Site icon Blue O'Clock

Bitcoin vs Gold ลงทุนแบบไหนดีกว่ากัน | การดีเบตระหว่างเจ้าพ่อบิตคอยน์ Michael Saylor กับเจ้าพ่อทองคำ Frank Giustra EP.2

Bitcoin vs Gold

จาก Episode 1 ครั้งที่แล้วเป็นการเปิดอภิปราย ทีนี้มาถึงหัวข้อแรกที่จะทำการอภิปรายก็คือ จงเปรียบเทียบข้อดีข้อเสียต่าง ๆ ระหว่าง Bitcoin และ Gold ใน 8 เรื่องดังต่อไปนี้

โดยหน้าที่ของ Michael Saylor ก็คือ ในหัวข้อที่ว่ามานั้น Bitcoin ดีกว่า Gold อย่างไรบ้างในมุมมองของการเป็น Asset ที่ดี

ซึ่ง Michael Saylor เริ่มด้วยการบอกว่า ในฐานะการขับเคลื่อนมวลมนุษยชาติในมุมมองของวิศวกร ถ้าพูดถึงในด้านวัสดุอย่าง หิน, เหล็ก, คอนกรีต, อลูมิเนียม, ซิลิกอน

ดังนั้นคุณไม่สามารถอยู่รอดได้ หากไม่เลือกองค์ประกอบที่เหมาะสม และ crypto หรือการเข้ารหัสเปรียบเสมือนเหล็กในยุคของศตวรรษที่ 21 นี้สำหรับเป็นองค์ประกอบของเศรษฐศาสตร์การเงิน และในฐานะของวิศกรก็จะต้องตอบให้ได้ว่า สิ่งใดคือสิ่งที่ถูกและสิ่งใดคือสิ่งที่ผิด

เริ่มต้นกันที่ Gold เป็นลำดับธาตุที่ 79 ตามตารางธาตุ เป็นโลหะในอุดมคติ ที่ไม่สามารถทำลายได้(ถ้าคุณลองเอามันไปหลอมด้วยความร้อนสุดท้ายพอมันเย็นลงก็กลายเป็นทองคำดังเดิม) มันมีความอ่อนนุ่ม มันมีเสน่ห์ที่น่าหลงใหล ผู้คนชอบมันมาก โดยเฉพาะเวลาที่นำมันไปทำเป็นเครื่องประดับได้อย่างยอดเยี่ยม

แต่มันไม่ใช่ Asset ทางการเงินที่สมบูรณ์แบบ เพราะ ทองคำสามารถหาเพิ่มได้ มันสามารถถูกยึดริดรอนได้ ไม่สะดวกต่อการพกพา แบ่งซอยย่อยเป็นชิ้นเล็ก ๆ ยาก แถมยังสามารถถูกปลอมแปลงได้ และนอกจากนั้นมันก็มีให้เลือกหลากหลายประเภทมาก ๆ เช่น ทองคำรูปพรรณที่เหมาะเอาไว้สวมใส่ ทองคำแท่งเหมาะเอาไว้สะสม หรือทองคำกระดาษที่เหมาะสำหรับคนที่ไม่ต้องการเก็บทองเอาไว้เอง โดยฝากทางร้านเอาไว้ และต้องใช้ความเชื่อใจระหว่างคุณกับเจ้าของร้านนั้นว่า เขาจะเก็บทองคำจริง ๆ ที่คุณทยอยออมเก็บไว้อยู่จริง ๆ หรือไม่

