Blue O'Clock

สตูดิโอผลิตและพัฒนาสื่อการเรียนรู้ด้านการลงทุน ธุรกิจ จิตวิทยาและการพัฒนาตนเอง อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

How to

Jack Ma อบรมผู้ประกอบการรุ่นเยาว์ที่มหาวิทยาลัย Nairobi ประเทศ Kenya

 

Jack Ma ได้ไปบรรยายให้กับผู้ประกอบการรุ่นใหม่ ที่มหาวิทยาลัย Nairobi ประเทศ Kenya ในปี 2017

Jack Ma เริ่มต้นด้วยการที่เขาได้เล่าย้อนกลับไปเมื่อประมาณสิบกว่าปีที่แล้ว ในปี 1999 ตอนที่เขามีอายุประมาณ 35 ปี ซึ่งเขาได้พูดให้กับเพื่อน ๆ อีก 18 คน ในห้องอพาร์ทเม้นท์เล็ก ๆ เพื่อโน้มน้าวให้ทุกคนเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการก่อตั้งบริษัทที่เกี่ยวข้องกับอินเตอร์เน็ตขึ้นมา โดยมีจุดประสงค์ที่ต้องการใช้อินเตอร์เน็ตในการช่วยเหลือเหล่าบรรดา SME, กลุ่มพ่อค้าแม่ค้าและกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีความฝัน ที่มีไอเดียในการผลิตสินค้าและต้องการขายสินค้าไปทั่วโลก ให้กลายเป็นจริงขึ้นมา

และเมื่อเพื่อน ๆ ของ Jack Ma ทั้ง 18 คน ได้ยินเรื่องดังกล่าวก็ยังนึกภาพไม่ค่อยออก ซึ่งไม่ต้องเดาก็พอจะรู้ว่า ในยุคนั้นผู้คนยังถามกันอยู่เลยว่า อินเตอร์เน็ตคืออะไร? ยิ่งบอกเรื่องของ Ecommerce ค้าขายออนไลน์ ยิ่งงงเข้าไปกันใหญ่

ซึ่ง Jack Ma พูดอยู่บ่อยครั้งว่า เขาค่อนข้างเป็นคนที่โชคดี (มหาเศรษฐีต่างยอมรับ ดวงคือปัจจัยอย่างหนึ่งที่ส่งผลต่อความสำเร็จ) ที่เพื่อน ๆ ทั้ง 18 คน เชื่อมั่นในตัวเขาเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว และเขาก็ยังบอกอีกว่า ความฝันเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว พวกเขาสามารถทำมันได้สำเร็จโดยใช้เวลาเพียงแค่ 15 ปี ในปี 2014 ก็สามารถนำบริษัท Alibaba เข้าตลาดหลักทรัพย์ได้สำเร็จ

ตรงประโยคนี้จะเห็นได้ว่า Jack Ma ใช้คำว่า ใช้เวลาน้อยมากแค่ 15 ปี ก็สำเร็จ นั่นหมายถึง ภาพความสำเร็จที่ทุกคนต่างเห็นเบื้องหน้าในวันนี้ของเขานั้น ล้วนแล้วมาจากการทำงานอย่างหนักตลอดสิบกว่าปี ที่ไม่มีใครเคยเห็นเบื้องหลัง ที่มีแต่ความยากลำบาก ความอดทน ความมุ่ง ความขยันขันแข็ง และอุปสรรคนานับประการ

ต่อมาข้ออ้างของคนส่วนใหญ่ที่ไม่ยังไม่กล้าที่จะเริ่มต้นทำธุรกิจสักกะที เช่น ฉันไม่มีความรู้เรื่องเกี่ยวกับธุรกิจ ฉันไม่เคยทำธุรกิจมาก่อนเลยในชีวิต ฉันไม่เคยเรียน MBA ด้านการบริหารธุรกิจมาก่อน

ซึ่ง Jack Ma ได้บอกว่า นั่นแหละคือตัวเขา ที่ไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับเรื่องธุรกิจ ที่หนักไปกว่านั้นก็คือ เขาแทบจะไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ แม้กระทั่งตอนนี้ เขาก็ยังไม่มีคอมพิวเตอร์ส่วนตัวไว้ใช้ทำงานแม้แต่เครื่องเดียว ทั้ง ๆ ที่เป็นบริษัทขายของออนไลน์ผ่านเว็บไซต์

ซึ่งทุกคนต่างตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับตัวเขาว่า เพราะเหตุใด ทำไม Jack Ma ซึ่งเป็นคนที่ไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับธุรกิจ คอมพิวเตอร์ หรือแม้กระทั่งไฟแนนซ์หรือการเงิน สามารถรันธุรกิจ Ecommerce ยักษ์ใหญ่ขนาดนี้ได้ คำตอบที่ Jack Ma ตอบก็คือ “เขารู้เรื่องของคนเป็นอย่างดี” เขารู้ว่าผู้คนต้องการอะไร และไม่ต้องการอะไร

ซึ่ง Jack Ma เล่าว่า เขาเก็บเกี่ยวประสบการณ์เกี่ยวกับการเรียนรู้เรื่องของการทำงานกับผู้คนมาตั้งแต่สมัยเรียนในช่วงมหาวิทยาลัย แม้ว่าตัวเขาเองนั้นจะหัวไม่ค่อยดี เรียนไม่ค่อยเก่ง ซึ่งผลการสอบเขาก็มักจะได้อันดับท้าย ๆ ของห้องตั้งแต่ชั้นประถมยันเรียนจบมหาวิทยาลัย ซึ่งเขาสอบตกในช่วงมหาวิทยาถึง 3 ครั้งด้วย

ซึ่งนั่นมันทำให้เขาเรียนรู้ว่า สิ่งที่เขาควรทุ่มเทมากที่สุด ไม่ใช่เพื่อการผลักดันให้ตัวเองเรียนได้อันดับที่ 1 ของรุ่น เพราะดูแล้วน่าจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยาก แม้ว่าจะใส่ความพยายามอย่างสุดกำลัง ดังนั้น Jack Ma จึงคิดใหม่ว่า ถ้าเป็นนักเรียนเรียนดีอันดับที่ 1 ไม่ได้ งั้นก็เป็นนักเรียนที่มีผู้คนชื่นชอบมากที่สุดแทนก็แล้วกัน และนั่นก็ทำให้เขาได้รับเลือกเป็นประธานนักศึกษาของมหาวิทยาลัยของเขาเอง และต่อมาก็ได้กลายเป็นประธานศึกษาของเมืองทั้งเมืองได้ในที่สุด ซึ่งรวมแล้วมีนักศึกษารวมกันมากกว่า 1 แสนคน และเขาคือคนที่อยู่ตำแหน่งบนสุดของวงการนี้

และงานของเขาก็คือ การทำงานร่วมกับผู้คนหลายคน เพื่อรับฟังเสียงของนักศึกษา และพิจารณาว่า มีสิ่งใดที่เขาสามารถทำเพื่อกลุ่มนักศึกษาเหล่านี้ได้บ้าง ซึ่งในตอนนั้นเขาก็ยังยากจนและไม่มีเงินอยู่ ดังนั้นการช่วยเหลือผู้อื่นให้ได้มากที่สุดคือทางเลือกหนึ่งเดียวเพื่อให้ผู้อื่นเคารพนับถือในตัวเขา

ต่อมาหลังจากที่เขาเรียนจบระดับชั้นมหาวิทยาลัยแล้ว มีโอกาสได้ทำงานทำแรกนั่นก็คือการเข้าไปเป็นคุณครูในระดับมัธยมศึกษา เป็นเวลาทั้งหมด 6 ปี และเขาก็รู้เคล็ดลับอย่างหนึ่งในการเป็นคุณครูที่นักเรียนรักมากที่สุดในโรงเรียนนั่นก็คือ ให้คุณเลิกชั้นเรียนก่อนถึงเวลาหมดคาบก่อน 5 นาที เพราะไม่มีนักเรียนคนไหนหรอกที่ชอบคุณครูที่สอนเกินเวลาเรียน ต่อให้คุณสอนเก่ง สอนดีแค่ไหน พวกเขาก็ไม่ชอบคุณอยู่ดี และนี่คือเคล็ดลับที่ทำให้คุณสามารถกลายเป็นคุณครูที่นักเรียนชอบมากที่สุดในโรงเรียนนั่นเอง

