Blue O'Clock

สตูดิโอผลิตและพัฒนาสื่อการเรียนรู้ด้านการลงทุน ธุรกิจ จิตวิทยาและการพัฒนาตนเอง อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

How to

วิธีร่ำรวยในยุคที่เศรษฐกิจตกต่ำย่ำแย่ by Grant Cardone

Grant Cardone นักธุรกิจ นักลงทุน นักเขียน นักพูด นักขาย เจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์ เจ้าพ่อโซเชียลมีเดีย โดยในปี 2022 เขามีทรัพย์อยู่ที่ $2.6 พันล้านดอลล่าร์ฯ หรือราว ๆ 9.4 หมื่นล้านบาท

โดยเนื้อหาในตอนนี้ เขาได้ออกมาให้สัมภาษณ์ในช่อง Youtube ที่ชื่อ Slightly Offens*ve ที่มีผู้ติดตามกว่า 459,000 คน ได้ขอคำแนะนำจาก Grant Cardone ว่า ในสภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่แบบนี้ สำหรับคนธรรมดา ๆ ทั่ว ๆ ไป ที่ไม่ใช่เศรษฐีพันล้านอย่างเขานั้น จะสามารถทำอะไรได้บ้างเพื่อให้รอดพ้นจากวิกฤตในครั้งนี้ไปได้

โดย Grant Cardone เริ่มต้นด้วยการบอกว่า ถ้าคุณอยากรอด สิ่งแรกที่คุณจำเป็นต้องเสียสละในทันทีเลยก็คือ ‘ความสะดวกสบาย’ โดยเขาได้เล่าย้อนกลับไปในวัยเด็กของเขาว่า เขาเติบโตมาในครอบครัวที่ยากจน ขัดสน เติบโตมากับคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว ที่ต้องเลี้ยงลูก ๆ อีก 5 คน เพราะพ่อของเขานั้นได้เสียชีวิตไปตั้งแต่เขาอายุได้เพียง 10 ขวบ

นั่นจึงทำให้รายได้ของครอบครัวของเขาหายไปในทันที เพราะพ่อของเขาถือว่าเป็นเสาหลักของบ้านในการทำงาน หาเงิน เพื่อมาเลี้ยงดูครอบครัว

ดังนั้นเมื่อรายได้หาย เขาอยากจะบอกกับทุกคนที่กำลังประสบกับปัญหาในเรื่องของรายได้ไม่พอใช้ ตกงาน ไม่มีเงินว่า อย่าพยายามโอดครวญ ร่ำไห้ หรือทนทุกข์ จมปรักอยู่กับปัญหาดังกล่าว เพราะต่อให้คุณเสียใจมากแค่ไหน ปัญหาที่ว่ารายได้ไม่พอกับค่าใช้จ่ายนั้น มันก็ยังคงอยู่ มันไม่ได้หายไปไหน

ซึ่ง ณ ตอนนั้น คุณแม่ของเขาก็พยายามทุกวิถีทางเพื่อที่จะประหยัดเงินให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งการเก็บออมเป็นสิ่งที่เราถูกปลูกฝังกันมาตั้งแต่เด็ก หลายต่อหลายชั่วอายุคน

โดย Grant Cardone บอกว่า คนที่ได้รับประโยชน์จากเงินฝากในธนาคารนั้น ก็คือ ตัวของธนาคาร นั่นเอง ที่พวกเขาพยายามทำอย่างไรก็ได้ ให้ผู้คนมาฝากเงินให้ได้มากที่สุด

ซึ่งสิ่งที่ธนาคารทำกันนั้น พวกเขาไม่ได้เอาเงินของผู้ฝากไปเก็บไว้ในตู้เซฟเฉย ๆ แต่พวกเขานำเงินไปปล่อยกู้ต่อซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในขณะที่ให้ดอกเบี้ยเงินฝากแค่กระจึ๋งเดียว

ดังนั้นทาง Grant Cardone ก็แนะนำว่า สิ่งที่ทุกคนควรทำเป็นอย่างยิ่งไม่ใช่การเก็บออม รวมไปถึงการเก็บออมเพื่อการเกษียณด้วย เพราะการออมไม่ได้ทำให้ใครร่ำรวยขึ้นมาได้

ซึ่งสิ่งที่ควรทำก็คือ เมื่อได้เงินมาแล้ว เขาแนะนำให้ทำการ reinvest คือการนำเงินที่ได้กลับมาลงทุนในตนเองเพิ่มมากขึ้น ลงทุนในธุรกิจให้เติบโตมากยิ่งขึ้น เพื่อที่จะได้ผลผลิตมากยิ่งขึ้น มีรายได้เพิ่มมากขึ้น โดยในที่นี้เขาหมายถึงให้ทุกคนหาแหล่งรายได้ที่สอง ที่สาม ไม่ใช่แนะนำให้ไปลงทุนในตลาดหุ้น หรือกองทุนแต่อย่างใด โดยเฉพาะการลงทุนในตลาด crypto ที่มีความผันผวนที่สูง คุณอาจจะสูญเงินทั้งหมดที่หามาได้ภายในชั่วข้ามคืน