ในขณะที่ Bitcoin นั้นมันไม่ใช่เพียงแต่เป็น Asset นอกจากนั้นมันยังเป็น เครือข่ายที่เชื่อมต่อกันด้วย protocol กับคอมพิวเตอร์ทั่วโลก และเป็นเครื่องมือที่ประสบความสำเร็จระดับโลกที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการบันทึกการทำธุรกรรมทางการเงินแบบ real time ที่เกิดขึ้นจริง ที่สามารถขับเคลื่อนได้ด้วยตัวมันเองไม่ต้องมีคนควบคุม มันทำงานโดยชุดโปรแกรมคำสั่งคอมพิวเตอร์ที่มีความแน่นอน ทำงานอย่างตรงไปตรงมาและมีการเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใส เป็นระบบการกระจายอำนาจแบบไม่รวมศูนย์ ทุกคนบนโลกนี้สามารถร่วมกันตรวจสอบความถูกต้องของการทำแต่ละธุรกรรมได้ มีความปลอดภัยสูง มันไม่ต้องขออนุญาตใครในการดำเนินการ มันไม่สามารถเปลี่ยนรูปหรือปลอมแปลงได้ ใครก็ตามที่มีสมาร์ทโฟนเพียงแค่หลักพันบาทที่เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตอยู่ก็สามารถตรวจสอบความถูกต้องได้ มันเป็นของหายากเนื่องจากมันถูกจำกัดปริมาณเอาไว้ให้มีได้แค่เพียง 21 ล้านเหรียญ BTC เท่านั้น และมันสามารถแบ่งหน่วยย่อยเป็นจำนวนเล็ก ๆ ได้อย่างง่ายดาย โดยหน่วยเล็กที่สุดคือ 1 satoshi(sat) คือ 1 satoshi = 0.00000001 BTC และนอกจากนั้นมันยังทำการโอนมูลค่าหากันได้ในทันที ซึ่งสิ่งที่ว่ามานี้ ทองคำทำแทบไม่ได้เลย

และนั่นมันทำให้ Bitcoin มันเหมาะกับการเป็นทรัพย์สินทางการเงินที่สมบูรณ์แบบของมนุษยชาติ เพราะในโลกนี้เรายังไม่เคยมีทรัพย์สินที่บริสุทธิ์ขนาดนี้มาก่อน มันเปรียบเสมือนทองคำดิจิตอลที่ปราศจากข้อบกพร่องทางการเงิน

และนอกจากนั้นมันเป็นเครือข่ายที่เชื่อมต่อถึงกันทั่วโลก ที่ไม่ว่าใครที่ต้องการร่วมกันตรวจสอบความถูกต้องและร่วมกันรักษาความปลอดภัยก็สามารถทำได้ทุกคน ซึ่งมันเป็นการมอบอำนาจในการดข้าถึงการเงินให้กับผู้คนนับพันล้านคนทั่วโลก

และนอกจากนั้นมันยังสามารถสร้าง software ซับพอร์ทการทำงานของ Bitcoin ได้ใน layer ที่ 2 (นั่นก็คือ มันไม่ได้ไปเปลี่ยนระบบดั้งเดิมของ bitcoin แต่ทำให้ระบบที่นำมา plugin เชื่อมต่อเข้าไปใหม่นั้นส่งผลให้การทำงานของ bitcoin ดีขึ้น)

และมันกำลังเกิดปรากฎการณ์ viral ไปทั่วโลก ทุกในระดับ ไม่ว่าจะเป็นในระดับบุคคล ระดับบริษัทห้างร้าน หรือกระทั่งระดับประเทศ (ประเทศ El Salvador สามารถใช้ Bitcoin ชำระหนี้ได้ถูกต้องตามกฎหมายเป็นประเทศแรกของโลก) และมันจะมีความแข็งแกร่งและถูกพัฒนาในดีขึ้นในทุก ๆ วัน เพราะเนื่องจากมันเป็นซอร์แฟร์ที่สามารถอัพเกรดความสามารถได้

และด้วยความที่มันมี protocol เป็นองค์ประกอบในการขับเคลื่อน bitcoin ที่คอมพิวเตอร์สามารถเชื่อมถึงกันได้ทั่วโลก นั่นมันทำให้ bitcoin เหนือชั้นขึ้นไปอีก ที่ bitcoin นั้นสามารถเชื่อมต่อกับ application การเงินใด ๆ บนโลกใบนี้ด้วยความโปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ ยกตัวอย่างเช่น Square และ Paypal ที่เป็นแพลตฟอร์มการเงินระดับโลกที่เข้ามาเชื่อมต่อกับ Bitcoin

โดย Bitcoin มัน harder, smarter, faster และ stronger กว่าทองคำ ซึ่งสิ่งนี้หมายถึงอะไร