และจบจากอาชีพคุณครูเขาก็ได้กลายมาเป็น CEO ของบริษัท ซึ่งสิ่งที่เขาได้เรียนรู้จากการเป็นคุณครูที่ดีก็คือ ครูทุกคนอยากให้ลูกศิษย์ได้ดิบได้ดีแทบทั้งสิ้น ครูทุกคนอยากให้นักเรียนของเขาเก่งกว่าตัวเขา คงไม่มีครูคนไหนที่อยากให้ลูกศิษย์เรียนจบไปแล้ว ล้มละลายหรือเข้าคุกเข้าตาราง

ดังนั้นเขาจึงนำหลักคิดนี้มาปรับใช้ในตอนที่ทำบริษัท Alibaba ที่เขามีหน้าที่ต้องหาคนเข้ามาทำงานในบริษัท ซึ่งเขาจะต้องมั่นใจว่า คนที่เขาจ้างเข้ามานั้น ต้องดีกว่าเขา เก่งกว่าเขา ฉลาดกว่าเขา และเราก็มีหน้าที่ดึงศักยภาพที่แท้จริงของเขาออกมาให้ได้ เพราะ Jack Ma เชื่อว่า พวกเขาเก่งกว่าที่พวกเขาคิดเอาไว้ และการที่จะทำให้พวกเขาเก่งขึ้นได้นั้น คุณก็ต้องจัดการอบรม จัดเทรนนิ่งให้แก่พวกเขา ฝึกฝนสร้างวินัยให้แก่พวกเขา ซับพอร์ทพวกเขา อย่างดีที่สุด โดย Jack Ma ได้นิยามความหมายของคำว่า CEO ในมุมมองของเขาที่เคยเป็นครูมาก่อนว่า จากเดิมที่ CEO ย่อมาจาก Chief Executive Officer ที่แปลได้ว่า ประธานกรรมการบริหารบริษัท เปลี่ยนเป็น Chief Education Officer ที่แปลได้ว่า ประธานกรรมการการศึกษาของบริษัท

สรุปสั้น ๆ อีกครั้ง นี่คือสิ่งที่ Jack Ma ได้เรียนรู้ในแต่ละช่วงเวลาก็คือ

  • ช่วงที่เป็นนักเรียน นักศึกษา คุณต้องเป็นนักเรียนที่ดี ขวนขวายหาความรู้ โดยที่ไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่เรียนเก่งที่สุด แต่คุณต้องรู้ว่า ใครเก่งกว่าคุณและเรียนรู้วิธีการทำงานร่วมกับเขาคนนั้น
  • ช่วงที่เป็นคุณครู เขาเรียนรู้ว่า คุณครูมีหน้าที่ในการแบ่งปันความรู้แก่ผู้เรียน และทำให้ผู้เรียนรู้ตัวว่า พวกเขาเก่งกว่าที่พวกเขาคิดเอาไว้เยอะ

Jack Ma ได้เล่าย้อนกลับไปในช่วงปี 1994 ตอนที่เขาพึ่งลาออกจากการเป็นครูในมหาวิทยาลัย เพื่อเริ่มต้นในเส้นทางสู่การเป็นนายตัวเองว่า แนวคิดการเริ่มต้นธุรกิจ Alibaba ของเขานั้น เริ่มต้นมาจากการที่เขาคิดในแบบความเป็นครูของเขาก็คือ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาได้พร่ำสอนแก่ลูกศิษย์ของเขานั้น ความรู้เหล่านั้นล้วนแล้วแต่เป็นความรู้แต่เพียงในหนังสือเพียงอย่างเดียวเท่านั้น และ Jack Ma ก็คิดแค่เพียงว่า หากเขาออกไปเพื่อนำความรู้เกี่ยวกับเรื่องอินเตอร์เน็ตมาเผยแพร่แก่ผู้อื่นมันจะต้องดีกว่าที่เป็นอยู่นี้อย่างแน่นอน

ซึ่งในขณะที่คนอื่น อาจมีจุดเริ่มต้นในการกระโดดเข้าสู่ธุรกิจอินเตอร์เน็ตนั้น อาจจะมาจากเห็นโอกาสในการกอบโกย ว่าหากฉันกระโดดเข้าร่วมในวงการนี้ ฉันจะต้องรวยอย่างแน่นอน แต่ในขณะที่ Jack Ma เข้าสู่วงการนี้ โดยไม่ได้ใช้ตัวเงินเป็นที่ตั้ง ตั้งแต่แรก เพราะ ณ เวลานั้น ใคร ๆ ต่างก็รู้ดีว่าตัวของ Jack Ma นั้น ไม่ได้มียีนส์ของคนรวยเลยแม้แต่น้อย โดยเขาเล่าว่า เขาเคยถามภรรยาของเขาในช่วงที่พึ่งเริ่มก่อตั้งธุรกิจว่า “เธอต้องการสามีที่ร่ำรวยหรือสามีที่ได้รับการเคารพและนับถือมากกว่ากัน” โดยภรรยาสวนตอบกลับทันควันเลยว่า “หน้าอย่างคุณเนี่ยไม่ใช่คนรวยอย่างแน่นอน” เพราะถ้าดูจากพื้นเพตั้งแต่เกิดมาของ Jack Ma นั้น ที่เกิดมาในครอบครัวที่ยากจน ที่พ่อและแม่ของเขาเองนั้น ก็จินตนาการไม่ออกเลยว่า ลูกของตัวเองจะรวยได้ยังไง ในขณะที่เพื่อนร่วมชั้นเรียนรวมไปถึงครูบาอาจารย์ของเขานั้น ก็ไม่เคยคิดว่าเขาจะร่ำรวยได้ เพราะแม้แต่การสอบเลื่อนชั้นยังสอบตกแล้วสอบตกอีก

ซึ่งแม้ว่าในวันนี้ สื่อทั่วโลกจะพาดหัวข่าวและยกย่องให้เขานั้น กลายเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในประเทศจีน แต่ตัวของ Jack Ma เองก็ยังคงคิดว่าเขาไม่ใช่คนร่ำรวยอะไร นั่นก็เพราะ ตัวเขาคิดว่า เงินเหล่านั้นไม่ใช่เงินของเขา โดยเขายกตัวอย่างให้เห็นภาพได้ชัดยิ่งขึ้น เมื่อคุณทำธุรกิจไปได้สักพัก หากคุณมีรายได้สัก 1 ล้านดอลล่าร์(ประมาณ 30 ล้านบาท) นั่นเป็นเงินที่คุณสมควรได้รับหลังจากที่ตรากตรำทำงานมาอย่างหนัก แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่ในกระเป๋าคุณเริ่มมีเงินสัก 20 ล้านดอลล่าร์ฯ(ประมาณ 600 ล้านบาท) คุณจะเริ่มมีปัญหาใหม่เข้ามาทันทีนั่นก็คือ คุณจะต้องเริ่มคิดและประเมินผลของผลตอบแทนในการลงทุนในรูปแบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น

  • ฉันจะเอาเงินก้อนนี้ไปลงทุนอสังหาฯ ที่ไหนดี
  • ฉันจะเอาเงินก้อนนี้ไปซื้อหุ้นตัวไหนเอาไว้
  • ฉันจะเอาเงินก้อนนี้ไปลงทุนในบริษัท VC (Venture capital)กับเจ้าไหนดี ซึ่ง VC ก็คือบริษัทกองทุนที่จะนำเงินไปลงทุนในบริษัทอื่นอีกทีนึงนั่นเอง
  • ฯลฯ

ซึ่งจะสังเกตได้ว่า เงินเหล่านั้นมันก็ไม่ได้อยู่ในกระเป๋าเราอยู่ดี มันเป็นเงินของคนอื่นหรือเพื่อลงทุนในบริษัทอื่น

