Blue O'Clock

สตูดิโอผลิตและพัฒนาสื่อการเรียนรู้ด้านการลงทุน ธุรกิจ จิตวิทยาและการพัฒนาตนเอง อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

How to

ฮาวทูรวย How To Get Rich by Naval Ravikant EP.1 ตอน Wealth vs Money vs Status

Naval Ravikant นักลงทุนและผู้ประกอบการชาวอินเดีย-อเมริกัน ผู้ก่อตั้งและซีอีโอบริษัท AngelList ที่เป็นบริษัทสำหรับลงทุนในสตาร์ทอัพ ซึ่งเขาได้เคยลงทุนในบริษัทสตาร์ทอัพตั้งแต่ในช่วงแรก ๆ ที่กลายมาเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ของโลกอย่างเช่น Twitter, Uber และอื่น ๆ อีกมากมาย โดยในปี 2022 นี้เขามีทรัพย์สินอยู่ที่ราว ๆ $69 ล้านดอลล่าร์ฯ หรือประมาณ 2,300 ล้านบาท

โดยในคอนเท้นต์นี้ ทาง Naval จะมาแชร์แนวคิดและวิธีในการก้าวขึ้นสู่การเป็นคนรวยที่ไม่ได้รวยมาจากโชคช่วยอย่างฟลุ๊ค ๆ ได้ด้วยตนเอง

คำถามแรกที่พิธีกรถามก็คือ “Naval คุณช่วยบอกหน่อยว่าความแตกต่างระหว่างคำว่า Wealth, Money และ Status(สถานะทางสังคม) นั้นมีความแตกต่างกันอย่างไรบ้าง?”

โดย Naval ได้ตอบว่า Wealth หรือความมั่งคั่ง คือสิ่งที่ทำให้คุณสามารถไปทำในสิ่งที่คุณต้องการในชีวิตได้ โดยหากต้องการความมั่งคั่งจริง ๆ แล้วล่ะก็ คุณจำเป็นที่จะต้องมี Asset หรือทรัพย์สินที่สามารถทำเงินให้คุณได้แม้ในยามที่คุณกำลังนอนหลับอยู่

  • มันอาจจะเป็นโรงงานที่เต็มไปด้วยหุ่นยนต์ที่ทำงานได้อย่างไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย
  • หรือมันอาจจะเป็นคอมพิวเตอร์ที่รันด้วยซอร์ฟแวร์ที่มันสามารถทำงานได้เองในตอนกลางคืน ที่คอยบริการลูกค้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง
  • หรือมันก็สามารถเป็นเงินที่อยู่ในบัญชีธนาคาร ที่ตั้งค่าให้มัน re-investment ในการลงทุนในทรัพย์สินหรือในธุรกิจอื่น ๆ
  • หรือจะเป็นบ้านที่คุณปล่อยให้คนอื่นมาเช่า หรือจะเป็นที่ดินที่คุณปล่อยให้เช่าแล้วคุณก็เก็บค่าเช่าหรือขอแบ่งจากยอดขายที่ธุรกิจนั้น ๆ ที่มาอยู่บนที่ดินของคุณก็ได้เช่นกัน

ดังนั้นคำจำกัดความของคำว่า Wealth ในความเห็นของ Naval ก็คือธุรกิจหรือทรัพย์สินใดก็ตามที่สามารถทำเงินให้คุณได้แม้ในยามที่คุณหลับอยู่นั่นเอง

ซึ่งสาเหตุที่เราขวนขวายหาความมั่งคั่งนั่นก็เป็นเพราะ เราต้องการมีอิสรภาพในการใช้ชีวิต ที่ไม่ต้องตื่นตั้งแต่ 7 โมงเช้าเพื่อรีบไปทำงาน ฝ่าฟันการจราจรที่คับคั่งเพื่อไปนั่งทำงานในออฟฟิศราวกับร่างไร้วิญญาณทุกวี่ทุกวันโดยที่งานนั้นไม่ได้เติมเต็มชีวิตของคุณเลย