และนั่นคือเหตุผลว่าทำไม Bitcoin จึงเป็น Asset ที่เหนือกว่า Gold

และ Frank Giustra ก็มีเวลาโต้แย้งกับการอภิปรายของ Michael Saylor ที่ผ่านมาเมื่อสักครู่นี้ด้วยกัน 1 นาที โดย Frank ยอมรับว่า Bitcoin มันเป็นเทคโนโลยีที่ยอดเยี่ยมและเขาจะไม่เถียงในเรื่องนั้น แต่สิ่งที่เขาขอโต้แย็งก็คือ เขามองว่า Bitcoin มันทำธุรกรรมได้ช้าเกินไปหากมันจะกลายเป็นสิ่งที่คนทั้งโลกหันมาใช้กัน และนอกจากนั้นมันยังมีความผันผวนของราคาที่สูงมาก ดังนั้นเขาจึงมองไม่เห็นว่า Bitcoin มันจะโอนได้เท่าความเร็วแสงตามที่ Michael Saylor ได้เคลมเอาไว้

ในส่วนของทองคำจริง ๆ ที่จับต้องได้ กับทองคำกระดาษ อันนี้เขายอมรับว่าเขาก็ไม่ชอบทองคำกระดาษ ดังนั้นเขาจึงเก็บเฉพาะทองคำที่จับต้องได้จริง ๆ เท่านั้น พวก Gold ETF นี่เขาไม่ยุ่งด้วยเลย เพราะมันเป็นการทำสัญญาระหว่างสองบุคคล ซึ่งเขามองว่า Bitcoin ที่ทำธุรกรรมระหว่างสองบุคคลนั้นมันคือความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้หากมีใครเบี้ยวสัญญา

และในส่วนของด้านความปลอดภัยสูง เขาก็ยังคงไม่เชื่อมั่นว่ามันปลอดภัยจริง ๆ และไม่เหมาะกับการครอบครองเอาไว้ตราบใดที่รัฐบาลยังมองว่า Bitcoin นั้นเป็นภัยคุกคาม มันก็ไม่แน่ไม่นอนเสมอไป

และยกแรกของ Frank ก็ได้รับโจทย์เช่นเดียวกันกับ Michael Saylor ที่ต้องอภิปรายว่า เพราะเหตุใดการลงทุนใน Gold นั้นดีกว่าการลงทุนใน Bitcoin

โดย Frank ชี้แจงว่า ทองคำเป็นนิรันดร์ มันจะคงอยู่ตลอดไป ทำลายไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่น สร้อยคอทองคำที่คุณใส่ในวันนี้ มันอาจกลายเป็นส่วนหนึ่งในเครื่องประดับสักชิ้นในอนาคตอีกสักสองพันปีต่อจากนี้ได้ และมันก็ยังเป็นทองคำก้อนเดียวกันอยู่

นอกจากนั้นทองคำยังได้ฝังรากลึกลงในระดับวัฒนธรรมของแต่ละชนชาติ มันกลายเป็นส่วนหนึ่งของอารยธรรมของมนุษย์ไปเรียบร้อยแล้ว

ซึ่งมันเป็นไปได้ยากมากหากคุณต้องการที่จะนำเอาทองคำออกไปจากการเป็น Asset โดยเฉพาะประเทศอย่างอินเดียและประเทศจีนที่ถือว่าเป็นตลาดที่ซื้อขายทองคำใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

ซึ่ง Frank เขาก็เชื่อว่าหากอเมริกาย้อนเวลากลับไปได้ ก็คงจะเลือกที่จะผูกทองคำเอาไปกับระบบเงินดอลล่าร์ แต่ประธาธิบดี Richard Nixon ได้ยกเลิกระบบนี้ไปแล้วตั้งแต่ปี 1971 ทำให้ในปัจจุบันสหรัฐอเมริกาสามารถพิมพ์เงินดอลล่าร์ออกมาเท่าไหร่ก็ได้ ซึ่งนั่นถือว่าเป็นหายนะทางเงิน แต่ก็ชั่งมันเถอะ เพราะเราย้อนเวลากลับไปไม่ได้แล้ว

แต่ทองคำในหลายประเทศทั่วโลก ก็ยังคงเป็นตัวเลือกแรกสุดในการเก็บมันเป็นเงินสำรองระหว่างประเทศ ซึ่งตัวของ Frank เองเขามองไม่เห็นว่าทั่วโลกจะหันมาใช้ Bitcoin เป็นเงินสำรองเฉกเช่นเดียวกับ Gold