และเมื่อไหร่ก็ตามที่คุณมีเงินจำนวน 1 พันล้านดอลล่าร์ฯ (ประมาณ 30,000 ล้านบาท) นั่นมันคือเงินของผู้คนที่เชื่อมั่นในตัวคุณ เชื่อมั่นในบริษัทของคุณ ว่าเมื่อพวกเขาฝากเงินไว้กับบริษัทของคุณแล้วนั้น คุณจะสามารถใช้เงินนั้นให้เกิดประโยชน์ได้ดีกว่ารัฐบาลได้นั่นเอง

และนั่นมันก็ทำให้ Jack Ma ตระหนักอยู่ตลอดเวลาว่า การใช้จ่ายเงินเหล่านี้ เป็นความรับผิดชอบของเขาที่จะต้องทำให้เงินก้อนนี้เกิดประสิทธิภาพสูงที่สุด และนี่คือเหตุผลที่ภรรยาของเขาบอกกับเขาในวันนั้นว่า อย่าพยายามที่จะเป็นคนรวย แต่จงเป็นคนที่มีแต่ผู้คนเคารพและนับถือในตัวของคุณ และนั่นคือสิ่งที่ Jack Ma เองถือปฏิบัติตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

โดย 3 เรื่องหลักที่ Jack Ma มักจะแชร์แก่ผู้ประกอบการรุ่นใหม่ ก็คือ

  1. How to be successful – วิธีการประสบความสำเร็จ
  2. How to not fail – วิธีการหลีกเลี่ยงความล้มเหลว
  3. How to be Respected – วิธีการได้รับความเคารพนับถือจากผู้อื่น

มาดูกันที่ข้อแรก ถ้าหากคุณต้องการที่จะประสบความสำเร็จ คุณจะต้องเป็นคนที่มีทั้ง EQ, IQ และ LQ

  • EQ : Emotional Quotient หมายถึง ความฉลาดทางอารมณ์
  • IQ : Intelligence Quotient หมายถึง ความฉลาดทางเชาวน์ปัญญา
  • LQ : Love Quotient หมายถึง ความฉลาดทางด้านความรัก

ซึ่ง EQ นั้น มีผลอย่างมากต่อการประสบความสำเร็จ เพราะเมื่อคุณมี EQ ที่สูง คุณจะรู้วิธีการการทำงานร่วมกับผู้อื่นได้เป็นอย่างดี คุณจะเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์ และคุณจะสามารถซับพอร์ทผู้คนเพื่อให้พวกเขาร่วมแรงร่วมใจในการร่วมกันทำบางสิ่งบางอย่างให้สำเร็จลุล่วงขึ้นมาได้ และเจ้า EQ นี่แหละ ที่จะส่งผลให้คุณสามารถประสบความสำเร็จได้ในที่สุด

ต่อมาคือ หากคุณต้องการที่จะหลีกเลี่ยงความล้มเหลว

คุณคงเคยเห็นคนที่ทำธุรกิจบางคน ที่อยู่ดี ๆ ก็รวยล้นฟ้าขึ้นมา แต่กลับจนจง ธุรกิจเจ๊งไม่เป็นท่า หมดตัวอย่างรวดเร็ว และหากคุณไม่ต้องการที่จะล้มเหลวอย่างพวกเขา คุณจำเป็นที่จะต้องให้ความสำคัญกับ IQ เพราะพวกเขาเหล่านั้นขาด IQ ทางด้านความรู้ที่ดีและความรู้ที่จำเป็นสำหรับการใช้ในการดำเนินการธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ รวมไปถึงองค์ความรู้ใหม่ ๆ ที่จะช่วยปกป้องไม่ให้ธุรกิจเจ๊ง ปกป้องคนในองค์กรให้อยู่ดีมีสุข

ส่วนการมี IQ ที่สูง โดยไม่ใส่ใจกับการพัฒนาทักษะทางด้าน EQ แล้วล่ะก็ คุณก็จะไม่สามารถประสบความสำเร็จได้ โดยดูได้จาก แต่ละโรงเรียน แต่ละสถาบันการศึกษา นักเรียนที่มี IQ สูงสุดในชั้น เรียนเก่งสุด แต่กลับไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร เป็นเพราะพวกเขาละเลยการพัฒนาด้าน EQ จึงมีวลีที่เราคุ้นชินกันว่า จบดอกเตอร์แต่มักจะเป็นลูกจ้างในบริษัทของคนที่จบเพียงแค่ชั้น ป.4

ซึ่งความหมายในที่นี้ คนส่วนใหญ่มักตีความผิด โดยมักจะชอบตีความไปว่า การศึกษานั้นไม่สำคัญ จบ ป.4 ก็รวยได้ เป็นเถ้าแก่ได้ แต่หารู้ไม่ว่า เถ้าแก่เหล่านั้น ที่เขาเรียนจบเพียงชั้น ป.4 ส่วนใหญ่ ณ ตอนนั้น พวกเขายากจนเกินกว่าที่เข้าเรียนในสถาบันการศึกษา ซึ่งในชีวิตจริงนั้น เหล่าบรรดาเถ้าแก่ต่างขวนขวายหาความรู้จากการลงมือปฏิบัติ บวกกับขวนขวายหาความรู้ที่อยู่นอกตำราอยู่ตลอดเวลา ไม่เคยหยุดเรียนรู้สักวัน และแน่นอนว่า การที่เถ้าแก่กลายเป็นที่รักของลูกน้องก็เพราะ เขามี EQ ที่สูง ทำให้เข้าใจในศาสตร์ของมนุษย์ด้วยกันมากกว่าคนที่มีแต่ IQ สูงเพียงอย่างเดียวนั่นเอง

และเมื่อใดก็ตามที่ตัวคุณนั้นมีทั้ง IQ และ EQ ที่สูงพอสมควร คุณจะเริ่มมีชื่อเสียง มีเงินทอง หลังไหลเทมาจากทุกทิศทาง แต่หากเมื่อไหร่ที่คุณถึงจุดหนึ่งที่คนส่วนใหญ่คิดว่า จุดที่คุณยืนอยู่นั้นเป็นของคนที่ประสบความสำเร็จยืนอยู่ แต่ตัวคุณเองกลับพบว่า มันว่างเปล่าสิ้นดี เพราะแทบไม่มีใครเลยที่เคารพและนับถือคุณจากใจจริง

ดังนั้นหากในวันนี้ผู้คนยังไม่เคารพนับถือในตัวคุณนั่นก็เป็นเพราะ คุณยังขาดในด้านของ LQ ที่หมายถึง ความฉลาดทางความรัก ที่มีต่อเพื่อนมนุษย์ในสังคม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการให้ความใส่ใจแก่ผู้อื่น ให้ความรักแก่ผู้อื่น เคารพการตัดสินใจของผู้อื่น เคารพในความคิดของคนรุ่นใหม่ที่แม้ว่าพวกเขาจะอ่อนต่อโลกมากกว่าคุณ แต่ยังไงในวันข้างหน้าพวกเขาก็ต้องเก่งกว่าคุณอยู่ดี

ซึ่งอันที่จริงแล้ว ตัวของ Jack Ma เองเป็นตัวอย่างที่แย่ของคนที่ผู้อื่นไม่เคารพนับถือ โดยเฉพาะคนในประเทศจีนหลายคนมากที่ไม่ชอบเขา เพราะพวกเขาคิดว่าธุรกิจ Alibaba นั้น เป็นตัวบ่อนทำลายธุรกิจดั้งเดิมของพวกเขา ทั้ง ๆ ที่มีพ่อค้า แม่ค้า นักธุรกิจหลายต่อหลายคน ร่ำรวยและมีชีวิตที่ดีขึ้นจากการค้าขายออนไลน์บนเว็บไซต์ของ Alibaba ซึ่ง Jack Ma ได้ให้คำตอบว่า เขาไม่เคยคิดทำลายธุรกิจใด ตัวของพวกเขาเองต่างหากที่ทำลายธุรกิจของตัวเอง เพราะพวกเขาทำธุรกิจย่ำอยู่กับที่ และไม่ยอมพัฒนาธุรกิจให้ทันโลกในยุคปัจจุบัน