ดังนั้น จงลงทุนในสิ่งที่คุณคิดว่า จะไม่สูญเงินก้อนนั้นที่อุตส่าห์หามาด้วยนำ้พักน้ำแรง หามาด้วยความเหน็ดเหนื่อย หามาด้วยความยากลำบาก

โดยเขาแนะนำว่า ให้คุณลงทุนไปกับสิ่งที่มันสามารถผลิตกระแสเงินสด(cash flow) ออกมาได้อย่างต่อเนื่อง เพราะการเก็บ cash หรือเงินสดเอาไว้เฉย ๆ นั้น ไม่มีค่าอะไรเลย เพราะ เงินสดคือขยะ ที่ตัวของมันเองไม่มีค่าอะไรเลย ฉะนั้น จงใช้เงินทำงานให้คุณอย่างหนัก จงเอาไปใส่ไว้ในสิ่งที่สามารถผลิตเงินให้คุณได้อย่างต่อเนื่อง

เพราะการเก็บเงินสดเอาไว้ในธนาคารหรือที่บ้านในตู้เซฟเอาไว้เฉย ๆ นั้น ในทุก ๆ ปี ตัวของมันจะมีอำนาจในการจับจ่ายใช้สอยที่ลดลงอยู่ตลอดเวลา หรือที่เรารู้จักกันว่าค่าเงินเฟ้อ(inflation) ที่แม้จำนวนเงินสดของเราจะมีตัวเลขเท่าเดิม แต่ในปีถัดไปตัวของมันกลับซื้อของได้น้อยลง

ซึ่งหลังจากที่โลกของเราเผชิญกับโรคระบาดอย่าง covid-19 ที่ทำให้เศรษฐกิจทั่วโลกต้องชะงัก ปิดตัวลงมากว่า 2-3 ปีต่อเนื่อง และก็มีทีท่าว่ายังไม่ดีขึ้น ซึ่งในความเป็นจริงก็ไม่มีใครรู้อนาคตหรอกว่า มันจะมีการเปลี่ยนขั้วอำนาจผู้นำของโลกรายใหม่ที่อาจมาแทนที่สหรัฐอเมริกาหรือไม่

ดังนั้น ให้เราทำในสิ่งที่เราสามารถทำได้ในตอนนี้ อะไรที่ทำแล้วทำให้มีรายได้เพิ่มเข้ามามากขึ้น ก็ทำเลย อย่ามัวแต่ติดสบาย เริ่มหางานที่สอง งานที่สาม เพื่อสร้างรายได้ให้เข้ามาให้ได้มากที่สุด ณ เวลานี้

ส่วนพวกการลงทุนในกองทุนรวม ETFs IRS 401k IRA กระจายการลงทุนนู่นนี่นั่นเอย ซึ่ง Grant Cardone บอกว่า กองทุนเหล่านี้มันถูกออกแบบมาให้เป็นกับดักแก่คนชนชั้นกลาง เพื่อชักจูงให้ออมเงินไว้ในกองทุนต่าง ๆ เหล่านี้ ซึ่งคนที่ได้ประโยชน์จริง ๆ ก็คือ ผู้คนที่อยู่ในตลาด Wall Street ที่เมื่อมีเงินในกองทุนเหล่านี้มากขึ้น พวกเขาก็จะยิ่งร่ำรวยมากยิ่งขึ้น ในขณะที่คนชนชั้นกลางก็จะอยู่ในชนชั้นกลางต่อไป

เพราะผลผลิตจากตลาดเหล่านี้ก็คือ MONEY ซึ่งก็คือผลิตภัณฑ์หลักของสหรัฐอเมริกา ที่สินค้าของประเทศนี้ก็คือ เงิน US Dollar ซึ่งการผลิตเงินดอลล่าร์ฯ ออกมานั้น รัฐบาลไม่ได้ต้องการรายได้จากภาษีเงินได้ แต่พวกเขาต้องการให้คนทำงานให้เพื่อแลกกับเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ

เพราะระบบที่รัฐบาลพยายามจะควบคุมให้ประชาชนทำงานอย่างหนักให้กับประเทศก็คือ หลังจากเรียนจบ ก็จะต้องเริ่มต้นหางานทำ แล้วก็จะส่งเสริมให้คนซื้อบ้านเพื่อผ่อนกันยาว ๆ 30 ปี เพื่อที่จะได้ตั้งใจทำงานไปตลอดหลายสิบปี หรือบางทีก็อาจจะมีบ้านหลายหลัง ซื้อมา ขายไป ขายบ้านเก่า ซื้อบ้านใหม่ ที่เป็นหนี้ก้อนใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อที่จะได้ทำงานอย่างหนักเพื่อหาเงินผ่อนค่าบ้านกันไปนาน ๆ