โดยทองคำถือว่าเป็น store of value ที่รักษามูลค่าของเงินที่สำคัญสำหรับธนาคารกลางทั่วโลกเพื่อเป็นสกุลเงินสำรอง และเป็นตัวเลือกที่นอกเหนือคำสั่งหรือนโยบายทางการเงินของสกุลเงินต่าง ๆ ของแต่ละประเทศ โดยธนาคารกลางได้เก็บสะสมทองคำเอาไว้มากกว่า 33,000 ตันในคงคลังของพวกเขา คิดเป็นสัดส่วนกว่าร้อยละ 20 ของทองคำทั้งโลกที่เคยขุดมันขึ้นมา และพวกเขาก็กำลังซื้อและสะสมมันอย่างบ้าคลั่งและอย่างต่อเนื่อง ซึ่ง Frank ไม่เชื่อว่า Bitcoin จะกลายมาเป็นตัวเลือกของเหล่าบรรธนาคารกลางที่จะเก็บมันไว้ในฐานะเงินสำรองคงคลัง

นอกจากนั้น Bitcoin ยังตกเป็นเป้าได้ง่ายในการที่จะถูกโจมตี หากคนคิดว่ามันเป็นภัยคุกคาม ในขณะที่ผู้คนจะไม่ทำเช่นนั้นกับทองคำ เพราะธนาคารกลางคงไม่โจมตีทองคำ เพราะมันเหมือนกับว่าพวกเขาได้ยกปืนขึ้นมาแล้วยิงไปที่เท้าตัวเองยังไงยังงั้น พวกเขาจะจงรักภักดีทองคำไม่ว่าจะยังไงก็ตาม ในขณะที่ Bitcoin ไม่ได้รับความเชื่อมั่นและจงรักภักดีแบบนี้

และสิ่งที่หลายคนมักเข้าผิดเกี่ยวกับทองคำก็คือ มันไม่ได้ถูกแบบมาเพื่อให้ราคาขึ้นพรวดพราดหวือหวาเหมือนกับหุ้นของบริษัท Tech company ที่พุ่งหยั่งกับจรวดพุ่งไปยังดวงจันทร์ แต่ทองคำมันถูกออกแบบมาให้เป็น Store of value ที่รักษามูลค่าของเงินเอาไว้เพื่อต่อสู้กับค่าเงินเฟ้อจากเงิน fiat ที่มีมูลค่าลดลงเรื่อย ๆ

ต่อมาคือ ทองคำมันถูกพิสูจน์มาแล้วทุกยุคทุกสมัยว่า ไม่ว่าจะเกิดวิกฤตการเงินของโลกกี่ครั้งก็ตามที มันไม่เคยตาย มันยังคงอยู่และเติบโตเรื่อยมา ไม่เหมือนกับบิตคอยน์ที่ตัวมันจะไม่ได้ถูกพิสูจน์จากวิกฤตการเงินใด ๆ เลย มันเพียงแค่เกิดขึ้นหลังจากที่เกิดวิกฤตซับไพรม์หรือวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ในปี 2008 เท่านั้นเอง ในขณะที่ทองคำกลับขึ้นเป็นสองเท่าจากวิกฤตในครั้งนั้น ดังนั้นทองคำมันพิสูจน์ตัวมันเองแล้วว่า มันเป็น Asset ที่สำคัญในระหว่างที่เกิดวิกฤตทางการเงินของโลก

และนอกจากนั้นทองคำยังคงอยู่แม้ว่าจะเกิดสงครามโลก เขาสามารถเก็บเงินไว้ในทองคำของเขาได้ และทองคำมันยังอยู่นอกเหนือการโจมตีจาก cyber attack และการโจมตีจากระบบโครงข่ายไฟฟ้า

และทุกครั้งที่เกิดวิกฤตทางการเงิน ผู้คนทั่วโลกย่อมเลือกทองคำก่อนเสมอโดยสัญชาตญาณและมันจะเป็นแบบนี้ทุกครั้งไป

และเพื่อความแฟร์ในการอภิปรายก็ต้องพูดถึงการที่ธนาคารกลางพยายามควบคุมราคาของทำให้เป็นไปตามกลไกของตลาด เมื่อราคาทองคำมันสูงจนเกินไปพวกเขาก็จะทำการเทขายเพื่อกดให้ราคาของทองคำมันต่ำลง แต่แน่นอนว่าพวกเขาไม่เคยคิดที่จะทำลายมันเลย เพราะมันก็เหมือนกับตัดแข้งตัดขาของตัวเอง ไม่มีใครเขาทำกันหรอก

