Blue O'Clock

สตูดิโอผลิตและพัฒนาสื่อการเรียนรู้ด้านการลงทุน ธุรกิจ จิตวิทยาและการพัฒนาตนเอง อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

How to

Bitcoin vs Gold ลงทุนแบบไหนดีกว่ากัน | การดีเบตระหว่างเจ้าพ่อบิตคอยน์ Michael Saylor กับเจ้าพ่อทองคำ Frank Giustra EP.3

จาก Episode ที่ 1 และ Episode ที่ 2 ของการอภิปรายระหว่าง Michael Saylor ในฝั่งของ Bitcoin และ Frank Giustra ในฝั่งของทองคำ ที่ยกแรกได้ซัดกันไปแล้วว่าข้อดีและข้อเสียของแต่ละฝ่ายนั้นเป็นอย่างไร

โดยในยกที่ 2 นี้ ว่าด้วยเรื่องของ Risk Factors หรือปัจจัยความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ในการลงทุนของทองคำและของบิตคอยน์ โดยพิธีกรได้เกริ่นว่า ในเดือนธันวาคม ปี 2020 ที่ผ่านมา ทาง JP Morgan ที่เป็นธนาคารยักษ์ใหญ่ของอเมริกาได้เปิดเผยรายงานการเปรียบเทียบระหว่าง Bitcoin กับ Gold ของบริษัท Grayscale ในกองทุน Bitcoin Trust(GBTC) ที่เปิดให้นักลงทุน ที่ต้องการลงทุนใน Bitcoin แต่ไม่ต้องการถือ Bitcoin เอง แต่ให้ลงทุนให้กองทุนที่ทาง Grayscale เป็นคนซื้อ Bitcoin เก็บและดูแลรักษาเอาไว้ให้ โดยมีเม็ดเงินไหลเข้าสู่ตลาดบิตคอยน์สูงเกือบ ๆ 2 พันล้านดอลล่าร์ฯ ในขณะที่ Gold ETF หรือกองทุนรวมอีทีเอฟทองคำ ที่มีทองคำ backup มีเงินไหลออกสูงถึง 7 พันล้านดอลล่าร์ฯ ในช่วงเดือนตุลาคม 2020 ถึง ธันวาคม 2020 ที่ผ่านมา ซึ่งหากเทรนด์ที่ JP Morgan วิเคราะห์มานั้นถูกต้อง ว่าเงินกำลังไหลออกจากตลาดทองคำไปยังตลาดของบิตคอยน์สูงขึ้นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ คุณจะรับมือกับความเสี่ยงนี้อย่างไร

เพราะจากกราฟนี้จะเห็นได้ว่า แรงจูงใจจากผลตอบแทนที่มหาศาลใน Bitcoin เมื่อเทียบกับทองคำนั้น หากเมื่อประมาณ 11-12 ปีที่แล้ว เราลงทุนใน Bitcoin กับ Gold พร้อมกัน ด้วยเงินจำนวน $1 หรือประมาณ 30 บาท ผ่านไป 11.5 ปี เงินที่ลงทุนใน Bitcoin จะกลายเป็น $72,243,000 ในขณะที่เงินที่ลงทุนใน Gold จะกลายเป็น $1.71 เท่านั้น

โดยในยกที่ 2 นี้ ทาง Frank Giustra ในฝั่งตัวแทนทองคำจะเป็นคนเปิดก่อน โดย Frank พูดก่อนเลยว่า ผมไม่เคยเชื่อคำทำนายอะไรเลยที่มาจาก Wall Street หรือพวกในตลาดหุ้น เพราะพวกนี้ทำนายผิดมากกว่าถูกอยู่แล้ว