ซึ่ง Grant Cardone บอกว่า ถ้าหากเราลองไปดูมหาเศรษฐีระดับโลกอย่าง Warren Buffett หรืออย่าง Elon Musk นั้น พวกเขาจะมีบ้านแค่เพียงหลังแรกหลังเดียว อย่างปู่ Warren Buffett ก็มีบ้านหลังแรกหลังเดียวที่ซื้อไว้ตั้งนานแล้ว และเขาก็ใช้อาศัยอยู่จนถึงปัจจุบัน หรืออย่าง Elon Musk นั้น กลับไม่มีบ้านเป็นของตัวเองซะด้วยซ้ำ ทั้ง ๆ ที่เป็นมหาเศรษฐีอันดับที่ 1 ของโลก

ซึ่งหลายคนได้ถูกปลูกฝังว่า ในชีวิตคนเรานั้นความฝันอย่างหนึ่งก็คือ จะต้องมีบ้านหลังใหญ่เป็นของตนเองให้ได้ แม้ว่าจะต้องผ่อนด้วยเงินจำนวนมากอย่างต่อเนื่องหลายสิบปีก็ยอม

แต่ในขณะที่ Grant Cardone เขามองว่า ชีวิตในฝันที่แท้จริงนั้น ไม่ควรถูกผูกติดกับหนี้สินอย่างการผ่อนบ้านในระยะยาว เพราะชีวิตในฝันที่แท้จริงคือ ชีวิตที่มีอิสระ ไม่มีข้อผูกมัด โดยเฉพาะข้อผูกมัดที่เป็นหนี้ทางการเงิน

โดยคำแนะนำสำหรับคนวัยทำงานในช่วงอายุ 20 30 ปี นั้น ทาง Grant Cardone เขาก็แนะนำว่า ในช่วงตั้งตัวนี้ ยังไม่ควรรีบเป็นหนี้ในการกู้ซื้อบ้าน

โดยเขาได้เล่าว่า ในปัจจุบันเขามีอพาร์ทเม้นท์ในครอบครองราว ๆ 12,000 ห้องนั้น ตลอดเส้นทางที่เขาทำงาน หาเงิน และสั่งสมความมั่งคั่งในตลาดอสังหาริมทรัพย์นั้น เขาไม่มีบ้านเป็นของตนเองเลย จนกระทั่ง เขาเอาเงินนำไปลงทุนในอมาร์ทเม้นท์จนมากพอที่จะมีรายได้มาจ่ายค่าเช่าบ้านของตนเองได้ นั่นแหละ ถึงจะค่อยคิดซื้อบ้านเป็นของตนเอง

ยกตัวอย่างเช่น หากอพาร์ทเม้นท์ ได้กำไรจากค่าเช่าหลังจากหลักลบกับที่ต้องผ่อนจ่ายธนาคารแล้วเป็นจำนวน 5,000 บาท ต่อเดือน

สมมติว่า ค่าเช่าบ้านส่วนตัวของเราอยู่ที่ราว ๆ 15,000 บาท ต่อเดือน

ดังนั้น เขาจะต้องลงทุนกับอพาร์ทเม้นท์ที่ได้ผลตอบแทนเท่า ๆ กันกับหลังแรก อย่างน้อย 3 ห้องขึ้นไป เพื่อที่กำไรจากอพาร์ทเม้นท์ จะสามารถนำมาจ่ายค่าเช่าบ้านของเราเองได้แบบที่เราไม่ต้องควักเงินออกจากกระเป๋าของเราเลย

แต่หากเราดันตัดสินใจไปเช่าซื้อบ้านก่อนเลย สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือ เราก็จะต้องหาเงินจำนวน 15,000 บาท ที่เราจะต้องควักเงินออกจากกระเป๋าของเราเองในทุก ๆ เดือน ซึ่งนั่นมันต่างกันกับแบบแรกเป็นอย่างมาก

ซึ่งสิ่งที่เขาพยายามจะสื่อก็คือ เขาจะนำเงินที่ได้มาทุกบาททุกสตางค์ นำไปลงทุนให้มันงอกเงยก่อน แล้วค่อยนำเงินที่งอกเงยหลังจากนั้นนำมาใช้จ่ายอีกทีหนึ่ง