และนอกจากนั้นเฉพาะประเทศสหรัฐอเมริกาได้เลือกที่จะเก็บเงินสำรองระหว่างประเทศเอาไว้ในทองคำกว่า 77% ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 4% ของทองคำที่ถูกขุดขึ้นมาแล้วทั้งหมดบนโลกใบนี้ และประเทศจีนก็มีทองคำไว้เป็นทุนสำรองระหว่างประเทศคิดเป็น 3% ของทองคำที่ถูกขุดขึ้นมาบนโลก แต่ Frank เชื่อว่าพี่จีนมีมากกว่านั้น เพราะทองคำส่วนใหญ่ถูกขุดพบที่ประเทศจีน และประเทศจีนก็มีการซื้อขายทองคำกันมากที่สุดในโลกอีกด้วย

และนอกจากนั้น Frank ยังไม่เห็นด้วยว่า Bitcoin มันจะเติบโตเฉลี่ยปีละ 200% ตลอดไป ซึ่งแม้ว่า Michael Saylor อาจจะวิเคราะห์ถูก แต่เขาก็ยังไม่เชื่ออยู่ดี

และนอกจากนั้น Frank ก็ยังไม่เชื่ออีกว่า Bitcoin จะไม่เป็นภัยคุกคามต่อสกุลเงินดอลล่าร์ โดยเขาเชื่อว่าที่ Michael Saylor บอกว่า Bitcoin มันไม่ได้มาทำลายเงินดอลล่าร์นั้นไม่เป็นเรื่องจริง แต่ Michael ต้องพูดแบบนั้นเพราะเขาแค่ไม่อยากให้รัฐบาลมาโจมตี Bitcoin ก็เท่านั้น แต่มันก็สายไปซะแล้ว เพราะตอนนี้มันถูกเพ่งเล็งจากรัฐบาลไปเป็นที่เรียบร้อย

และการที่ Bitcoin มันเป็นสกุลเงินแบบไม่รวมศูนย์หรือแบบ Decentralized นั้น มันต้องไม่เป็นที่ยอมรับจากรัฐบาลที่เป็นแบบ Centralized อย่างแน่นอน และพวกเขาก็จะต้องทำให้มั่นใจว่าระบบการเงินจะต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาล เพราะโลกจะวุ่นวายหากไม่มีการควบคุม ไม่มีกฏเกณฑ์ ไม่มีกฎหมายคอยกำกับเกี่ยวกับเรื่องของการเงิน

และนี่ก็คือการอภิปรายของ Frank Giustra ในยกแรกว่าทำไมทองคำถึงดีกว่าบิตคอยน์

โดยทาง Michael Saylor ก็จะมีเวลาโต้แย้งในหัวข้อนี้ประมาณ 1 นาที

โดย Michael Saylor โต้แย้งว่า อย่างแรกเลยนะ Frank บิตคอยน์มันไม่ใช่ payment network หรือเครือข่ายการชำระเงิน เพราะหน้าที่เหล่านั้นเป็นของแพลตฟอร์ม payment ต่าง ๆ อย่างเช่น Paypal ไม่ก็ Square ที่พวกเขามีสามารถทำธุรกรรมทางการเงินได้อย่างรวดเร็วต่อผู้คนนับพันล้านคนทั่วโลกในระดับความเร็วแสงที่สร้าง On Top บน Bitcoin อีกทีหนึ่ง โดยการทำธุรกรรมทางการเงินนั้นจะมาจาก application layer 2 ที่สร้างบนเครือข่าย Bitcoin อีกทีหนึ่ง ยกตัวอย่างเช่น Lightning Network ที่เป็นเทคโนโลยีที่สามารถใช้ในการโอน Bitcoin ได้แบบสายฟ้าแล่บ ซึ่งมีตัวอย่างให้เห็นแล้วว่าโอนได้ในระดับความเร็วแสง โอนปุ๊บเข้าปั๊บ ดังเช่นในประเทศ El Salvador ในขณะที่ผู้คนส่วนใหญ่ก็พูดอยู่นั่นแหละว่า Bitcoin มันโอนช้า มันอืดเกินไปจะกลายเป็นสกุลเงินของโลกที่ผู้คนทั้งโลกโอนกันไปมา มันช้าเกินกว่าที่จะทำการค้ากันได้ ซึ่งนั่นมัน layer 1 ของ Bitcoin แต่ตอนนี้มันยกระดับเป็น Layer 2 ที่มีแพลตฟอร์มและ application ที่สร้างบนตัวมันอีกทีหนึ่งที่รวดเร็วในระดับความเร็วแสงแล้วเฟร้ย

