซ้ำไป แต่เจ้าของผู้ให้บริการก็ยังคงได้เงินเต็มจำนวนอยู่ดี

ซึ่งแม้ว่าว่าฟิสเนสของเขาจะรองรับคนได้ในคราวเดียวไม่เกิน 500 คน แต่เขาสามารถขายสมาชิกได้มากกว่า 1500 คน ซึ่งมีความเป็นไปได้น้อยมากที่คนทั้ง 1500 คน จะมาเล่นเฟสเนสในวันเดียวกัน

วิธีที่ 5 – การได้รับเงินจากค่าลิขสิทธิ์ (Pay By Royalties)

หากพูดถึงการได้รับเงินจากค่าลิขสิทธิ์ หลายคนจะคุ้นเคยกับค่าลิขสิทธิ์จากหนังสือ ซึ่งส่วนแบ่งค่าลิขสิทธิ์ต่อการขายหนังสือเล่มนึงนั้น อาจจะไม่ได้มากมายอะไร แต่ก็มีนักเขียนรายหนึ่งที่สามารถเป็นมหาเศรษฐีได้จากการเขียนนิยาย นั่นก็คือ J. K. Rowling ผู้เขียนนิยายชื่อดังอย่าง Harry Potter ซึ่งเธอได้รับค่าลิขสิทธิ์หลายช่องทาง ไม่ใช่เฉพาะจากการขายหนังสือเพียงอย่างเดียว เพราะไม่ว่าใครที่นำเรื่องราวหรือตัวละครในหนังสือของเธอไปใช้ เธอก็จะได้รับส่วนแบ่งจากค่าลิขสิทธิ์นั้นทุกครั้ง เช่น จากภาพยนตร์, จากของสะสม, จากของเล่น+โมเดลรูปปั้น(ที่ถูกลิขสิทธิ์ของแท้) ซึ่งรายได้เหล่านั้น มันก็ส่งผลให้ J. K. Rowling กลายเป็นนักเขียนที่ร่ำรวยที่สุดในโลก ที่มีรายได้ทะลุ $1,000 ล้านไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

วิธีที่ 6 – การได้รับเงินจากการทำธุรกรรม (Pay By Transactions)

จะเรียกให้เข้าใจง่าย ๆ ก็น่าจะเป็นรายได้จากค่าธรรมเนียมที่เกิดขึ้น ซึ่งทุกครั้งที่มีการทำธุรกรรมทางการเงินบางอย่างบนแพลตฟอร์มนั้น ๆ เจ้าของแแพลตฟอร์มก็จะได้รับค่าธรรมเนียมเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านั้น ซึ่งเจ้าค่าธรรมเนียมเล็ก ๆ น้อย ๆ นี่แหละ ที่ส่งผลให้เจ้าของแพลตฟอร์มกลายเป็นมหาเศรษฐีพันล้านมานักต่อนัก ยกตัวอย่างเช่น ระบบรับชำระเงินออนไลน์อย่าง paypal.com ที่ทุกครั้งมีการซื้อขายเกิดขึ้น ทาง paypal จะมีการหักค่าธรรมเนียมเอาไว้ ซึ่งแม้ว่าจะเป็นตัวเลขที่ไม่สูงมากนัก (แต่ผมก็ว่ามันสูงอยู่ดี) แต่ด้วยจำนวนผู้ใช้บริการจากทั่วโลกที่มีอย่างมหาศาล ที่ส่งผลให้บริษัทของ paypal นั้น มีมูลค่าในตลาดหลักทรัพย์สูงถึง 94 พันล้านเหรียญฯ หรือราว ๆ กว่า 3 ล้านล้านบาทเลยทีเดียว

หรือดูได้จากอีกตัวอย่างหนึ่ง จากเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซยักษใหญ่อย่าง Amazon.com ที่มีเจ้าของอย่าง Jeff Bezos ที่กลายเป็นมหาเศรษฐีอันดับ 1 ของโลกคนปัจจุบัน ซึ่งในทุก ๆ ครั้ง ที่มีคนซื้อขายกันบนเว็บไซต์ของเขา เขาก็จะได้ส่วนแบ่งทุก ๆ ธุรกรรมที่เกิดขึ้น และด้วยจำนวนการซื้อขายในแต่ละวันที่มีคนนับล้านช้อปปิ้ง จึงส่งผลให้เจ้าของแพลตฟอร์ม Amazon.com กลายเป็นมหาเศรษฐีอันดับ 1 ของโลกได้ในที่สุด

วิธีที่ 7 – การได้รับค่าตอบแทนตามผลงานที่ทำได้(Pay By Results)

Dan Lok ได้ยกตัวอย่างว่า สมมติว่าตัวเขาเองนั้น ได้เข้าไปช่วยบริษัทหนึ่งที่ปกติมียอดขายเฉลี่ยปีละ 50 ล้านบาท แต่เขาสามารถช่วยให้บริษัทเติบโตจนปีถัดมามีรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 100 ล้านบาท ซึ่งนั่นเท่ากับว่ามียอดขายเพิ่มขึ้นมาเท่าตัว โดยก่อนการเข้ามาทำงานของ Dan Lok ได้ตกลงกันเอาไว้ว่า เขาขอรับส่วนแบ่งจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นมาเป็นจำนวน 5 เปอร์เซ็นต์ นั่นเท่ากับว่า เขาจะได้รับเงินเป็นจำนวน 2.5 ล้านบาทนั่นเอง แต่ในทางตรงกันข้าม หากยอดขายไม่เพิ่มขึ้นเลย เขาก็จะไม่ได้รับส่วนแบ่งใด ๆ เช่นกัน

และนี่ก็คือ วิธีการทั้ง 7 ที่คุณจะได้มาซึ่งรายได้ที่จะผ่านเข้ามาในชีวิตของคนเรา และคนที่กลายเป็นมหาเศรษฐีที่ประสบความสำเร็จทางด้านการเงินนั้น ก็มักจะใช้ 5 วิธีหลังสุด ในการทำเงิน

ดังนั้น ถ้าวันนี้ เรายังมีแหล่งที่มาของรายได้เพียงวิธีที่ 1 หรือ 2 และต้องการที่จะประสบความสำเร็จทางด้านการเงิน จงเรียนรู้และพัฒนาทักษะการสร้างรายได้ในรูปแบบอื่น ๆ อีก 5 วิธี

สุดท้ายนี้ ลองแชร์กันหน่อยครับว่า เพื่อน ๆ แต่ละคน มีที่มาแหล่งรายได้กี่วิธีกันแล้ว และมีวิธีไหนกันบ้าง

 

Resources