ยกตัวอย่างเช่น เงินค่าตัวที่เขาได้จากการทำงานในวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นตัวเลขเท่าไหร่ก็ตาม สมมติว่าวันนี้เขาได้ค่าจ้าง 500 บาท 50,000 บาท หรือ 5 ล้านบาท ก็ตามที เขาจะนำเงินก้อนดังกล่าว ไปลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ก่อนเลย ซึ่งสิ่งแรกที่เขาจะได้ประโยชน์ในทันทีเลยก็คือ เมื่อเขาไม่ได้นำเงินดังกล่าวไปใช้จ่าย แต่ไปใช้เพื่อการลงทุน เขาก็ได้รับการลดหย่อนภาษีในทันที

แล้วหลังจากอสังหาริมทรัพย์ที่เขาได้ลงทุนไปนั้น มันเริ่มสร้างกระแสเงินสดกลับคืนมา เงินก้อนนั้นแหละ เขาถึงจะนำมาใช้จ่ายจริง ๆ

โดยเขาได้ยึดหลักนี้มาตั้งแต่อายุ 27 ปี จนตอนนี้เขาอายุ 64 ปี เขาก็ยังยึดประโยคที่เขาเคยกล่าวเอาไว้ว่า “จงอย่าใช้จ่ายเงินที่หามาได้อย่างเด็ดขาด ยกเว้นเอาไว้เพียงอย่างเดียวก็คือ จ่ายเงินนั้นเพื่อการลงทุนเพียงอย่างเดียวเท่านั้นที่ยอมรับได้”

ซึ่ง Grant Cardone ก็บอกว่า ในสภาวะเศรษฐกิจ ณ ขณะนี้ เขาคาดการณ์เอาไว้ว่า ในช่วงราว ๆ 12-18 เดือนนับจากนี้ เราอาจจะได้เห็นโอกาสในการลงทุนในตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ดีที่สุดในช่วง 50-100 ปี ที่ผ่านมาเลยก็ว่าได้

โดยเขาบอกว่า สาเหตุที่เป็นแบบนั้นก็เพราะ ตอนนี้อัตราเรทดอกเบี้ยเงินกู้บ้านได้สูงขึ้นเรื่อย ๆ จากที่เคยมีเรทอัตราดอกเบี้ยอยู่ราว ๆ 2.5% มันก็ได้เพิ่มขึ้นเป็นราว ๆ 6.5% นั่นหมายความว่า ค่าผ่อนบ้านนั้นอาจพุ่งขึ้นสูงกว่าเดิมถึงร้อยละ 40 ยกตัวอย่างเช่น หาก ณ ตอนนี้ค่าผ่อนบ้านอยู่ที่ $2,000 แต่ในวันรุ่งขึ้นอาจกลายเป็น $2,800 ซึ่งมันจะส่งผลให้คนนับล้านคนจ่ายค่าเช่าบ้านไม่ไหว และกลายมาเป็นผู้เช่าแทน นี่แหละ โอกาสมันอยู่ตรงที่ ผู้คนเลือกที่จะเช่าที่อยู่อาศัย มากกว่าที่จะซื้อบ้านเอง

ซึ่งเขาบอกว่า ในสมัยนี้ การเป็นเจ้าของอพาร์ทเม้นท์ ง่ายกว่าการเป็นเจ้าของบ้านซะอีก เพราะทางธนาคารมองว่า อพาร์ทเม้นท์นั้น สามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่า มีกระแสเงินสดที่ดีกว่า ซึ่งทำให้การปล่อยสินเชื่อง่ายกว่าอสังหาริมทรัพย์ประเภทอื่น ๆ

ยกตัวอย่างเช่น หากเรากู้ซื้อบ้านเพื่ออยู่อาศัยเอง ที่นอกจากเงินของเราเองที่นำไปผ่อนค่าเช่าบ้านแล้วนั้น มันไม่มีรายได้จากแหล่งอื่น ๆ เลย แถมเจ้าของบ้านก็ยังต้องโดนภาษีต่าง ๆ นา ๆ และรายจ่ายต่าง ๆ ก็ไม่สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ ไม่ว่าจะเป็นค่าซ่อมหลังคา ค่าตัดหญ้า ค่าน้ำ ค่าไฟ

แต่ในขณะที่การกู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์เพื่อปล่อยเช่านั้น ถ้ามันมีมากกว่าหนึ่งห้อง ก็จะทำให้อสังหาฯ ชิ้นดังกล่าว มีรายได้จากหลายผู้เช่า แถมค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ภายในอสังหาริมทรัพย์เหล่านี้ ยังนำไปลดหย่อนภาษีได้อีกด้วย

และสิ่งนี้คือสิ่งที่เหล่าบรรดาคนที่มั่งคั่งร่ำรวยเขาทำกัน แต่ความรู้เหล่านี้ กลับไม่มีสอนในโรงเรียนและสถาบันการศึกษา ทั้ง ๆ ที่มีเวลาตั้งหลายปีในการสอน จึงทำให้คนจนและคนชนชั้นกลางที่ไม่มีความรู้ในเรื่องของการเงินเหล่านี้เสียเปรียบ