และนี่คือ ความฉลาดทั้ง 3 ข้อที่ส่งผลให้คุณสามารถประสบความสำเร็จในชีวิตได้ ซึ่งหาก ณ ตอนนี้คุณอยู่ในช่วงเป็นนักเรียน นักศึกษาอยู่ สิ่งที่คุณควรทำมากที่สุดก็คือ การไปเข้าร่วมกลุ่มทำกิจกรรมต่าง ๆ ให้ได้มากที่สุด ทำงานกับผู้อื่นให้ได้มากที่สุด ช่วยเหลือผู้อื่นให้ได้มากที่สุด อย่าเอาแต่เรียนเพียงอย่างเดียว

Jack Ma ได้เล่าถึงความยากลำบากในช่วงวัยเด็กของเขา โดยอธิบายถึงความยากจนข้นแค้น ที่พ่อและแม่ของเขานั้น ให้ค่าขนมเขาไปโรงเรียนเพียง 6-8 ดอลล่าร์ฯ ต่อเดือน หรือประมาณ 200 บาทต่อเดือน เพราะ ณ ตอนนั้น พวกเขาต้องทำงานเลี้ยงคนในครอบครัวถึง 4 คนด้วยกันก็คือ คุณปู่ที่ว่างงาน พี่ชาย น้องสาว

ทำให้ Jack Ma นั้น รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจมาตั้งแต่เด็กว่า ทำไมเขาถึงเกิดมาในครอบครัวที่ยากจน ทำไมไม่มีใครมาช่วยเหลือครอบครัวของเขาบ้าง ทำไมเขาถึงไม่สามารถเก็บเงินในบัญชีธนาคารได้เยอะ ๆ แบบคนอื่น ๆ บ้าง ทำไมเขาถึงไม่ได้เกิดมาเป็นลูกของคนรวยอย่างครอบครัวของ Bill Gates รวมไปถึงบริษัทของ Bill Gates อย่าง Microsoft ทำไมถึงแย่งงานแย่งโอกาสในการทำมาหากิน ทำไม ทำไม ทำไม

ซึ่งสิ่งที่ Jack Ma ได้เรียนรู้จากสิ่งนี้ก็คือ การบ่นในทางลบ ๆ เหล่านี้ ไม่เคยได้ช่วยให้ชีวิตเขาดีขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย และที่สำคัญคือ เรื่องแย่ ๆ เหล่านี้ไม่ได้มาเป็นพัก ๆ แต่มันมาตลอดเวลา เรื่องแย่ ๆ เรื่องความล้มเหลว เรื่องห่วย ๆ เข้ามาในชีวิตของเขาไม่เคยหยุดหย่อน ดังนั้น สิ่งที่เวิร์คกว่าการบ่นกับเรื่องเหล่านี้ก็คือ การเผชิญหน้ากับมัน การเรียนรู้จากพวกมัน และทำให้ตัวเรานั้นแข็งแกร่งและเติบโตมากยิ่งขึ้น

Jack Ma ได้ยกตัวอย่างความล้มเหลวของเขาที่ผ่านมานั้น มีมากกว่า 30 ครั้ง ยกตัวอย่างเช่น ตัวเขาเองเคยไปสมัครงานเป็นพนักงานที่ KFC มีผู้ลงสมัครด้วยกันทั้งหมด 24 คน และได้รับเข้าทำงานจำนวน 23 คน เขาคือคนเดียวที่ KFC ไม่รับ (แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะตอนนี้ KFC ในประเทศจีน Jack Ma เป็นเจ้าของเป็นที่เรียบร้อยแล้ว)

และตัวเขาเองก็เคยไปสมัครเป็นตำรวจ มีผู้เข้าสมัครทั้งหมด 5 คน และเขาเป็นคนเดียวที่ไม่ได้เป็นตำรวจ และที่เจ็บปวดที่สุดก็คือ มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เขาได้ไปสมัครเป็นเด็กเสิร์ฟที่โรงแรมสี่ดาวแห่งหนึ่งในเมืองบ้านเกิดของเขาพร้อมกันกับญาติสนิท ที่เรียนได้เกรดน้อยกว่าเขา แต่กลับได้เข้าทำงานที่โรงแรมแห่งนี้ ส่วน Jack Ma นั้นก็ถูกปฎิเสธอีกเช่นเคย

และแม้ว่าความล้มเหลวต่าง ๆ ที่ผ่านมานั้นจะเจ็บปวดเพียงใด เขาก็จะน้อมรับมันไว้และใช้มันเป็นประสบการณ์ในการก้าวไปสู่ความสำเร็จ โดย Jack Ma ได้เปรียบเหมือนกับนักมวย ที่ต้องทนทานรับหมัดคู่ต่อสู้ให้ได้และยืนหยัดจนกว่าจะชนะ

ส่วนวิธีการที่ตัวของ Jack Ma ชอบใช้ในการสอนผู้อื่นนั้น เขามีความคิดที่ตรงกันข้ามกับสถาบัน MBA ที่สอนเกี่ยวกับการทำธุรกิจ ที่มักจะยกกรณีศึกษาของนักธุรกิจที่มีชื่อเสียง ที่ประสบความสำเร็จ มาเล่าสู่กันฟัง ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่ดี เพราะมันจะทำให้ผู้เรียนผู้ฟังนั้นได้เรียนรู้วิธีการไปสู่ความสำเร็จและรู้สึกหึกเหิมว่าจนของพวกเขาเองนั้น ก็สามารถที่จะมีโอกาสประสบความสำเร็จได้เช่นกัน

แต่ในขณะที่ Jack Ma มักจะถ่ายทอดประสบการณ์การล้มเหลวของเขาที่ผ่านมาให้แก่ผู้ฟัง ผู้เรียน แล้วให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการพูดคุย แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการเผชิญหน้ากับปัญหาเหล่านั้น อย่างตรงไปตรงมา ไม่ใช่เอาแต่หนีปัญหา เพราะต่อให้คุณฉลาดแค่ไหน คิดโปรเจ็คใหม่ได้ล้ำเลิศมากแค่ไหน แต่คุณกลับยังคงทำผิดพลาดในเรื่องเดิม ๆ ซ้ำ ๆ อยู่ร่ำไป และไม่ยอมที่จะเผชิญหน้ากับปัญหาเหล่านั้น เพื่อแก้ไขมัน เพื่อป้องกันไม่ให้มันเกิดขึ้นซ้ำอีก และเพื่อให้คุณสามารถเอาตัวรอดจากสถานการณ์แย่ ๆ เหล่านั้น เพื่อให้ตัวคุณสามารถเดินหน้าต่อไปได้

ต่อมา Jack Ma ได้ให้ข้อคิดแก่คนรุ่นใหม่ที่อายุยังน้อยอยู่ว่า ยิ่งเริ่มต้นทำธุรกิจตอนที่อายุน้อยเท่าไหร่ ก็ยิ่งได้เปรียบ เช่น ตัวของ Jack Ma เมื่อ 20 ปีก่อนที่พึ่งก่อตั้ง Alibaba นั้น ตัวเขาไม่มีความกดดันมากนัก เพราะมีพนักงานแค่เพียง 18 คน แต่ในขณะที่ ณ ปัจจุบันนั้น มีพนักงานมากกว่า 5 หมื่นคนเข้าไปแล้ว ที่เขาต้องรับผิดชอบ ซึ่งนั่นมันทำให้เขาต้องใช้ความรอบคอบในการตัดสินใจในแต่ละครั้งอย่างระมัดระวัง และใช้เวลาในการตัดสินใจที่นานขึ้น ต่างกับเมื่อตอนเริ่มต้น ที่อยากจะคิด อยากจะทำอะไรก็สามารถลงมือทำได้ทันที เพราะต่อให้ล้มเหลว ความเสียหายก็ไม่ได้มากมายอะไรสักเท่าไหร่