โดย Frank ได้ชี้ให้เห็นว่า ความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นกับ Bitcoin ได้นั้น เป็นสิ่งที่ Michael Saylor ดูเหมือนไม่วิตกกังวลเลยก็คือเรื่องของการที่ Bitcoin จะมาเป็นปรปักษ์กับเงินดอลล่าร์ ซึ่งนั่นมันทำให้ Bitcoin จะกลายมาเป็นศัตรูกับธนาคารกลางและรัฐบาล และเมื่อ Bitcoin มันขยายใหญ่ขึ้นมากเท่าไหร่ พวกเขาก็จะพยายามหาวิธีกำจัดมันให้ได้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม เพราะรัฐบาลต้องการผูกขาดในเรื่องของสกุลเงินเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว เพื่อที่จะได้ควบคุมนโยบายทางการเงิน เพื่อควบคุมทิศทางเศรษฐกิจของประเทศเอาไว้ ซึ่งไม่ว่าคุณจะชอบวิธีการที่รัฐบาลทำแบบนี้หรือไม่ก็ตาม มันก็จะเป็นไปตามนั้นอยู่ดี และนอกจากนั้นก็คือเรื่องของภาษีที่พวกเขาเก็บเป็นรายได้หลักของรัฐ ไม่ว่าจะเก็บภาษีทั้งทางตรงและทางอ้อม จากเงิน Fiat ที่พวกเขาปริ้นท์ออกมา ซึ่งพวกเขาไม่สามารถทำแบบนี้ได้โดยตรงกับ Bitcoin ซึ่งเมื่อ Bitcoin มันเก็บภาษีได้ยาก พวกเขาก็จะพยายามกีดกัดมัน

ซึ่งหากคุณลองมองโลกในความเป็นจริง ไม่ใช่โลกสวยที่อยู่ในทุ่งลาเวนเดอร์ แล้วล่ะก็ เหล่าผู้มีอำนาจที่กุมชะตาของประชาชนในประเทศด้วยเงินตราและกฏหมายที่มีอยู่ในมือของพวกเขาแล้วจะพบว่า พวกเขาย่อมต่อต้านพวกอนาธิปไตยที่ไม่มีกฏและระเบียบในการควบคุมนโยบายทางสังคมและทางการเงินเฉกเช่น Bitcoin ที่เป็นระบบการเงินแบบ Decentralized ที่เป็นระบบไม่รวมศูนย์ ไม่มีใครสามารถควบคุมมันได้ ซึ่งมันอยู่คนละขั้วกับรัฐบาลอย่างสิ้นเชิง

และพวกเขาก็ไม่จำเป็นที่จะต้องฆ่า Bitcoin ให้ตายในครั้งเดียว แต่พวกเขาสามารถเตะตัดขามันทีละเล็กทีละน้อยจนทำให้มันเสื่อมความนิยมจากผู้คนและค่อย ๆ ล้มหายตายจากไป ซึ่งสิ่งที่โจมตี Bitcoin ได้ง่ายที่สุดก็คือ การที่รัฐออกกฏหมายมาเพื่อควบคุม Bitcoin อย่างเช่น พวกเขาสามารถออกฏหมายออกมาได้ว่า พรุ่งนี้จะทำการแบน Bitcoin ใครที่ถือ Bitcoin อยู่ถือว่าทำผิดกฏหมาย อาจมีโทษทั้งจำและปรับได้

และทันทีที่พวกเขาออกกฏเหล่านี้ ก็จะทำให้พวกสถาบันการเงิน รวมไปถึงนักลงทุนห้างร้านองค์กรต่าง ๆ จะต้องรีบถอนตัวและขาย Bitcoin ทั้งหมดที่พวกเขาถืออยู่ทิ้งในทันที ซึ่งมันจะทำให้ Bitcoin กลายเป็นของเถื่อนที่ผิดกฏหมาย และใช้ซื้อขายกันแต่ในตลาดมืดใต้ดินเท่านั้น ซึ่งนั่นมันก็จะส่งผลให้ราคาของ Bitcoin ร่วงรูดอย่างแน่นอน

และการที่ Bitcoin มันสามารถตรวจสอบได้บน blockchain หากทาง FBI ต้องการติดตามบัญชีที่คาดว่าน่าจะเป็นผู้ที่กระทำการผิดกฎหมาย พวกเหล่าอาชญากรก็คงไม่เสี่ยงที่จะถูกติดตามและหันกลับไปใช้เงินสดที่ตามตัวได้ยากกว่า ดังนั้นแม้แต่พวกอาชญากรก็คงไม่อยากเสี่ยงติดคุกติดตารางเพียงเพราะใช้ Bitcoin แทนเงินสด