ส่วนที่ Frank บอกว่า Bitcoin มันไม่มีความปลอดภัยที่อย่างที่คิดนั้น Michael Saylor บอกว่า การเข้ารหัสแบบ crypto ที่เรียกว่า crypto keys หรือกุญแจสำหรับปลดล็อครหัสนั้น มันปลอดภัยโคตร ๆ มันเป็นการคิดค้นและประดิษฐ์ที่ดีที่สุดตั้งแต่ถือกำเนิดมนุษยชาติขึ้นมาเลย (ซึ่งเขาในฐานะที่มองในมุมมองของคนที่เป็นวิศวกร) ซึ่งเขาบอกว่ายังไม่มีทรัพย์สินใดบนโลกใบนี้ ที่มีความปลอดภัยในระดับนี้มาก่อน เราไม่เคยมีสินทรัพย์สินใดที่สามารถกักเก็บมูลค่านับร้อยล้าน พันล้าน ด้วยเพียงแค่ password keys หรือรหัสผ่านที่ปลดล็อคกุญแจ ที่สามารถจดจำไว้ในหัวของเรา หรือเก็บรหัสลับซ่อนเอาไว้ด้วยวิธีการใดวิธีการหนึ่ง

โดย Michael Saylor เขาเชื่อว่า ในท้ายที่สุด คนทั้งโลกที่มีมือถืออยู่ในกระเป๋ากางเกงของพวกเขานั้น สุดท้ายพวกเขาจะเป็นคนเลือกเองว่า พวกเขาจะถือเงินสกุลใด และพวกเขาจะถือทรัพย์สินประเภทใด

และแน่นอนว่าสกุลเงินที่แข็งแกร่งที่สุดที่พวกเขาเลือกอาจจะเป็นดอลล่าร์ก็เป็นได้ และพวกเขาก็จะใช้มันเป็นตัวกลางในการแปลกเปลี่ยนและใช้เพื่อการชำระเงิน ในขณะที่ Asset ที่พวกเขาเลือกนั้นจะต้องเป็น Bitcoin อย่างแน่นอน

ซึ่งการที่ Bitcoin จะประสบความสำเร็จได้นั้น มันไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นสกุลเงินที่ดีตราบใดที่โลกใบนี้มีสกุลเงินที่แข็งแกร่งจากประเทศที่ประสบความสำเร็จในโลกของการเงิน และพวกเขาจะรักษาสกุลเงินที่แข็งแกร่งของพวกเขาเอาไว้ โดยนั่นเป็นสงครามของ currency หรือสงครามของสกุลเงิน แต่ในขณะที่ Bitcoin มันไม่ได้อยู่ในสงครามสกุลเงิน แต่มันกำลังแข่งขันอยู่ในสงครามของ Asset หรือสินทรัพย์ และเมื่อพูดถึงสงครามใน Asset มันก็ต้องถูกเปรียบเทียบกับทองคำซึ่งนั่นมันก็ถูกต้องแล้ว เพราะเมื่อเขามองว่ามันเป็น Asset ดังนั้นสิ่งที่เขาจะพิจารณาก็คือ เงินสดในกระเป๋า ณ ตอนนี้ เขาเลือกที่จะเก็บมันไว้ในทองคำหรือบิตคอยน์ดีกว่ากัน และผมก็เลือก Bitcoin

To be continued… โปรดติดตามต่อใน Episode ที่ 3


กระดานซื้อขายแลกเปลี่ยน Bitcoin & Cryptocurrency

อันดับ 1 ของไทย คนส่วนใหญ่นึงถึง Bitkub

อันดับ 1 ของโลก คนส่วนใหญ่นึกถึง Binance


*หมายเหตุ: นี่ไม่ใช่ content แนะนำในการลงทุนใด ๆ เป็นเพียงข้อมูลฐานทั่วไปเท่านั้น โดยนักลงทุนควรศึกษาเพิ่มเติมด้วยตนเองก่อนที่จะตัดสินใจลงทุนใด ๆ ด้วยตัวของท่านเอง

Resources

Exit mobile version