ในขณะที่คนอื่น ๆ นั้นมักจะมองตัวของ Jack Ma ว่า ตัวเขาที่ร่ำรวยในตอนนี้ สามารถทำอะไรก็ได้ทั้งนั้นหากต้องการ ซึ่ง Jack Ma กลับคิดตรงข้าม เพราะยิ่งบริษัทคุณโตมากขึ้นเท่าไหร่ ก็มีน้อยสิ่งน้อยอย่างที่คุณจะทำได้ เพราะต้องคอยพะวงหน้าพะวงหลังถึงผลกระทบที่จะตามมากับอีกหลายหมื่นครอบครัว อีกหลายแสนชีวิตที่ต้องพึ่งพาบริษัทของเขา

ส่วนใดด้านของ Opportunity หรือโอกาสทางธุรกิจในสมัยก่อนในปี 1999 นั้น อินเตอร์เน็ตยังไม่เป็นที่แพร่หลายในประเทศจีนด้วยซ้ำ แต่ Jack Ma ที่ได้เคยไปดูงานที่ฝั่งอเมริกามา เขาเห็นว่าอินเตอร์เน็ตมันมาแน่ เขาจึงเอาวิสัยทัศน์กลับมาแชร์แก่เพื่อน ๆ ที่ร่วมก่อตั้ง Alibaba ในยุคแรกที่มีอยู่ด้วยกัน 18 คน เพื่อให้พวกเขาเข้าใจว่า โลกอินเตอร์เน็ตมันคืออะไร การซื้อขายออนไลน์มันจะเกิดขึ้นในลักษณะไหน ซึ่งแน่นอนว่า เพื่อน ๆ ของเขาแต่ละคนนั้น นึกภาพกันแทบไม่ออกว่ามันจะเกิดขึ้นในประเทศจีนได้อย่างไร ในเมื่อระบบการชำระเงินออนไลน์ก็ยังไม่มี ถึงมีก็ไม่มีความน่าเชื่อถือที่คนจะแห่มาใช้, ระบบการขนส่งสินค้าก็ไม่มี แถมในยุคนั้นอินเตอร์เน็ตช้ามาก ๆ ในขณะที่คนรุ่นใหม่สมัยนี้เอาแต่พร่ำบ่นว่าอินเตอร์เน็ตช้าโคตร ๆ ทั้ง ๆ ที่อินเตอร์เน็ตในวันนี้เร็วกว่าและถูกกว่าเมื่อ 20 ปีก่อนไม่รู้จั้งกี่ร้อยกี่พันเท่า นั่นเป็นเพราะ คนที่ชอบบ่นก็บ่นอยู่วันยังค่ำ ย่ำอยู่กับที่ไม่ไปไหน

โดย Alibaba ในวันแรกนั้น Jack Ma เริ่มต้นด้วยความเชื่อว่า เขาเชื่อว่าอินเตอร์เน็ตมาแน่ ค้าขายออนไลน์มาแน่ และเมื่อไหร่ก็ตามที่คนรอบตัวคุณมักจะบอกคุณว่า มันเป็นไปไม่ได้หรอก เพ้อเจ้อ เสียเวลาเปล่า นั่นแหละคือสัญญาณที่ดี ที่คุณจะกลายเป็นเจ้าแรก ๆ ที่ลงเล่นในตลาดนั้น ๆ และมีโอกาสประสบความสำเร็จก่อนใคร และในทางกลับกันหากสิ่งนั้นมีแต่คนอยากทำ รักที่จะทำ เห็นด้วยที่จะทำ แห่กันมาทำ นั่นหมายถึงว่า ตลาดได้วายไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพราะใคร ๆ ต่างก็ทำ มันจะเหลือโอกาสน้อยลงมาก หากคุณพึ่งเข้ามาในตลาดนั้น ๆ

ดังนั้น Jack Ma จึงเรียกเพื่อน ๆ ทั้ง 18 คน ที่เป็นผู้ร่วมก่อตั้ง Alibaba กลุ่มแรกมาประชุม เพื่อแสดงวิสัยทัศน์ที่เขามองเห็น และแน่นอนก็มีแต่คนแย้ง ไม่ว่าจะเป็น

“เรายังไม่มีระบบ Payment ชำระเงินออนไลน์” Jack Ma ก็สวนกลับไปว่า “ก็สร้างมันขึ้นมาสิ”

แล้วก็มีอีกคนแย้งขึ้นมาว่า “เรายังไม่มีระบบขนส่งสินค้า” Jack Ma ก็สวนกลับไปอีกว่า “ไม่มีก็สร้างมันขึ้นมาสิ”

ต่อมาก็มีคนแย้งอีกแหละว่า “รัฐบาลไม่เล่นด้วยจะทำยังไง” Jack Ma ก็สวนกลับไปทันควันว่า “งั้นดีเลย งั้นก็ทำให้พวกเขาเข้ามาซับพอร์ทเราให้ได้”

Jack Ma ได้เล่าถึงโปรเจค Taobao ที่เป็นเว็บไซต์ซื้อขายของออนไลน์แบบค้าปลีกทั่วไป (ถ้าใครยังนึกไม่ออก ก็คล้าย ๆ กับ Lazada บ้านเรา) ที่ ณ ตอนนั้น ในปี 2003 ทั้งทีมมีคนอยู่เพียงแค่ 7 คน ที่รับผิดชอบโปรเจคนี้ จนถึงกำหนดการที่จะเปิดตัวเว็บไซต์ในวันพรุ่งนี้แล้ว แต่กลับยังไม่มีสินค้าประกาศขายลงบนเว็บไซต์เลยสักชิ้น Jack Ma จึงให้ทีมงานทุกคน กลับบ้านไปแล้วไปลิสต์รายการของที่อยู่ในบ้านของแต่ละคนมาว่า ชิ้นไหนขายได้บ้าง แล้วเอามาใส่ข้อมูลลงบนเว็บไซต์ ซึ่งรวม ๆ แล้ว ณ ตอนนั้น ก็มีสินค้าอยู่ด้วยกัน 21 อย่าง และพวกเขาก็เริ่มประกาศขาย แล้วก็ตั้งตารอจนเวลาผ่านไปแล้วประมาณ 3 วัน แต่กลับไม่มีใครเข้ามาซื้อสินค้าเลยสักกะคน พวกเขาเลยทำการซื้อขายสินค้าระหว่างทีมงานกันเองซะเลย ถือว่าเป็นการทดสอบระบบซื้อขายออนไลน์ของเว็บไซต์ไปในตัว

จนกระทั่ง 2-3 สัปดาห์ผ่านไป ก็เริ่มมีพ่อค้าแม่ค้า เริ่มมาประกาศขายของ แต่ก็ยังไม่มีคนซื้ออยู่ดี พวกเขาเลยทำการซื้อของที่มาประกาศขายจากทุกคน พอรู้ตัวอีกที ก็มีของกองในห้องออฟฟิศเต็มไปหมด ซึ่งสิ่งที่ Jack Ma กับทีมงานทำไปนั้น ก็เพื่อทำให้มั่นใจว่า ระบบการซื้อขายและการส่งสินค้านั้นราบรื่นไปได้ด้วยดีและไม่มีปัญหาขาดตกบกพร่อง

และตั้งแต่วันที่เริ่มก่อตั้ง Taobao ในปี 2003 จนถึงปี 2016 เป็นเวลากว่า 13 ปี เว็บไซต์นี้ก็สามารถทำยอดขายได้แล้วกว่า 550 พันล้านดอลล่าร์ฯ หรือราว ๆ 16.5 ล้านล้านบาท ซึ่งนั่นเทียบเท่ากับประเทศที่มี GPD เป็นอันดับที่ 21 ของโลก หรือมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่กว่าประเทศอาร์เจนตินาซะอีก ซึ่งนั่นมันทำให้เกิดการจ้างงานในประเทศจีนมากกว่า 33 ล้านอัตรา เพื่อส่งมอบสินค้าที่มีการแพคเก็จต่อเฉลี่ย 65 ล้านกล่องต่อวัน