ดังนั้น Wealth = Freedom ไม่มีอะไรไปมากกว่านั้น

ซึ่งหลายคนคิดว่าความมั่งคั่งคือการที่เราสามารถซื้อเสื้อผ้าหรู ๆ แพง ๆ แบรนด์เนมมาใส่ได้, หรือสามารถซื้อรถซุปเปอร์คาร์มาขับ, ร่องเรือยอร์ชไปตกปลา หรือจะเป็นการนั่งเครื่องบินเจ็ทส่วนตัวเพื่อไปเที่ยวรอบโลก ซึ่งทั้งหมดที่ว่ามานั้น มันเป็นเรื่องน่าเบื่อและเป็นเรื่องงี่เง่าสิ้นดี เพราะแน่นอนว่าทั้งหมดที่ว่ามานั้น เขาลองกับตัวเองมาหมดแล้ว มันเป็นเรื่องประเดี๋ยวประด๋าว มาแล้วก็ไป

ดังนั้นคำว่า Wealth นั้น สำหรับตัวของเขาแล้ว มันคือการที่เรา สามารถใช้ชีวิตได้อย่างอิสระ สามารถใช้ชีวิตในแบบที่เราอยากจะเป็นได้อย่างเต็มที่ต่างหาก

ส่วนความหมายของ Money นั้น Naval บอกว่า มันคือเครื่องมือในการถ่ายโอนความมั่งคั่ง มันคือเครดิตทางสังคม คนในสังคมจะรู้สึกติดหนี้คุณ เมื่อคุณสร้างคุณค่าบางอย่างให้กับสังคมเมื่อในอดีตที่ผ่านมา เช่น คุณทำงานงานหนึ่งเสร็จสิ้น สังคมก็จะบอกกับคุณว่า “โอ้ว ฉันรู้สึกเป็นหนี้คุณ ฉันต้องให้อะไรบางอย่างเพื่อเป็นการตอบแทนในสิ่งที่คุณทำเพื่อฉัน” และ Money ก็ถูกนำมาใช้แทนการตอบแทนหนี้บุญคุณ มันเป็นวิธีการส่งต่อความมั่งคั่งไปยังคนที่ส่งมอบคุณค่าให้แก่สังคม

ทีนี้ ชีวิตคนเรา หากเปรียบดั่งเกม คนเราก็จะมีเกมชีวิตอยู่ด้วยกันสองเรื่องใหญ่ ๆ ก็คือ เรื่องแรกคือเกมการเงิน แม้ว่าเงินจะไม่สามารถช่วยแก้ไขปัญหาทุกอย่างในชีวิตได้ แต่เงินสามารถแก้ไขปัญหาในเรื่องที่จำเป็นต้องใช้เงินได้ ซึ่งแม้ว่าหลายคนรู้ดีว่า ปัญหาการเงินก็ต้องแก้ด้วยเงิน แต่หลายคนลึก ๆ แล้วก็มักจะบอกตัวเองว่า ฉันไม่สามารถหาเงินเยอะ ๆ ได้ ฉันไม่สามารถมั่งคั่งร่ำรวยได้ มันทำให้เกิดแนวความคิดที่ว่า เงินมันไม่สำคัญ เงินไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่าง และแย่สุดคือ เงินคือสิ่งชั่วร้าย ใครโหยหาเงินคนนั้นเป็นคนเลว และเมื่อพวกเขาไม่สามารถเล่นเกมการเงินได้ดี พวกเขาจึงเลือกที่จะในเกม status หรือเกมแสดงฐานะทางสังคมแทน

ที่พวกเขาพยายามแสดงให้สังคมเห็นว่าพวกเขาดูดีกว่าคนอื่น ๆ ในสังคม

โดยในมุมมองของ Naval เขาบอกว่า ในเกมของการสร้าง Wealth หรือเกมการสร้างความมั่งคั่งนั้น มันไม่ใช่ zero sum game มันไม่ใช่เกมที่จะต้องมีใครได้ใครเสีย ทุกคนบนโลกนี้ต่างก็สามารถมีบ้านเป็นของตนเองได้ และการมีบ้านเป็นของตนเอง มันก็ขึ้นอยู่กับน้ำพักน้ำแรง ขึ้นอยู่กับความสามารถในการหาเงินของตัวคุณ คุณไม่ได้ไปขโมยหรือโจมตีใครเพื่อให้ได้บ้านมา ความมั่งคั่งเป็นเกมในทาง positive เป็นเกมในทางบวก ที่ผู้คนต่างสร้างคุณค่าให้แก่สังคม