เพราะเราถูกพร่ำสอนมาว่า จงอย่าเป็นหนี้ แต่ในขณะที่ Grant Cardone เขามองว่า การเป็นหนี้ไม่ได้แย่เสมอไป เพราะหนี้นั้น สามารถแบ่งออกเป็นเป็นสองแบบก็คือ หนี้ดีกับหนี้เลว

ซึ่งหนี้เลว คือหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ ยกตัวอย่างเช่น เอาเงินจากหนี้ไปซื้อสินค้าเพื่ออุปโภคบริโภคแล้วก็หมดไป เช่น รถสปอร์ต, gucci belt หรือบรรดาของใช้พวกรูดบัตรเครดิตต่าง ๆ

แต่ในขณะที่หนี้ดีนั้น คือการนำเงินไปลงทุนต่อยอดให้เงินมันงอกเงยเพิ่มขึ้นมาอยู่เรื่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็น การลงทุนในตนเอง, การลงทุนในธุรกิจ, การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ที่สิ่งเหล่านี้จะเพิ่มรายได้เข้ามาให้กับครอบครัวของเขามากยิ่งขึ้น ไม่ว่าตัวของเขาจะมีชีวิตอยู่หรือไม่ก็ตามที

ส่วนการลงทุนใน crypto นั้น ทาง Grant Cardone เขามองว่า มันเหมือนเป็นการพนันซะมากกว่า เขาเลยไม่ได้ลงทุนกับมัน แม้ว่าเขาจะเล่น blackjack อยู่บ้าง แต่ก็เล่นขำ ๆ กับเงินไม่กี่ร้อยบาท

แต่สิ่งที่เขาต้องการจะสื่อจริง ๆ ก็คือ เขาต้องการลงทุนในสิ่งที่ตนเองนั้นคิดว่าจะไม่สูญเงินที่ลงทุนไป เขาไม่อยากมีภาพจำในหัวว่า การสูญเสียเงินมันเป็นยังไง เพราะเขาต้องการภาพจำว่าการลงทุนแล้วได้เงินชัวร์มันเป็นยังไงมากกว่า

ยกตัวอย่างเช่น เขายังจำได้ดีเมื่อวันแรกที่เขาเริ่มต้นลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ชิ้นแรกเมื่อตอนที่เขาอายุได้ 28 ปี ที่ราคาของมันอยู่ที่ $78,000 ดอลล่าร์ฯ และเขาก็ได้วางเงินดาวน์เป็นจำนวน $3,000 ดอลล่าร์ฯ และในแต่ละปีเขาก็ทำเงินได้ราว ๆ $2,400 ดอลล่าร์ฯ นั่นแสดงว่าภายในเวลา 1 ปีนิด ๆ เขาก็ได้เงินทุนคืนแล้ว

ดังนั้นเขาจึงเล็งเห็นว่า ถ้าใช้สูตรนี้ สักวันเขาต้องรวยอย่างแน่นอน เขาจึงทำการหาการลงทุนในลักษณะดังกล่าวสะสมไปเรื่อย ๆ เมื่อมีแห่งที่ 1 ก็ต้องมีแห่งที่ 2 แห่งที่ 3 แห่งที่ 4 แห่งที่ 5 ตามมาเรื่อย ๆ

ซึ่งเขามองว่า ในตลาด crypto เขาไม่สามารถวางเงินเอาไว้จำนวน $3,000 ดอลล่าร์ฯ แล้วมันก็จะผลิตเงินออกมาให้เขาได้แบบในตลาด real estate

ดังนั้นเขาไม่เชื่อในการลงทุนใน dogecoin, ethereum หรืออย่าง luna ที่ล่มสลายไป แต่สำหรับ bitcoin เขาก็มีไว้ในครอบครองจำนวนหนึ่ง ซึ่งก็ไม่มากเท่าไหร่ถ้าเทียบกับระดับ whale แต่ก็มากกว่าค่าเฉลี่ยของคนทั่ว ๆ ไป

โดยครั้งแรกที่เขาได้สัมผัสกับ bitcoin นั้น เขาได้รับมันเป็นค่าจ้าง โดย ณ เวลานั้น ถ้าเทียบเป็นเงินดอลล่าร์ฯ เขาได้รับอยู่ที่ราว ๆ $50,000 ดอลล่าร์ฯ โดย ที่ ณ ตอนนั้น ราคาของ bitcoin อยู่ที่เหรียญละ $500 เท่านั้นเอง (ซึ่ง ณ เวลาที่ให้สัมภาษณ์อยู่นั้น ราคาของ bitcoin ก็อยู่ที่เฉลี่ยราว ๆ $20,000 ต่อ 1 btc หรือมูลค่าเพิ่มขึ้นเป็น $2,000,000 ดอลล่าร์ฯ หรือจาก 1.8 ล้านบาท ตอนนี้เป็น 71.7 ล้านบาท ในปัจจุบันแล้วนั่นเอง) ส่วนราคาในอนาคตจะเป็นอย่างไร มันจะขึ้นถึงเหรียญละ $1 ล้านดอลล่าร์ฯ หรือไม่ ก็ช่างมัน แต่กฎข้อแรกที่เขายึดเอาไว้ก็คือ การลงทุนดังกล่าวเขาจะต้องไม่เสียเงินต้นเด็ดขาด

และการลงทุนในสิ่งที่มีความเสี่ยงสูงนั้น เขาจะทำมันก็ต่อเมื่อ มีรายได้จากหลากหลายช่องทางซะก่อน จะต้องมีรายได้ทางที่ 1 2 3 ให้มากพอที่จะทำให้ตัวของเขามีอิสระทางด้านเวลา ที่ไม่ต้องกังวลในเรื่องของเงินขาดมือเสียก่อน เพราะถ้ายังมีเรื่องกังวลว่าเงินจะพอใช้หรือไม่อยู่เลยนั้น หัวมันจะไม่โล่ง และเวลาที่จะตัดสินใจอะไรมันก็จะผิดพลาดได้ง่าย เพราะมีความกดดัน มีความเครียด มีความกังวล เยอะอยู่

ยกตัวอย่างจากตัวของเขา แม้ว่าจะอยู่ในช่วงที่เกิดโรคระบาดอย่าง covid-19 ไม่ว่าบริษัทห้างร้านต่าง ๆ จะต้องถูก lockdown แต่เขาก็ยังได้รับค่าเช่าจากอพาร์ทเม้นท์ ที่มีอยู่ในครอบครองจำนวนกว่า 12,000 ห้อง โดยเฉลี่ยแล้วเขาจะได้ค่าเช่าห้องละประมาณ $1,900 ต่อเดือน และค่าเช่าในตลาดอสังฯ ก็มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นบวกจากเดิมเข้าไปอีกราว ๆ $1,200 ต่อเดือน ดังนั้นนี่คือสาเหตุที่เขาชอบการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์

โดยจากสถิติที่เขาได้รวบรวมมานั้น Grant Cardone บอกว่า

อย่างแรก ในประวัติศาสตร์การลงทุน ไม่มีใครร่ำรวยจากการซื้อบ้านเพื่ออยู่อาศัยเอง

อย่างต่อมาคือ ไม่มีใครร่ำรวยได้ด้วยการออมเงิน เพราะคนที่ร่ำรวยนั้น พวกเขาร่ำรวยจากการลงทุน ซึ่งก่อนการลงทุนในทรัพย์สินใดก็ตาม เขาแนะนำให้เริ่มต้นจากการลงทุนในตนเองเสียก่อน เริ่มต้นจากการไปศึกษาหาความรู้ ไปลงเรียน ไปสัมมนา ไปซื้อหนังสือ ไปอบรม ไปฝึกฝน ให้เก่งในด้านใดด้านหนึ่งสักอย่างก่อน ยังไม่ต้องรีบเป็นนักลงทุนตั้งแต่แรกก็ได้

โดยเขาได้ยกตัวอย่างจากตนเองในอดีต ที่เมื่อตอนที่เขาอายุได้ 25 ปี เขาพึ่งออกจากสถานบำบัดยาเสพย์ติด และเป็นหนี้สินติดตัวกว่า $40,000 ดอลล่าร์ฯ หรือประมาณ 1.4 ล้านบาท ซึ่ง ณ เวลานั้น เขาไม่มีความน่าเชื่อถือเหลือเลยแม้แต่น้อย ไม่มีใครเชื่อในตัวเขา และแม้กระทั่งตัวของเขาเองยังไม่เชื่อในตนเองเลยซะด้วยซ้ำ

ซึ่ง ณ เวลานั้น มันไม่ใช่เวลาที่มีตัวเลือกมากนัก ดังนั้น งานอะไรที่เขาสามารถทำได้ ณ ตอนนั้นเลย เขาก็เริ่มต้นทำมันเลย ซึ่งแน่นอนว่า มันไม่ใช่งานในฝัน มันไม่ใช่งานที่เขามีความหลงใหล มันไม่ใช่งานที่เขารัก แต่เขาก็ใช้โอกาสที่ได้ทำงานดังกล่าว แล้วก็เริ่มต้นพัฒนาการทำงานดังกล่าว ให้เก่งยิ่งขึ้น

จากนั้นเมื่อทำงานชิ้นดังกล่าวได้ดีขึ้นแล้ว เขาก็เริ่มต้นหางานที่สอง งานที่สาม หลังจากเสร็จงานแรกแล้วเขาก็หารายได้เพิ่มเติม จนเขาเริ่มมีเงินเก็บราว ๆ $3,000 – $4,000 หรือประมาณแสนกว่าบาท เขาก็เริ่มมีแนวที่คิดที่ว่า จะใช้เงินที่เก็บมาได้นี้ไปทำอะไรได้บ้าง เพื่อให้เงินก้อนดังกล่าว เริ่มต้นทำงานหาเงินให้เขาได้

ซึ่งธุรกิจแรก ๆ ที่เขาทำแล้วประสบความสำเร็จนั้น เขาเริ่มต้นมันทั้ง ๆ ที่ไม่มีเงินทุน ไม่กู้หนี้ยืมสิน แต่ใช้การทำงานอย่างหนักเพรียว ๆ จนกระทั่งบริษัทมีกำไรก้อนโต

จากนั้นเขาก็เริ่มนำเงินก้อนที่ได้จากกำไรสะสมของบริษัทแรก นำไปต่อยอด โดยมีข้อแม้ว่าจะต้องเป็นการลงทุนที่เขามั่นใจว่าจะต้องไม่เสียเงินต้น แน่นอนว่า การลงทุนของเขาไม่ใช่ในตลาดหุ้น ไม่ใช่ตลาดในคริปโต ไม่ใช่ในพันธบัตร ไม่ใช่พวกกองทุน ที่เป็นพวกการซื้อขายที่เป็นสัญญาที่เขียนบนกระดาษ

โดยเขาไม่ต้องการที่จะ Trade หรือซื้อขายแลกเปลี่ยนระหว่างกระดาษที่เป็น us dollar ที่หลายคนเรียกมันว่าเป็นขยะ เพราะมันเป็นที่ถูกสร้างขึ้นมาจากอากาศ ไปเป็นสัญญากระดาษที่รับรองด้วยบริษัทใน Wall Street ในตลาดหุ้น ที่มีตราประทับรับรองว่า พวกเขาจะรับประกันว่าใบสัญญาในกระดาษดังกล่าว สามารถซื้อขายได้

ซึ่งสิ่งที่ Grant Cardone พยายามจะสื่อก็คือ เขาต้องการลงทุนในสินทรัพย์ที่จับต้องได้มากกว่าสัญญาซื้อขายที่มีแต่ในกระดาษ

ส่วนที่ดินที่ในโลก metaverse หรือในภาษาไทยที่ชื่อ จักรวาลนฤมิต นั้น จาก Grant Cardone เขามองว่า มันเป็นเรื่องที่เหลวไหล เพราะถ้าอย่าง Facebook หรือบริษัทแม่ที่เปลี่ยนชื่อเป็น Meta นั้น บอกว่าจะเข้ามาลุยในตลาด metaverse อย่างจริงจังนั้น เขามองว่า ทุกวันนี้แพลตฟอร์มในเครือของพวกเขาอย่าง facebook และ instagram พวกเขายังเอาพวกบอท พวกแสปม ออกยังไม่ได้เลย ถ้าไปในโลก metaverse นี่ไม่น่ารอด

ส่วนโอกาสในการทำเงิน การลงทุนในโลกยุคปัจจุบันนั้น Grant Cardone เขาบอกว่า โลกในยุคนี้ เป็นยุคที่มีโอกาสการทำเงินอย่างเยอะแยะมากมายเต็มไปหมด มีหลายสิ่งหลายอย่างที่สามารถหาเงินได้ โดยที่ไม่ต้องก้าวขาออกจากบ้านซะด้วยซ้ำ แต่สามารถเข้าถึงคนได้ทั่วโลก โดยใช้เครื่องมือที่เรียกว่า อินเตอร์เน็ต

ที่หากย้อนกลับไปเมื่อ 12 ปีที่แล้ว ตัวของเขาเองนั้น ไม่มีคนติดตามบนโลกโซเชียลเลยแม้สักคนเดียว คน follower ที่เป็นศูนย์เลย ซึ่งเขาพึ่งมาเริ่มทำโซเชียลมีเดียครั้งแรก ๆ ก็ตอนอายุปาเข้าไป 50 ปี เข้าให้แล้ว เป็นคนแก่ ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวเกี่ยวกับเทคโนโลยีเลย ใช้สมาร์ทโฟนก็ยังไม่เป็น บัญชี ig, youtube ฯลฯ

ซึ่งเขามองว่า social media เหล่านี้ คือเครื่องมือที่ช่วยให้ครีเอเตอร์ที่ผลิตเนื้อหาที่ดีและเป็นประโยชน์ สามารถเข้าถึงผู้คนได้ทั่วโลก

ซึ่งในสัปดาห์ก่อนหน้านี้ เขาก็สามารถใช้เครื่องดังกล่าว ช่วยเข้าถึงผู้คนที่สนใจลงทะเบียนเรียนฟรีเกี่ยวกับการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ มากกว่า 125,000 คน และก็มีคนเรียนเนื้อหาแอดวานซ์ต่อจำนวน 20,000 คน ที่พวกเขาตัดสินใจที่จะลงทุนในตัวเอง เพื่อให้มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ ในตลาดอสังหาริมทรัพย์มากขึ้น และได้เจอกันในงานสัมมนาเจอหน้ากันจริง ๆ

ดังนั้น นี่คือความน่าทึ่งของยุคอินเตอร์เน็ตที่สามารถเชื่อมผู้คนเข้าหากันได้ง่ายที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติมนุษย์เลยก็ว่าได้

และการที่บริษัทของเราจะทำเงินได้มากขึ้น ก็คือการที่สามารถเชื่อมต่อกับผู้คนได้มากขึ้น ไม่ใช่เชื่อมต่อกับเงินกระดาษ ดังคำกล่าวที่ว่า ‘ผู้คนอยู่ที่ไหน เงินก็อยู่ที่นั่น’

ซึ่งในอนาคตถ้าหากผู้คนไปรวมตัวกันที่โลก metaverse คุณก็จำเป็นที่จะต้องเรียนรู้ที่จะเชื่อมต่อกับผู้คนผ่านโลกดังกล่าวในโลกแห่งความเป็นจริง และเมื่อไหร่ก็ตามที่มีผู้คนรู้จักคุณมากพอ และคุณสามารถทำประโยชน์และช่วยเหลือผู้คนได้มากพอ เมื่อนั้น เงินทองจะหลั่งมาเทมาที่คุณอย่างมหาศาล

ส่วนถ้าถามว่า จะมีประเทศใดที่จะสามารถขึ้นมาแทนสหรัฐอเมริกาภายใน 5 ปี ต่อจากนี้ได้หรือไม่นั้น ทาง Grant Cardone ก็บอกว่า เขาคิดว่าตอนนี้สหรัฐอเมริกายังคงแข็งแกร่งและมีข้อเสนอการลงทุนที่ดีที่สุดในโลก

เพราะเมื่อเขาลองเดินทางไปยังประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น สิงคโปร์ ดูไบ ออสเตรเลีย อังกฤษ เขาก็พบว่า อสังหาริมทรัพย์ในอเมริกายังคงถูกอยู่เมื่อเทียบกับประเทศต่าง ๆ ที่ว่ามานั้น โดยเขาเชื่อว่าอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐอเมริกากำลังจะ ON SALE

ซึ่งในอนาคตอันใกล้ จะมีคนยุค baby boomer จำนวนกว่า 75 ล้าน คนกำลังเข้าสู่วัยเกษียณ แล้วก็จากโลกนี้ไป ซึ่งคนกลุ่มนี้ พวกเขาส่วนใหญ่เกือบทั้งหมดจะลงเอยด้วยการไปอยู่บ้านพักคนชรา และไม่มีใครซื้อบ้านแล้ว

ดังนั้น มันก็จะมีบ้านที่ไม่มีคนอยู่อาศัยว่างอยู่เยอะแยะมากมายเต็มไปหมด ที่ขายไม่ออก เพราะคนรุ่นใหม่นั้น ช่วงเริ่มต้นวัยทำงาน พวกเขาก็ไม่ได้ต้องการที่จะซื้อบ้าน เพราะพวกเขาชอบการเช่าอยู่มากกว่า เพราะมันคล่องตัวในการเปลี่ยนถิ่นฐานที่อยู่อาศัย

ซึ่งสาเหตุที่ในปัจจุบันการเช่าอยู่อาศัย เป็นตัวเลือกที่ดีกว่า เมื่อเทียบกับในอดีตเมื่อราว ๆ 20 ปีที่แล้วนั้น ก็คือ ในปัจจุบันมันมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่มาพร้อมกับห้องเช่าด้วย ไม่ว่าจะเป็น สระว่ายน้ำ สวนหย่อม ระบบรักษาความปลอดภัย ถนนส่วนบุคคล ห้องฟิตเนส ฯลฯ ที่เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับการซื้อบ้านเองแล้วนั้น การเช่าคุ้มค่ากว่ามาก เพราะมีต้นทุนที่ต่ำกว่า และไม่มีภาระผูกมัด

ดังนั้น หากคุณคิดจะลงทุน อาจจะมองหาอสังหาริมทรัพย์ให้เช่า น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าการซื้อบ้านเอาไว้อยู่เอง

และสุดท้าย Grant Cardone ก็บอกว่า ถ้าหากวันนี้คุณยังจนอยู่ จงอย่าเป็นคนขี้เกียจ และอย่าเป็นคนไม่ดี เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว คุณจะกลายเป็นทั้งคนถังแตกและคนเลวในเวลาเดียวกัน ดังนั้น จงออกไป ทำงาน ทำงาน ทำงาน

Resources