และทั้งหมดที่ว่ามานั้น เริ่มต้นจากคำว่า ‘ความเชื่อ’ ที่ Jack Ma มีต่อโลกอินเตอร์เน็ต ที่เขาคิดเอาไว้เมื่อสิบกว่าปีก่อนว่ามันจะต้องใหญ่ขึ้นแน่นอน แต่เขาเองก็ไม่คิดว่ามันจะใหญ่ขนาดนี้ ซึ่งถ้าถามว่า อินเตอร์เน็ตในวันนี้ ก็ดูใหญ่โตกว่าเมื่อสิบกว่าปีก่อนมาก แต่หากเทียบกับอนาคตแล้วนั้น มันยังเล็กมาก และส่วนตัวของ Jack Ma เองก็เชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า ในอีกไม่ช้า ผู้ประกอบการจำนวนกว่าร้อยละ 80-90 นั้นจะหันมาค้าขายออนไลน์กันแทบทั้งสิ้น โดยจากเดิมคำว่าผู้ประกอบการจะใช้คำว่า Entrepreneur แต่ในอนาคตจะใช้คำว่า Net Entrepreneur แทน

โดยหากในวันนี้ คุณยังค้าขายอยู่แค่เพียงภายในท้องถิ่นหรือภายในประเทศเพียงอย่างเดียว อาจไม่เพียงพออีกต่อไป คุณจะต้องสามารถค้าขายข้ามชาติได้ด้วย ถึงจะสามารถเรียกตัวเองได้ว่าเป็นผู้ประกอบการที่แท้จริง

Jack Ma เริ่มต้นด้วยความกังวลใจเกี่ยวกับการปฎิวัติของ Technology ในปัจจุบัน โดยเทคโนโลยีในปัจจุบันนี้ ถือได้ว่าเป็น Phase ที่ 3 แล้ว โดยการปฎิวัติเทคโนโลยีครั้งที่ 1 เกิดขึ้นเมื่อตอนสงครามโลกครั้งที่ 1, การปฎิวัติเทคโนโลยีครั้งที่ 2 เกิดขึ้นเมื่อตอนสงครามโลกครั้งที่ 2

โดยการปฎิวัติวงการเทคโนโลยีครั้งที่ 1 นั้น มุ่งเน้นไปที่การสร้างเครื่องจักรที่มีความแข็งแกร่งด้านพละกำลังมากกว่ามนุษย์เป็นหลัก โดยเครื่องจักรกลมีความอึดกว่ามนุษย์ ทนทานกว่ามนุษย์

ต่อมาในช่วงปฎิวัติวงการเทคโนโลยีครั้งที่ 2 มุ่งเน้นไปที่เรื่องของการลดระยะเวลาในการเดินทาง ลดระยะเวลาในการขนส่ง ยกตัวอย่างเช่น มนุษยไม่สามารถวิ่งได้เร็วกว่ารถไฟ ขนของได้มากกว่ารถไฟ วิ่งได้ถึกกว่ารถไฟ

ส่วนการปฎิวัติวงการเทคโนโลยีในช่วงที่ 3 นี้ มุ่งเน้นไปที่การทำให้สมองจักรกลนั้นฉลาดกว่ามนุษย์ ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างแน่นอนอย่างไม่ต้องสงสัยเลยก็คือ จักรกลจะฉลาดกว่ามนุษย์ในอีกไม่ช้านี้อย่างแน่นอน และสิ่งที่จะตามมาก็คือ เหล่าบรรดาจักรกล โดยเฉพาะ AI ที่ย่อมาจาก Artificial Intelligence นั้น จะเข้ามาแย่งงานมนุษย์อย่างแน่นอน

ทีนี้ สิ่งที่เราต้องตระหนักก็คือ ในอดีตที่เราร่ำเรียนมาในระหว่างชั้นมหาวิทยาลัย ที่ใช้เวลาเฉลี่ย 4-5 ปีนั้น เมื่อตอนเราเรียนปี 1 เราอาจจะคิดว่าสายงานที่เราเรียนอยู่นี้ จบมาแล้วงานนี้ เงินดีอย่างแน่นอน แต่เมื่อเรียนจบมหาวิทยาลัยสาขานั้น ๆ มาแล้ว คุณอาจจะพบว่างานเหล่านี้ไม่มีตำแหน่งว่างให้มนุษย์อย่างเรา ๆ ไปทำงานแล้ว เพราะการเข้ามาของ AI

ซึ่งโลกมนุษย์ของเรากำลังเจอความท้าทายที่ต้องเผชิญ ในขณะเดียวกัน มันก็เป็นโอกาสอันดีที่กำลังจะมีโอกาสใหม่ ๆ เข้ามาอย่างมากมาย เพราะแน่นอนว่า เมื่อถึงยุค AI เต็มตัว ผู้คนจะมีปัญหาถาโถมเข้ามาอย่างมากมาย แต่ที่ใดมีปัญหามาก นั่นก็หมายถึงที่นั่นมีโอกาสมากเช่นเดียวกัน เพราะหากใครที่สามารถแก้ไขปัญหาให้กับผู้คนเหล่านั้นในจำนวนมากได้ ก็จะสามารถประสบความสำเร็จอย่างสูงได้

ส่วนบริษัทที่มีเงินสดอยู่ในมือเยอะ ก็จงอย่าชะล่าใจ เพราะมันไม่สามารถจะการันตีความสำเร็จเสมอไป ซึ่งจากประสบการณ์ของตัว Jack Ma เองนั้น เขาบอกได้เลยว่า บริษัทที่ผ่านตาของเขาที่มีเงินสดเยอะ ๆ ล้มเหลวถมเถไปก็มี แต่สิ่งที่จะทำให้บริษัทประสบความสำเร็จในระยะยาวอย่างยั่งยืนนั้น มันวัดกันที่ ใครสามารถแก้ไขปัญหาให้กับโลกให้กับผู้คนได้มากกว่ากัน

ซึ่งหน้าที่หลักของ Jack Ma ในฐานะผู้นำองค์กรนั้น ตัวเขามีหน้าที่หาวิสัยทัศน์กับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตข้างหน้าต่อจากนี้อีก 5 ถึง 10 ปี เพื่อคาดการณ์สถานการณ์ว่า โลกในอีก 5 ถึง 10 ปี ข้างหน้าจะเป็นอย่างไร, ประเทศจีนใน 5-10 ปี ข้างหน้าจะเป็นอย่างไร, ลูกค้าของเขาจะมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นบ้าง, เพื่อนบ้านจะมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นบ้าง แล้วเขาก็จะเตรียมการตั้งแต่วันนี้ เพื่อรองรับปัญหาที่กำลังจะเกิดขึ้นเหล่านั้น ในอีก 5-10 ปี ข้างหน้านี้ได้อย่างทันท่วงที นี่ต่างหากที่จะสามารถพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่าเขาจะการันตีว่าตัวของเขาเอง เป็นคนที่ประสบความสำเร็จในอนาคตได้อย่างแท้จริง

ดังนั้น นับตั้งแต่วันนี้ไป จงฝึกมองหาโอกาสในทุก ๆ วิกฤตให้เจอ โดยโอกาสจะรวมตัวกันอยู่มากที่สุด ในที่ที่มีผู้คนบ่นมากที่สุด และให้เราคิดวิธีที่จะสามารถแก้ไขปัญหาให้กับผู้คนที่บ่นเหล่านั้นให้ได้