แต่ในขณะ Status Game นั้น มันเป็น zero-sum game คือเป็นเกมที่ต้องมีคนได้และคนเสีย มันเป็นเกมจากยุคเก่าที่ไม่สร้างสรรค์เอาซะเลย ยกตัวอย่างเช่น เกมที่ต้องมีผู้ชนะอันดับ 1,2 และ 3 ซึ่งเมื่ออันดับ 4 สามารถเลื่อนอันดับขึ้นมาได้ คนที่อยู่ในอันดับ 3 ก็จะต้องถูกถีบออกจากแท่นอันดับ เป็นต้น

ดังนั้นคุณจะเห็นได้ว่า Status Game มันเป็น zero-sum game ที่เมื่อมีคนได้ก็ต้องมีคนเสีย

ยกตัวอย่างเช่นในวงการนักการเมือง ที่มีผู้ชนะเลือกตั้งก็ต้องมีผู้ที่แพ้การเลือกตั้ง หรืออย่างในเกมกีฬา ที่มีคนที่ได้เหรียญทอง เหรียญเงิน เหรียญทองแดง ส่วนที่เหลือเรียกได้ว่าไม่มีตัวตนด้วยซ้ำ ทั้ง ๆ ที่นักกีฬาต่างก็เฝ้าฝึกซ้อมมาอย่างหนักกันทั้งนั้น แต่ในขณะที่การทำงานอย่างหนักเพื่อสร้างเนื้อสร้างตัวนั้น ทุกคนมีสิทธิ์ได้รับเงิน ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะเป็นคนที่มีความมั่งคั่งได้กันแทบทั้งสิ้น

ดังนั้น Naval เขาจึงชอบเล่นในเกมการเงิน มากกว่าที่จะลงไปเล่นใน Status game

นอกจากนั้นเขาได้ยกตัวอย่างของคนที่มักชอบเล่นใน Status Game เช่น นักข่าวที่ชอบโจมตีคนรวย เพียงเพื่อให้ตัวเองมีพื้นที่ในสื่อต่าง ๆ ยกระดับตนเองว่าตนเองดี ตนเองอยู่เหนือกว่าพวกคนรวย และชอบโจมตีพวกคนรวยต่าง ๆ นา ๆ ว่าเป็นพวกชั่วร้ายบ้างล่ะ เป็นพวกเอาเปรียบสังคมบ้างล่ะ ซึ่งคุณจะเห็นได้ว่า หากอยากดูดีใน Status Game คุณจำเป็นที่จะต้อง Look Down ใครสักคน หรือทำให้ใครสักคนดูแย่ เพื่อที่ตนเองนั้นจะได้ดูดี มันเหมือนกับการที่หากคุณอยากได้ดีคุณก็ต้องเหยียบย่ำใครสักคนให้ดูแย่ มันเป็น zero-sum game ที่มีคนได้ก็ต้องมีคนเสีย

นี่เป็นเหตุผลที่คุณควรหลีกเลี่ยงที่จะเล่นใน Status Game เพราะมันเป็นไปในทาง Negative เป็นไปในทางลบ แต่คุณก็ต้องเข้าใจว่า เมื่อคุณเล่นใน Wealth Game แล้วนั้น ก็มักจะมีพวกที่ชอบเล่น Status Game มาโจมตีคุณ มาทำให้คุณหัวเสียอยู่บ่อย ๆ ดังนั้น คุณอย่าหลวมตัวไปเล่นในเกมของพวกเขา

แล้วก็จบกันไปใน Episode ที่ 1 กับ How to get rcih by Naval แล้วพบกันใหม่ใน EP ต่อไปนะครับ


กระดานซื้อขายแลกเปลี่ยน Bitcoin & Cryptocurrency

อันดับ 1 ของไทย คนส่วนใหญ่นึงถึง Bitkub

อันดับ 1 ของโลก คนส่วนใหญ่นึกถึง Binance


*หมายเหตุ : คอนเท้นต์นี้ไม่ใช่การแนะนำในการลงทุน เป็นการจัดทำเพื่อเป็นกรณีศึกษาจาก Raoul Pal เท่านั้น ผู้ลงทุนควรศึกษาและตัดสินใจลงทุนด้วยตัวท่านเอง

Resources