ส่วนในเรื่องความเสี่ยงในการถูกแฮ็ค Bitcoin นั้น มันไม่สามารถพูดได้ว่า Bitcoin มันจะไม่ถูกแฮ็ค เพราะขนาดหน่วยความมั่นคงของชาติที่ถือว่ามีความปลอดภัยสูงสุดนั้นยังเคยถูกเจาะเข้าระบบหลังบ้านได้เลย นับประสาอะไรกับ Bitcoin

ดังนั้นมันคือความเสี่ยงที่ต้องคำนึงถึงด้วยหากจะลงทุนใน Bitcoin

และแม้ว่า สว. บางคนจะเสนอร่างเพื่อให้ Bitcoin ถูกกฏหมาย เพื่อคุ้มครองนักลงทุน แต่นั่นก็เป็นเพียงเสียงส่วนน้อย มันก็เหมือนกับจู่ ๆ ก็มีคนเสนอร่างกฏหมายว่า พวกเราไม่ควรเก็บภาษีจาก แร่เงิน แร่ทองคำ นั่นแหละ มันไม่มีทางผ่านร่างกฏหมายง่าย ๆ หรอก ที่จะยอมให้ Bitcoin นั้นถูกเลี่ยงภาษีโดยที่รัฐเสียผลประโยชน์ที่ควรจะได้ไป

ซึ่งกฏหมายที่พวกเขาจะออกมาจะเป็นแนวขัดขวาง Bitcoin ซะมากกว่าไม่ว่าจะเป็น Bitcoin คือสิ่งผิดกฏหมาย, Bitcoin ก่อให้เกิดอาชญากรรม, Bitcoin ก่อให้เกิดมลพิษเกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากกว่าที่รถยนต์ปล่อยออกมามากกว่าพันล้านคัน มันเป็นพลังงานสกปรก ทำให้โลกร้อน บลา ๆๆๆ หรือไม่ก็มันเป็นแหล่งฟอกเงินของเหล่าบรรดาอาชญากร

ซึ่งพวกเขาสามารถใช้อ้างเหตุผลต่าง ๆ เหล่านี้ได้ เพื่อปกป้องความมั่นคงของประเทศชาติ

ในขณะที่ธนาคารกลางพวกเขาเป็นเจ้าของทองคำที่เก็บไว้อยู่ในคลังที่มีมูลค่าสูงถึง 7 ล้านล้าดอลล่าร์ฯ ดังนั้นพวกเขาจะไม่ยอมให้ทรัพย์สินหน้าไหนที่บอกตัวเองว่าสามารถเป็นแหล่ง Store of Value หรือแหล่งเก็บมูลค่าความมั่งคั่งที่พยายามจะเข้ามาแทนที่ทองคำของพวกเขาได้อย่างเด็ดขาด

นอกจากนั้นเหล่าบรรดารัฐบาลกลางทั่วโลกกำลังออกเหรียญดิจิตอลของพวกเขาเอง ดูจากจีนก็ได้พอออกหยวนดิจิตอลแล้วพวกเขาก็สั่งแบน Bitcoin เพราะพวกเขาไม่ต้องการคู่แข่งที่อาจกลายเป็นปรปักษ์กับสกุลเงินหลักของพวกเขา

และนี่ก็คือการอภิปรายของ Frank Guistra ที่ชี้ให้เห็นถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับ Bitcoin ได้

โดยทาง Michael Saylor ก็มีเวลาในการโต้แย้งการอภิปรายของ Frank ได้ 1 นาที

โดย Michael Saylor โต้แย้งว่า อย่างแรกเลย ธนาคารกลางไม่ได้เป็นเจ้าของ Bitcoin และทันทีที่มีสักประเทศนึงเริ่มซื้อ Bitcoin เพื่อเป็นเงินคงคลังของประเทศ เมื่อนั้นราคาของ Bitcoin จะพุ่งสูงขึ้น (ซึ่งประเทศ El Salvador ได้ประกาศให้ Bitcoin สามารถชำระหนี้ได้ตามกฏหมายไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว)

อย่างต่อมา เงินสกุลดอลล่าร์จะเป็นเงินดิจิตอลที่ชนะในศึกครั้งนี้ และเมื่อ Bitcoin ได้แพร่กระจายเข้าถึงคนอีกกว่าห้าพันล้านคนทั่วโลกที่มีสมาร์ทโฟนที่มีกระเป๋าตังค์ดิจิตอลอยู่ และการที่จะซื้อ Bitcoin ได้นั้นก็ยังคงต้องอาศัยเงินดอลล่าร์ในการซื้อมันอยู่ หรือบางทีมันอาจจะเป็นเงินยูโรก็ได้ ส่วนประเทศที่แพ้ในศึกของสกุลเงินดิจิตอล พวกเขาก็จะพบกับการล่มสลายของสกุลเงินภายในประเทศตัวเอง ยกตัวอย่างเช่นประเทศในแถบแอฟริกา, อเมริกาใต้หรือในเอเชีย ที่เมื่อสกุลเงินของประเทศที่ล่มสลาย พวกเขาก็เลือกที่จะไม่เก็บสกุลเงินของประเทศตัวเองอย่างแน่นอน (ก็เหมือนกับประเทศเวเนซุเอลาหรือประเทศซิมบับเวที่ประชาชนในประเทศก็ไม่มีใครอยากถือเงินสกุลของประเทศตัวเองกันหรอก) ดังนั้นสิ่งที่พวกเขาจะทำกันก็ถือ การเปลี่ยนไปถือเงินสกุลดอลล่าร์แทน

และด้วยด้านความปลอดภัยใน Bitcoin ที่สูง บวกกับสกุลเงินดอลล่าร์ดิจิตอลที่ต้องสร้างให้มีความปลอดภัยสูงเช่นกัน และเมื่อเวลานั้นมาถึง วันที่เงินดอลล่าร์ดิจิตอล สามารถเข้าถึงผู้คนทั่วโลกที่มีสมาร์ทโฟนมากกว่าห้าพันล้านคนได้แล้ว พวกรัฐบาลจะปล่อยให้ Bitcoin มันคว้าส่วนแบ่งจากตลาดทองคำ หรือไม่ก็ทำให้มันเป็นส่วนหนึ่งของ bond market หรือตลาดตราสารหนี้ หรืออาจเป็นส่วนหนึ่งในตลาดดัชนีหุ้น S&P 500 และ ETF หรือกองทุนรวมดัชนีที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เฉกเช่นเดียวกับ Gold ETF พวกเขาจะไม่ขัดขวางมัน พวกเขาจะยอมรับมันและใช้ประโยชน์จากการที่ให้นักลงทุนสถาบันและผู้คนทั่วโลกใช้เงินดอลล่าร์เพื่อแลกเปลี่ยนเป็น Bitcoin มันจะเกิด Transaction หรือการทำธุรกรรมกับเงินดอลล่าร์อย่างมากมายมหาศาล ซึ่งทำให้ธนาคารกลางและรัฐบาลสหรัฐที่เป็นเจ้าของสกุลเงินดอลล่าร์ มีแต่ได้กับได้

และด้วยความที่มีผู้คนทั่วโลกซื้อขาย Bitcoin กันมากกว่า 2-3 ล้านคนต่อสัปดาห์ และ coinbase ที่เป็นกระดานเทรด crypto ที่พึ่งเข้า IPO ในตลาด NASDAQ เมื่อเร็ว ๆ นี้ ก็มีผู้ใช้งานในอเมริกาเพิ่มขึ้นกว่า 1 ล้านคนต่อสัปดาห์ ในไตรมาสแรกของปี 2021 ซึ่ง Bitcoin มันกลายเป็น Asset แรกที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลกราวกับไฟลามทุ่ง และเขาก็เชื่อว่าถ้ามันมีอัตราการเติบโตระดับนี้ ภายในสิ้นปี 2021 จะต้องมีผู้คนในสหรัฐอเมริกาที่ครอบครอง Bitcoin มากกว่าครึ่งประเทศอย่างแน่นอน

และนี่ก็คือการโต้แย้งจากทาง Michael Saylor ที่ Frank Guistra ได้อภิปรายไปเมื่อสักครู่ที่ผ่านมานี้

แล้วก็ถึงตาของ Michael Saylor อภิปรายบ้าง ในหัวข้อเดียวกันก็คือ Risk Factors หรือปัจจัยความเสี่ยงของทองคำมีอะไรบ้าง โดยพิธีกรได้เกริ่นว่า ทาง Peter Thiel ที่เป็นผู้ร่วมก่อตั้ง paypal ระบบชำระเงินออนไลน์ระดับโลกที่ eBay ขอเข้าซื้อกิจการไปในราคากว่า $1.5 พันล้านดอลล่าร์ เคยออกมาพูดว่า “Bitcoin คืออาวุธทางการเงินที่จะมาต่อกรกับสกุลเงินดอลล่าร์” คุณมีความคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ บอกเหตุผลหน่อยว่า ทำไม FED หรือธนาคารกลางสหรัฐฯ และธนาคารกลางอื่น ๆ ทั่วโลก หากเห็นว่า Bitcoin คือภัยคุกคามจริง พวกเขาจะขัดขวางหรือหยุดยั้ง Bitcoin หรือไม่อย่างไร

โดย Michael Saylor มีเวลาอภิปรายห้านาที

Michael Saylor เริ่มต้นด้วยการบอกว่า สิ่งที่ Peter Thiel พูดนั้น เป็นความเข้าใจที่ผิด เพราะสิ่งที่ Bitcoin มันเป็นนั้นก็คือ มันจะกลายมาเป็นพื้นฐานของการเงินยุคใหม่ในโลกของ FinTech หรือ Financial Technology ที่สำคัญในศตวรรษที่ 21 นี้ ที่แม้แต่รองผู้ว่าการของธนาคารกลางจากประเทศจีนนั้นยังกล่าวว่า Bitcoin นั้นคือ Asset คือทรัพย์สิน ไม่ใช่ Currency หรือสกุลเงิน

ทีนี้มาดูในเรื่องของความเสี่ยงในการลงทุนในทองคำกันดีกว่า โดย Michael Saylor เปิดประโยคด้วยคำว่า “ทองคำคือสิ่งที่มาพร้อมกับความรุนแรง” ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ผมจะเล่าเรื่องราวตั้งแต่ในยุคอดีตให้ฟังเลยก็แล้วกันว่าเพราะอะไร

โดยคุณสามารถมองย้อนประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาของมนุษยชาติได้ว่า ผู้กล้าทั่วโลกทั้งหลาย ที่ทำสงครามในยุคล่าอนานิคมนั้นต่างเพ่งเล็งในการบุกยึดทรัพย์สินโดยเฉพาะทองคำ

เริ่มจากในยุคของ อเล็กซานเดอร์มหาราช(Alexander the Great III) ที่ทำการยึดครองเมืองต่าง ๆ เพื่อยึดทองคำเป็นของตัวเอง

หรือในยุคของโรมันที่มีทหารนับพันนายได้รับคำสั่งให้บุกล้อมและขโมยทองคำในการเข้าตีหัวเมืองต่าง ๆ

หรือจะเป็น Julius Caesar ที่ขับไล่ชาว Gaul ในภูมิภาคหนึ่งของยุโรปแถบตะวันตก เพื่อแย่งชิงทองคำจากพวกเขา

Kublai Khan ข่านแห่งจักรวรรดิมองโกล ก็ล่าอนานิคมเพื่อยึดทองคำ

Francisco Pizarro ที่พิชิตเมืองของชาว Incas(อินคา)

Hernán Cortés จากสเปนพิชิตจักวรรดิแอซเท็ก(Azteca)

พระเจ้าชาลส์ที่ 1 แห่งอังกฤษ(Charles I) ริบทองคำจากเหล่าบรรดาขุนนาง

เหตุการณ์ The Great Depression ที่เกิดจากเหตุการณ์ที่พึ่งสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่ผู้แพ้สงครามต้องจ่ายค่าปฏิกรรมสงคราม หรือค่าเสียหายค่าชดเชยจากสงคราม ซึ่งทองคำก็ถูกฝรั่งเศสยึดไป

Vladimir Ilyich(วลาดีมีร์ เลนิน) ผู้นำนักปฏิวัติมาร์กซิส คนแรกของสหภาพสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียต ยึดทองคำจากโบสถ์อันศักดิ์สิทธิ์

Franklin D. Roosevelt ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาได้ยกเลิกการใช้ทองคำเป็นมาตรฐานเงินไปในปี 1933 โดยมีคำสั่งให้ประชาชนคนไหนก็ตามต้องนำทองมาแลกเป็นเงิน หากใครมีทองคำไว้ในครอบครองแล้วไม่ยอมมาแลกถือไว้จะมีความผิด

Joseph Stalin(โจเซฟ สตาลิน) ผู้นำของสหภาพโซเวียต ยึดทองคำจาก Spanish ในสงคราม Civil War

Winston Churchill(เซอร์วินสตัน เชอร์ชิล) นายกรัฐมนตรีแห่งสหราชอาณาจักร ในปี 1940 ได้สั่งยึดทองคำจากประชาชนทุกคนในช่วงก่อนสงคราม

Bretton Woods System ที่เป็นระบบที่สหรัฐอเมริกาชนะสงครามโลกครั้งที่ 2 แล้วตั้งกฏและข้อตกลงว่าต่อจากนี้โลกจะต้องใช้เงินดอลล่าร์ของสหรัฐฯ โดยสหรัฐจะให้คำมั่นว่าจะผูกค่าเงินเอาไว้กับทองคำ(ที่ยึดมาได้จากการชนะสงคราม) โดยทำข้อตกลงกันที่เมือง Bretton Woods ในปี 1944

ซึ่งต่อมาในปี 1971 ประธาธิบดี Richard Nixon ก็ประกาศช็อคโลกว่า ต่อแต่นี้ต่อไปเงินดอลล่าร์ไม่ต้องผูกติดกับปริมาณทองคำอีกต่อไป ขอให้ทุกคนเชื่อมั่นในเงินดอลล่าร์

ซึ่งจะเห็นได้ว่า ทองคำตกเป็นตัวประกัน เป็นหลักประกัน จากความรุนแรงมาทุกยุคทุกสมัย

ซึ่งสิ่งที่ต้องการจะสื่อก็คือ คุณไม่สามารถปกป้องและรักษาทองคำเอาไว้กับตัวเองได้ ซึ่งค่าใช้จ่ายในปกป้องรักษาทองคำนั้นจะสูงขึ้นตามปริมาณของทองคำที่ถือครองเอาไว้ ยิ่งถือครองทองคำมาก ค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษาก็เพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว และหากคุณไม่ได้เก็บไว้ในธนาคาร แต่เลือกเก็บไว้เอง คุณก็จำเป็นที่จะต้องมีปืนเพื่อปกป้องมันจากการที่มีโอกาสที่จะถูกปล้นชิงทรัพย์ หรือหากคุณเลือกที่จะสร้างคลังเก็บทองคำ คุณก็ต้องสร้างห้องคอนกรีตที่มีความหนาและห้องขนาดใหญ่ตามปริมาณทองคำที่ครอบครอง ซึ่งมันไม่สามารถ scale ได้ คือยิ่งทองคำเยอะ ก็ยิ่งต้องเพิ่มงบที่เกี่ยวข้องกับการถือครองอีกเยอะแยะมากมาย

และหากตั้งคำถามกับตัวคุณในวันนี้ว่า ทองคำมากมายที่คุณถือครองอยู่นั้น มันสามารถแลกเปลี่ยนกับผู้คนนับพันล้านคนทั่วโลกได้หรือไม่ ก็ต้องบอกเลยว่าอาจจะได้และไม่ได้ ถ้าได้คุณก็จะต้องมีค่าใช้จ่ายในการเคลื่อนย้ายทองคำที่สูงมากและจะต้องเวลานานมากที่กว่าทองคำที่ส่งจะถูกโอนย้ายไปยังอีกฝากฝั่งนึงของโลก และถ้าส่งไม่ได้ก็เป็นเพราะ แต่ละประเทศมีกฏหมายอยู่ว่าคุณสามารถนำทองคำติดตัวไปได้อย่างจำกัด อย่างมากก็ได้แค่เครื่องประดับไม่กี่ชิ้น

ดังนั้นยิ่งมีจำนวนการทำธุรกรรมในทองคำมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีค่าใช้จ่ายสูงขึ้น หรือถ้าหากอยากจะเคลื่อนย้ายทองคำในปริมาณเยอะ ๆ ก็ต้องผ่านด่านของกฏหมาย ซึ่งค่าใช้จ่ายในการดำเนินการในการขออนุญาตเคลื่อนย้ายทองคำในปริมาณมากนั้น ก็มีค่าใช้จ่ายสูง ใช้เวลาเยอะ แถมยังต้องลุ้นด้วยว่าสรุปจะเอาทองคำออกได้หรือไม่ได้อีกต่างหาก

และด้วยกฏหมายหยุมหยิม ยุบยิบยุ่บยับต่าง ๆ เหล่านี้ ก็ทำให้ประชาชนทั่วโลกจำนวนกว่า 99.99% ที่ไม่สามารถเข้าทองคำได้แม่แต่กรัมเดียว มันเลยถูกสงวนไว้โดยเฉพาะพวกคนที่มีกะตังค์เยอะ พวกชนชั้นสูง พวกร่ำรวยมั่งคั่งมั่งมี

ส่วนถ้าให้พูดถึง แอพพลิชั่นในการซื้อขายทองคำหรือที่เราเรียกกันว่าทองคำกระดาษนั้น มันไม่ได้มีเทคโนโลยีพิสูจน์หรือสร้างความมั่นใจอะไรได้เลยว่า ในทุก ๆ เดือนที่เราออมทองกระดาษ ตกลงทองคำเหล่านั้นของเรามีอยู่จริงหรือไม่ ซึ่งก็ต้องอาศัยความไว้เนื้อเชื่อใจกับคนที่เราทำสัญญาหรือกับร้านทองแต่ละเจ้าว่า “เชื่อฉันสิฉันเก็บทองคำของคุณเอาไว้ให้แล้วไม่ต้องกังวลหรอก” ซึ่งการเชื่อใจมันต้องอาศัยความซื่อสัตย์ต่อกันเป็นอย่างมาก และนั่นมันคือความเสี่ยงที่อาจจะเกิดการเบี้ยวสัญญาขึ้นได้

ในขณะที่ Bitcoin นั้น มีค่าขนส่งหรือค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมระหว่างกันนั้นที่เรียกได้ว่าแทบจะฟรีด้วยซ้ำ แถมการรักษาความปลอดภัยก็อยู่บนเทคโนโลยี Blockchain ที่เปิดเผยอย่างโปร่งใส โกงกันไม่ได้ และไม่ต้องกลัวว่าจะถูกขโมย ดังนั้นค่ารักษาความปลอดภัยนั้นก็ฟรีเช่นกัน แถมยังมีประสิทธิภาพสูง ไม่ต้องขออนุญาตใครในการโอน และไม่ว่าใครก็ตามบนโลกใบนี้ ก็สามารถเข้าถึงมันได้ทั้งนั้น ขอแค่มีเพียงสมาร์ทโฟนที่เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตได้ ที่สมัยนี้มีเงินหลักร้อยก็ซื้อได้แล้ว ไม่ว่าจะรวย จะจน ก็มีสิทธิเข้าถึงมันได้เช่นกัน ซึ่งไม่ว่าคุณจะมี Bitcoin ที่มีมูลค่า 10 บาท 100 บาท 1,000 บาท หรือคุณจะมี 1,000 ล้านบาท คุณก็จะได้รับระบบการรักษาความปลอดภัยในเลเวลเดียวกัน

ดังนั้นด้วยความที่ Bitcoin มันเป็นดิจิตอล มันก็จะมีซอร์ฟแวร์ที่มีนวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อเพิ่มความปลอดภัยในกับผู้ถือ Bitcoin ได้ดียิ่งขึ้นในทุก ๆ วัน ซึ่งมันทำให้หลีกเลี่ยงจากอาชญากรรมจากความรุนแรงได้

ในขณะที่การถือครองทองคำเอาไว้เยอะนั้น มันเหมือนกับแม่เหล็กที่คอยดึงดูดให้อาชญากรมาปล้นชิงทรัพย์คุณ แต่ในขณะที่ Bitcoin ถูกจัดเก็บไว้บน Cyberspace ที่หากคุณไม่ยอมบอกรหัสผ่านก็ไม่มีใครเอา Bitcoin ไปจากคุณได้ ดังนั้นมันจะเกิดการลดการใช้กำลังแล้วหันมาเป็นการเจรจาอย่างสันติแทนมากกว่า

และนี่ก็คือการอภิปรายในยกที่สองของ Michael Saylor ที่ชี้ให้เห็นถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้กับการถือครองทองคำ โดยทาง Frank Giustra เองก็จะมีเวลาในการโต้แย้งการอภิปรายดังกล่าวเป็นเวลาหนึ่งนาที

โดย Frank บอกว่า Michael คุณพูดถูกแล้ว ที่ผ่านมามีผู้คนต่างรบราฆ่าฟันเพื่อแย่งชิงทองคำกันมานับร้อยปีพันปี นั่นเป็นข้อสนับสนุนที่เป็นบวกมากกับฝ่ายที่ถือครองทองคำ เพราะเรื่องราวดังกล่าวได้พิสูจน์ให้เห็นมาตลอดทุกยุคทุกสมัยว่า ทองคำ เป็นสิ่งล้ำค่า ส่วนทองคำกระดาษเขาก็เห็นด้วยว่ามันถูกโกงกันได้ ดังนั้เขาจึงเลือกที่จะลงทุนในทองคำที่จับต้องได้จริง ๆ เท่านั้น นั่นก็ตัดเรื่องที่ต้องใช้ความไว้เนื้อเชื่อใจกันของแต่ละฝ่าย

ส่วนในด้านการรักษาความปลอดภัยของทองคำนั้น เขาเชื่อมั่นว่าการเก็บมันในตู้เซฟของเขาเองนั้นมีความปลอดภัยที่สูงกว่า Bitcoin ที่ถูกเก็บรักษาไว้บนระบบ blockchain ที่ถูกเปิดเผยต่อสาธารณะ ซึ่งมันจะทำให้ตกเป็นเป้าจากอาชญากรจากทั่วโลกซะมากกว่า

และยังไงเขาก็ยังคงมองว่า Bitcoin มันเป็นภัยคุกคามของสกุลเงินดอลล่าร์ชัด ๆ คุณกล้าแถไปได้ยังไงว่า Bitcoin มันไม่กระทบต่อสกุลเงินดอลล่าร์ และสิ่งที่คุณบอกว่า Bitcoin มันมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยปีละ 200% ในทุก ๆ ปีจากนี้และตลอดไปนั้น การเติบโตดังกล่าวนั่นแหละมันจะบ่อนทำลายสกุลเงินดอลล่าร์ เพราะถ้ามันเติบโตอย่างว่า คนก็จะทิ้งเงินดอลล่าร์ไปถือ Bitcoin กันหมด ซึ่งนั่นทางรัฐบาลไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นอย่างแน่นอน พูดง่าย ๆ ก็คือ Bitcoin มันจะมาฆ่าเงินดอลล่าร์ ดังนั้นก่อนที่เงินดอลล่าร์จะถูก ต้องฆ่า Bitcoin เสียก่อน นั่นแหละคือความเสี่ยงในการถือครอง Bitcoin

และก็จบกันไปในยกที่สอง ที่ว่ากันด้วยเรื่องของความเสี่ยงในการถือครอง Asset แต่ละอย่าง ระหว่าง Bitcoin กับ Gold แล้วพบกันใน Episode ที่ 4 นะครับ


กระดานซื้อขายแลกเปลี่ยน Bitcoin & Cryptocurrency

อันดับ 1 ของไทย คนส่วนใหญ่นึงถึง Bitkub

อันดับ 1 ของโลก คนส่วนใหญ่นึกถึง Binance


*หมายเหตุ: นี่ไม่ใช่ content แนะนำในการลงทุนใด ๆ เป็นเพียงข้อมูลฐานทั่วไปเท่านั้น โดยนักลงทุนควรศึกษาเพิ่มเติมด้วยตนเองก่อนที่จะตัดสินใจลงทุนใด ๆ ด้วยตัวของท่านเอง

Resources