ซึ่งหากใครมองว่าตอนนี้โอกาสเหลือน้อยเต็มที มีแต่เจ้าใหญ่ ๆ ทำไปกันเกือบหมดแล้ว โอกาสในปัจจุบันช่างมีน้อยเหลือเกิน แต่ในขณะที่ Jack Ma กลับมองตรงกันข้ามว่า ในยุคนี้เป็นยุคที่ทำธุรกิจ เริ่มต้นธุรกิจ ได้ง่ายที่สุดแล้ว เพราะหากย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 20 กว่าปีก่อนหน้านี้ โลกนี้ถูกควบคุมด้วยบริษัทระดับยักษ์ใหญ่เพียงไม่กี่บริษัทเท่านั้น และเหล่าบรรดา SME ขนาดเล็ก ผู้หญิง นักเรียนนักศึกษา ลูกเล็กเด็กแดง ในสมัยนั้น ไม่มีโอกาสที่จะทำได้เลยแม้แต่น้อย แต่ในขณะที่ ณ ปัจจุบันนี้ ใคร ๆ ก็สามารถเริ่มต้นทำธุรกิจได้ เพราะทุกคน สามารถเข้าถึงอินเตอร์เน็ต สามารถเริ่มต้นค้าขายได้ในทันที แถมยังมีต้นทุนในการเข้าถึงลูกค้าที่ต่ำมาก ๆ เมื่อเทียบกับสมัยก่อน และแนวโน้มอายุของผู้ประกอบการที่ผู้ประสบความสำเร็จนั้นยังอายุน้อยลงเรื่อย ๆ ยกตัวอย่างเช่น มหาเศรษฐีใหม่ที่ใช้อินเตอร์เน็ตในการสร้างตัวเป็นวัยรุ่นพันล้านได้อย่างรวดเร็วอย่าง Mark Zuckerberg เจ้าของ Facebook ที่เคยครองแชมป์มหาเศรษฐีพันล้านที่อายุน้อยที่สุดในโลกในปี 2008 เมื่อตอนที่เขาอายุได้เพียง 23 ปี หรืออย่าง Kylie Jenner มหาเศรษฐีนีพันล้านที่อายุน้อยที่สุดในโลกคนล่าสุดในปี 2018 ในวัยเพียง 21 ปีเท่านั้น

ดังนั้น หากคุณต้องการเป็นเจ้าของบริษัทขนาดใหญ่ จงค้นหาและแก้ปัญหาขนาดใหญ่ และหากคุณต้องการเป็นผู้ประกอบการขนาดเล็ก ก็จงหาและแก้ไขปัญหาขนาดเล็ก

และจากการที่ Jack Ma ได้คลุกคลีกับคนที่ประสบความสำเร็จมาทั่วโลก เขายังค้นพบคุณสมบัติของคนที่ประสบความสำเร็จมีเหมือน ๆ กันอย่างน้อยอยู่ 2 อย่างก็คือ อย่างแรก พวกเขาไม่เป็นพวกขี้บ่นพวกเขามักเป็นคนที่มองโลกในแง่ดีอยู่เสมอ และอย่างที่สองพวกเขาคบค้าสมาคมและรายล้อมไปด้วยคนที่ดีและเก่ง

แม้ว่าในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา โลกได้ถูกบริษัท Internet ปกครองโลก ไม่ว่าจะเป็น Google, Facebook, Amazon, Alibaba, etc. แต่ 30 ปีนับจากนี้ อาจไม่ใช่บริษัทเหล่านี้ก็เป็นไปได้

ซึ่งพวกเราก็อย่าพึ่งน้อยเนื้อต่ำใจว่าทำไมทำไมมีแต่บริษัทยักษ์ใหญ่ที่มักจะมาจากประเทศอเมริกา เพราะถ้าหากย้อนกลับไปยุคเทคโนโลยีครองบ้านครองเมืองก่อนหน้านี้ เช่น ในอุตสาหกรรมรถยนต์ มีต้นกำเนิดครั้งแรกที่ยุโรป แต่อเมริกาดันทำประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่กว่า เพราะที่ยุโรปนั้นรถยนต์มีการแข่งขันที่สูงกว่า ส่วนอเมริกายุกแรกนั้นยังขาดแคลนผู้ผลิตแต่ผู้คนมีความต้องการใช้รถยนต์ที่สูงกว่านั่นเอง

และเหตุการณ์ทำนองก็เกิดกับที่ประเทศจีนเช่นเดียวกัน ว่าทำไม Ecommerce ในประเทศจีนถึงเติบโตได้รวดเร็วกว่า ดีกว่าประเทศอเมริกา นั่นก็เพราะประเทศจีนไม่มีโครงการค้าที่ซับซ้อนแบบอเมริกา เช่น ประเทศจีนไม่มีซุปเปอร์มาร์เก็ตเกลื่อนกลาดแข่งขันกันอย่างดุเดือด แถมยังมีกำแพงการค้าที่ยุ่งยากแบบอเมริกา แถมประเทศจีนยังมีความขาดแคลนด้านทรัพยากรที่จำเป็นต่อการทำการค้าออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็น ไม่มีโครงสร้างอินเตอร์เน็ตที่ดีพอ, ไม่มีระบบรับชำระเงินออนไลน์, ไม่มีระบบเครดิตเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือในการค้าขายออนไลน์, แม้กระทั่งชาวจีนส่วนใหญ่ยังไม่มีโทรศัพท์มือถือซะด้วยซ้ำ แต่กลับกลายเป็นว่า วันนี้ ใคร ๆ ต่างก็มีถือมือกันแทบทั้งสิ้น แถมยังเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังกว่ายุคไหน ๆ ที่สามารถทำการค้าได้ทั่วโลกผ่านมือถือเพียงเครื่องเดียว ซึ่ง Jack Ma ได้พูดติดตลกเอาไว้ว่า “เขาค่อนข้างโชคดีพอสมควรที่ตัวเองไม่ได้ศึกษาการใช้งานคอมพิวเตอร์เอาไว้” เพราะเขาข้ามไปใช้ Smartphone ในการสร้างธุรกิจแทนเลย

คุณอาจจะคิดว่า ประเทศที่ยังไม่พัฒนาและประเทศที่กำลังพัฒนาอยู่นั้น จะเสียเปรียบประเทศที่พัฒนาแล้ว แต่สำหรับ Jack Ma กลับมองว่า ประเทศใหญ่ ๆ ที่พัฒนาแล้วนั้น พวกเขามีความกังวลในการกลับการสูญเสียมากกว่าประเทศอื่น ๆ ทำให้การที่จะขยับตัวแต่ละครั้งนั้น เป็นไปได้ช้า ในขณะที่ประเทศที่ยังไม่พัฒนาหรือกำลังพัฒนาอยู่นั้น กลับไม่กลัวการที่ต้องสูญเสีย เพราะมันไม่มีอะไรให้เสียนั่นเอง

ซึ่งทั้งหมดที่ว่ามานั้น สิ่งที่ Jack Ma จะสื่อก็คือ หาก ณ ตอนนี้ประเทศของคุณ ยังขาดแคลนมาก ๆ ในเรื่องใดอยู่ นั่นหมายถึงโอกาสทางธุรกิจอย่างมหาศาลที่กำลังจะเกิดขึ้นหากคุณสามารถแก้ไขปัญหาความขาดแคลนเรื่องนั้น ๆ ได้ในประเทศของคุณหรือในทวีปของคุณ ซึ่งคุณจะต้องทำธุรกิจใน Nature หรือรูปแบบตามสไตล์ประเทศของคุณ ตามสไตล์ทวีปที่คุณอยู่ เพราะอย่าลืมว่า แต่ละประเทศแต่ละทวีปนั้น ทีจุดเด่น จุดด้อยแตกต่างกันออกไป คุณไม่สามารถเลียนแบบประเทศจีนหรือประเทศอเมริกาได้แบบเป๊ะ ๆ และไม่จำเป็นต้องเลียนแบบด้วย

แต่ถ้าคุณยังดื้อที่จะเลียนประเทศจีน ประเทศคุณก็จะไม่มีอนาคต เพราะประเทศจีนเติบโตในยุคที่เน้นจำนวนการผลิตสินค้าซ้ำ ๆ แบบเดียว ต่อชั่วโมงให้ได้มากที่สุด โดยเน้นตลาดแบบ B2C หรือ Business to Consumer ที่เน้นจากบริษัทไปสู่ผู้บริโภคเป็นหลัก แต่ในอนาคตตลาดจะกลับกลายเป็น C2B หรือ Consumer to Business ที่ผู้บริโภคมีความต้อการปัจเจคบุคคลมากยิ่งขึ้น มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น แล้วบริษัทจะต้องผลิตตามความต้องการของผู้บริโภคแทน ยกตัวอย่างช่น สมมติว่าจะผลิตเสื้อ T-shirt ประเทศจีน จะเน้น T-shirt ทีละสีและจำนวนมาก ๆ เช่น ไลน์ผลิตที่ 1 ต้องการเสื้อสีขาวจำนวน 100 ตัวใน 1 ชั่วโมง แต่ในขณะที่แนวโน้มในอนาคต ลูกค้าต้องการเสื้อเพียง 1 ตัว แต่อาจมี 100 แบบที่แตกต่างกันทั้งหมด ซึ่งก็ต้องไปหาวิธีการผลิตแบบ On-Demand ที่สามารถผลิตตามความต้องการของผู้บริโภคให้ได้ โดยที่ยังคงต้นทุนการผลิตทีละ 1 ชิ้น ที่ยังสามารถทำกำไรได้อยู่

ต่อมา Jack Maได้เล่าถึงเรื่องที่เขาคิดไม่ได้เมื่อสมัยตอนที่เขายังหนุ่มยังแน่น โดยเขาได้เล่าย้อนกลับไปในปี 1999 เมื่อตอนที่พึ่งเริ่มก่อตั้ง Alibaba เขาโชคดีที่ได้พบกับ 1 ในผู้ร่วมก่อตั้งรุ่นแรกที่เป็นพนักงานคนที่ 14 ของบริษัท Yahoo เข้ามาเป็น CTO : Chief Technology Officer หรือประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายเทคโนโลยีของบริษัท ซึ่ง Jack Ma ได้ถามเขาว่า เขาต้องการอะไรบ้าง เขาตอบกลับมาว่า “ถ้าเป็นไปได้ ผมยอมจ่ายเงินให้คุณ 1 ล้านดอลล่าร์ฯ หรือราว ๆ 30 ล้านบาทเพื่อแลกกับการซื้อเวลากลับคืนมาได้สัก 1 ปี” Jack Ma ในวัยหนุ่มตอนนั้นเขาก็ตอบกลับไปว่า “ถ้าเงินจำนวนนี้ ผมมอบให้ทั้งชีวิตที่เหลือเลยก็แล้วกัน”

ซึ่งมาในวันนี้ Jack Ma ในวัยเลข 5 นั้น เขาก็ได้ตระหนักและเรียนรู้จากประโยคนั้นว่า ความหนุ่มความแน่นนี่แหละ คือหนึ่งในโอกาสที่ดีที่สุดในชีวิติของคุณ ที่คุณสามารถใช้เพื่อเดินทางไปสู่ความสำเร็จได้ ดังนั้น จงอย่ากลัวที่จะเริ่มต้น จงอย่ากลัวที่จะล้มเหลว เพราะสำหรับ Jack Ma นั้น ความล้มเหลวคือสมบัติที่ล้ำค่าที่เขาใช้ในการเรียนรู้ในการนำไปสู่ความสำเร็จ ดังนั้นคุณควรเรียนรู้จากความทั้งความล้มเหลวของตัวเองและความล้มเหลวจากผู้อื่น แต่ไม่ใช่เพื่อจะหลีกเลี่ยงความล้มเหลวนั้น แต่เรียนรู้เพื่อเตรียมพร้อมเผชิญหน้ากับพวกมัน

เมื่อก่อน Jack Ma เคยคิดว่าประเทศที่เพียบพร้อมอย่างประเทศในทวีปยุโรป น่าจะมีบริษัทอินเตอร์เน็ต และบริษัท Ecommerce ที่ดีได้อย่างมากมาย แต่กลับพบว่าในทวีปยุโรปนั้นกลับไม่มีบริษัทที่ดีเท่าที่มันควรจะเป็นนั่นก็เพราะ ยุโรปเพียบพร้อมมากเกินไปในทุก ๆ ด้าน จนทำให้เกิดความกังวลใจในด้านต่าง ๆ เช่น พวกเขากังวลเรื่องความปลอดภัย, พวกเขากังวลเกี่ยวกับเรื่องของกฎหมาย, พวกเขากังวลว่ารัฐบาลยังไม่พร้อมรับมือในเรื่องนั้นเรื่องนี้ และเมื่อคุณกังวลมากเกินไป คุณก็จะเริ่มกลัวที่จะก้าวไปข้างหน้า ในขณะที่ประเทศอย่างพวกเราที่ยังไม่เพียบพร้อมขนาดนั้น อินเตอร์เน็ตและการค้าขาย Ecommerce นั้น ถือได้ว่า เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังมากที่สุดอันหนึ่ง ที่สามารถใช้ในการขับเคลื่อนประเทศชาติของเราได้

ส่วนในด้านของ Innovation หรือนวัตกรรมนั้น ไม่ได้เกิดจากรัฐบาล แต่เกิดจากผู้คนในตลาด เกิดจากลูกค้าของคุณ ดังนั้น จงจำไว้ว่า สำหรับธุรกิจนั้น คนที่สำคัญมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ก็คือ ลูกค้า อันดับ 2 คือ พนักงาน และอันดับ 3 คือ ผู้ถือหุ้น

เหตุผลก็เพราะ เมื่อใดก็ตามที่คุณสามารถทำให้ลูกค้าแฮปปี้ได้ พวกเขาก็ยินดีที่จะจ่ายเงินให้กับบริษัทคุณ คุณก็จะสามารถเลี้ยงดูพนักงานของบริษัทคุณได้เป็นอย่างดีและมีความสุข และเมื่อพนักงานของคุณมีความสุข พวกเขาก็จะสร้างสรรค์ผลงานที่สุดยอดออกมา และเมื่อทั้งลูกค้าและพนักงานแฮปปี้ เดี๋ยวผู้ถือหุ้นจะแฮปปี้เอง

ดังนั้นจงอย่าใช้เวลาพูดกับผู้ถือหุ้นเพียงมากนัก แต่จงใช้เวลาเกือบทั้งหมดเพื่อพูดคุยกับลูกค้าและพนักงานของคุณ ซึ่งคุณจะต้องทำให้มั่นใจว่า พนักงานของคุณ สามารถแชร์วิสัยทัศน์ แชร์ความครีเอทีฟ และสามารถหาคนที่เก่งและเหมาะสมกับตำแหน่งต่าง ๆ ภายในองค์กรได้

และเคล็ดลับสุดท้ายที่ส่งผลให้ Alibaba ประสบความสำเร็จอย่างสูงก็คือ บริษัทคุณจะต้องมีทีมงานผู้หญิงที่มากพอ ซึ่ง Alibaba นั้น มีพนักงานที่เป็นผู้หญิงกว่า 47%-48% และมีผู้หญิงที่เป็นระดับผู้บริหารระดับสูงกว่า 33% ซึ่งสาเหตุที่ Alibaba มีพนักงานที่เป็นผู้หญิงจำนวนมากสำหรับการค้าขายออนไลน์ก็เพราะ Jack Ma เข้าใจว่า การค้าขายออนไลน์ แม้จะไม่ได้เจอหน้ากันตรง ๆ แต่มันคือการสนทนากันระหว่างมนุษย์ด้วยกันอยู่ ไม่ใช่มนุษย์คุยกับคอมพิวเตอร์ เพราะคอมพิวเตอร์เป็นแค่ตัวกลางในการสื่อสารระหว่างคนด้วยกันเท่านั้นเอง ซึ่งผู้หญิง สามารถเทคแคร์และเอาใจใส่ลูกค้าได้ดีกว่าผู้ชายหลายเท่า นั่นก็เพราะผู้หญิงมักมี EQ ที่สูงกว่า ในขณะที่โปรแกรมเมอร์ส่วนใหญ่มักเป็นผู้ชายที่มี IQ ที่สูง พวกเขาสามารถเขียนโปรแกรมดี ๆ ออกมาได้ แต่มักจะละเลยและไม่สนใจว่าลูกค้าหรือผู้ใช้งานโปรแกรมจะรู้สึกยังไง ซึ่งผู้หญิงนี่แหละ ที่จะสามารถบอกได้ว่า โปรแกรมแบบไหนที่ลูกค้าชอบและเป็นมิตรมากกว่า รวมถึงฝ่ายซับพอร์ทที่เป็นผู้หญิงก็จะสามารถรับมือกับลูกค้าได้ดีกว่าอีกด้วย

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *