Blue O'Clock

สตูดิโอผลิตและพัฒนาสื่อการเรียนรู้ด้านการลงทุน ธุรกิจ จิตวิทยาและการพัฒนาตนเอง อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

THE CEO STORY

ประวัติ Oprah Winfrey ผู้หญิงผิวสีที่มีอิทธิพลและร่ำรวยที่สุดในทศวรรษที่ 20

หากพูดถึงนักธุรกิจหญิงที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในทศวรรษที่ 20 ชื่อของ Oprah Winfrey ต้องติดหนึ่งในนั้นอย่างแน่นอน ซึ่งกว่าจะมีวันนี้ เส้นทางชีวิตของเธอไม่ได้สวยหรูอย่างที่เห็น เพราะเธอเติบโตมาในครอบครัวที่ยากจน พ่อแม่แยกทางกันตั้งแต่เด็ก แถมเธอยังถูกล่วงละเมิดทางเพศจนตั้งครรภ์ตั้งแต่อายุได้เพียง 14 ปี เติบโตมาในย่านที่มีอาชญากรรมและยาเสพย์ติดแผ่ระบาดอย่างหนัก แต่สุดท้ายเธอก็ไม่ยอมจำนนต่อสภาพแวดล้อมที่เติบโตขึ้นมา และนำพาตัวเองออกจากวงจรอุบาทว์นี้ได้ และสุดท้ายเธอก็ได้ถูกบันทึกว่า เป็นชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกันที่ร่ำรวยที่สุดในทศวรรษที่ 20 และขึ้นทำเนียบคนผิวสีที่กลายเป็นเศรษฐีพันล้านคนเดียวของโลกในปี 2004 อีกด้วย

Oprah Gail Winfrey เกิดเมื่อวันที่ 29 มกราคม ปี 1954 ประเทศสหรัฐอเมริกา ในเมือง Kosciusko รัฐ Mississippi เกิดมาในครอบครัวที่ยากจนมาก พ่อของเธอ Vernon Winfrey เป็นคนงานเหมืองแร่และช่างตัดผม ส่วนแม่ของเธอ Vernita Lee ทำอาชีพแม่บ้าน โดยเธอเกิดมาเป็นลูกนอกสมรสที่พ่อและแม่ของเธอไม่ได้แต่งงานกัน ในระหว่างที่แม่ของเธอตั้งท้องนั้น พ่อของเธอไม่รู้ด้วยซ้ำ จนกระทั่งแม่ของเธอส่งสำเนาใบแจ้งเกิดไปให้ดู แล้วเขียนวิงวอนว่าให้พ่อของเธอนั้นส่งเสื้อผ้าและของใช้มาให้ลูก

Oprah นั้น ได้ถูกเลี้ยงดูอย่างใกล้ชิดจากคุณยายของเธอ Hattie Mae Presley Lee ซึ่งเป็นคนที่ดุเอามาก ๆ หาก Oprah ทำอะไรผิด ก็จะถูกคุณยายเฆี่ยนตีด้วยไม้อย่างหนัก แต่เรื่องการกินอยู่นั้น คุณยายของเธอก็ดูแลเป็นอย่างดี แม้ว่าความเป็นอยู่ที่ค่อนแค้น แต่ก็ไม่เคยขาดตกบกพร่อง

Oprah ได้ฉายแววความเฉลียวฉลาดของเธอมาตั้งแต่เด็ก ๆ เธอสามารถอ่านหนังสือได้ตั้งแต่อายุได้เพียง 2 ขวบ เมื่อเธออายุได้ 5 ขวบ ที่ยังเรียนอยู่ชั้นอนุบาลอยู่ เธอได้เขียนจดหมายถึงคุณครูประชั้นว่า “คุณนิวที่รัก หนูคิดว่าหนูไม่เหมาะสำหรับที่นี่” ซึ่งคำขอของเธอก็คือ การขอเลื่อนชั้นข้ามไปเรียนจากระดับอนุบาลไปชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 และเธอก็ได้รับคำอนุมัติให้เลื่อนชั้นได้และยังสามารถสอบได้คะแนนดีมาก ๆ จนกระทั่งเธอได้เลื่อนชั้นเรียนอีกครั้งจาก ป.1 ข้ามไปยัง ป.3 ได้เลย

ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างแม่กับเธอนั้น ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่นัก ถึงขนาดที่ว่า ขณะที่เธอกำลังอ่านหนังสืออยู่นั้น แม่ของเธอก็เข้ามากระชากหนังสือออกจากมือแล้วด่าเธอว่า “คิดว่าตัวเองเป็นหนอนหนังสือแล้วจะมีดีกว่าคนอื่นหรือยังไง!”

แต่โชคดีที่คุณครูประจำชั้นของเธอ เห็นแววความเก่งและขยันขันแข็งในการศึกษาเล่าเรียน คุณครูจึงได้มอบทุนการศึกษาให้เธอได้เข้าเรียนระดับชั้นมัธยมต่อ

และก็เกิดโศกนาฏกรรมที่น่าหดหู่ใจเป็นอย่างยิ่ง เมื่อ Oprah ได้ถูกเปิดเผยความลับว่า เธอเคยถูกลูกพี่ลูกน้องที่มีอายุ 19 ปี ข่มขืนกระทำชำเราเธอตั้งแต่อายุได้เพียง 9 ขวบ และตลอดหลายปี เธอก็ยังคงถูกล่วงมะเลิดทางเพศมาอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งเมื่อเธออายุได้ 14 ปี เธอได้ตั้งครรภ์ และทันทีที่แม่ของเธอรู้เข้า ก็กลับส่งเธอไปยังสถานการณ์กักกันเยาวชน โดยไม่รับฟังเหตุผลใด ๆ จากเธอเลย

แต่แล้ว ชีวิตก็ยังไม่สิ้นหวัง เพราะเมื่อพ่อของเธอได้ยินข่าวว่าเธอตั้งท้อง พ่อของเธอจึงติดต่อขอรับมาดูแลเลี้ยงดูต่อที่บ้านกับภรรยาใหม่ของเขา Barbara Winfrey ซึ่งทั้งคู่ไม่ได้มีลูกด้วยกัน จึงรับเลี้ยง Oprah เป็นอย่างดี แม้ว่าแม่เลี้ยงของเธอจะเป็นคนที่เข้มงวด แต่เธอก็รู้สึกขอบคุณ เพราะทำให้เธอนั้น กลายเป็นคนที่มีความรับชอบและเป็นคนที่มีระเบียบวินัย และภายหลังจากนั้นไม่นาน เธอก็ได้คลอดลูก แต่ลูกของเธอก็เสียชีวิตจากหลังคลอดได้เพียง 2 สัปดาห์ เนื่องจากเป็นการคลอดก่อนกำหนด

หลังจากนั้น เธอก็ได้กลับไปเรียนต่อ โดยได้เข้าเรียนระดับมัธยมศึกษาที่ East Nashville High School ซึ่งชีวิตของเธอก็ค่อย ๆ ดีขึ้นเรื่อย ๆ ตามลำดับ และในระหว่างที่เรียนที่นี่ ตอนที่เธออายุได้ 16 ปี เธอยังได้มีโอกาสเข้าทำงานเป็นโฆษกรายการวิทยุ โดยได้รับค่าจ้างสัปดาห์ละ 100 เหรียญฯ แถมเธอยังได้รับรางวัลจากการประกวดกล่าวสุนทรพจน์และเรียนจบด้วยเกียรตินิยม จึงทำให้เธอได้รับทุนการศึกษา เพื่อเข้าศึกษาต่อระดับมหาวิทยาลัย ที่ Tennessee State University เป็นเวลา 4 ปี ซึ่งทั้งหมดนี้เธอยกความดีความชอบให้กับพ่อของเธอ ที่ดูแลและปลูกฝังความคิดความอ่านมาเป็นอย่างดี

ในปี 1971 ในระหว่างที่เธอเข้าเรียนปีแรกที่ Tennessee State University เธอได้เข้าเรียนในสาขา Speech Communications and Performing Arts เธอได้มีโอกาสเข้าร่วมขบวนการประกวด Miss Black America และได้รับตำแหน่ง Miss Black Tennessee และ Miss Black Nashville อีกด้วย ซึ่งทำให้ไปเตะตาของสถานีโทรทัศน์ CBS เข้า เธอจึงได้รับข้อเสนอให้เข้าร่วมทำงานที่สถานีวิทยุท้องถิ่น WVOL โดยเธอนั้นได้รับตำแหน่งเป็นผู้ประกาศข่าวหญิงผิวสีคนแรกของสหรัฐอเมริกา และยังมีอายุน้อยที่สุด ด้วยวัย 19 ปี เท่านั้น 

พอขึ้นชั้นปีที่ 2 ของมหา’ลัย เธอก็ได้กลายเป็นผู้ประกาศข่าวของช่อง Nashville ซึ่งเธอได้กลายเป็นผู้หญิงเชื้อสายอเมริกัน-แอฟริกัน คนแรกที่ได้เข้ารับตำแหน่งนี้ ซึ่งหากคุณมองในปัจจุบัน อาจดูเป็นเรื่องธรรมดา เพราะขนาดประธาธิบดีสหรัฐอเมริกาผิวสียังเคยเกิดขึ้นมาแล้ว แต่หากย้อนไปในช่วงเวลาดังกล่าว ยังคงเป็นยุคที่ผู้คนชาวอเมริกัน มีการเหยียดสีผิวกันอย่างรุนแรง นั่นแสดงให้เห็นว่า Oprah นั้น ทำให้ผู้คนยอมรับในฝีมือและความเป็นมืออาชีพของเธอ โดยไม่เอาเรื่องของสีผิวมาเป็นกำแพงในการคัดเลือกคนเข้ามาทำงาน

แต่แล้วเธอก็กลับทำมันพังด้วยมือของเธอเอง เมื่อเธอถูกพบว่าใช้สารเสพย์ติดชนิดหนึ่ง จึงถูกทางผู้จัดรายการปลดเธอลงเป็นเพียงพิธีกร แต่เรื่องร้ายก็กลับกลายเป็นดี เมื่อเธอพบว่า เธอสามารถทำหน้าที่พิธีกรได้เป็นอย่างดีและรู้สึกว่ามันสนุกกว่าการเป็นผู้ประกาศข่าวซะอีก

ในปี 1983 เธอได้ย้ายมาตั้งรกรากใหม่ที่เมือง Chicago และได้เข้าทำงานที่ WLS-TV ในรายการ AM Chicago โดยได้ออนแอร์ครั้งแรกเมื่อวันที่ 2 มกราคม ปี 1984 และหลังจากนั้นเพียงแค่เดือนเดียว รายการของเธอก็สามารถทำเรทติ้งแซงรายการทอล์คโชว์อันดับหนึ่ง ของชิคาโก ณ ขณะนั้นได้

ทางผู้จัด เห็นแววรุ่งในทันที จึงจับ Oprah เซ็นต์สัญญาเป็นพิธีกรรายการทีวีทอล์คโชว์ โดยได้เปลี่ยนชื่อรายการใหม่ว่า “The Oprah Winfrey Show” ซึ่งออกอากาศเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 8 กันยายน ปี 1986 ซึ่งถูกถ่ายทอดไปมากกว่า 120 ช่อง 126 ประเทศทั่วโลก และกลายเป็นรายการที่มีเรทติ้งทีวีสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของทีวีสหรัฐฯ

โดยจะเน้นไปการพูดในหัวข้อเรื่องของ การสัมภาษณ์เหล่าบรรดาเซเล็ปในวงการต่าง ๆ เกี่ยวกับประเด็นทางสังคม ณ ขณะนั้น

และหลังจากที่ออนแอร์รายการ The Oprah Winfrey Show ไปเพียง 1 ปี รายการของเธอก็สามารถทำเงินได้ถึง 125 ล้านดอลล่าร์ฯ ซึ่งเธอได้รับส่วนแบ่งไปเป็นจำนวน 30 ล้านดอลล่าร์ฯ หรือเกือบ ๆ พันล้านบาทเลยทีเดียว

ในวันอังคารที่ 4 กุมภาพันธ์ ปี 1992 ก็เกิดปรากฏการณ์อีกครั้งหนึ่ง เมื่อนักเขียนที่ชื่อ Williamson ปรากฏตัวในรายการ The Oprah Winfrey Show พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องหนังสือของเธอ โดยปรากฏการณ์ได้เกิดในเช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อเธอพบว่า มีคำสั่งซื้อหนังสือของเธอเป็นจำนวนกว่า 35,000 เล่ม และหลังจากนั้นเพียง 1 สัปดาห์ ยอดสั่งซื้อหนังสือพุ่งขึ้นเป็น 300,000 เล่ม ซึ่งถือได้ว่า เป็นหนังสือที่มียอดขายสูงสุดนับเป็นประวัติการณ์ในวงการหนังสือของสหรัฐอเมริกา เพราปกติแล้วค่าเฉลี่ยในการขายหนังสือปกแข็งในสหรัฐฯ อย่างมากก็จะอยู่ที่ประมาณ 10,000 เล่มเท่านั้น

และนอกจากนั้นปรากฏการณ์นี้ ยังเคยเกิดขึ้นอีกครั้งในเดือนกรกฏาคมปี 1993 เมื่อนักเขียนที่ชื่อ Deepak Chopra ปรากฏตัวในรายการ The Oprah Winfrey และผู้ชมรายการของเธอ ก็มีคำสั่งซื้อหนังสือ “Ageless Body Timeless Mind” เข้ามามากกว่า 100,000 เล่ม ภายใน 1 วัน

ย้อนกลับไปในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ปี 1993 วันที่เธอได้สัมภาษณ์ไมเคิล แจ็คสัน ซึ่งไมเคิลเองนั้นไม่เคยให้สัมภาษณ์กับสื่อใด ๆ มาเป็นเวลานานกว่า 14 ปี กลายเป็นเหตุการณ์ที่มีผู้ชมสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของอเมริกา โดยมีผู้ชมมากกว่า 90 ล้านคนภายในวันเดียว

ซึ่งจะเห็นได้ว่า รายการทอล์คโชว์ของเธอนั้น มีพลังในการสร้างปรากฏการณ์ต่าง ๆ เป็นอย่างมาก รวมไปถึงการมีผู้ชมที่เหนียวแน่นและจงรักภักดีต่อตัวของ Oprah Winfrey

ในปี 2004 เธอจึงเซอร์ไพรส์ ด้วยการแจกรถรุ่น Pontiac G6 จำนวน 276 คัน ให้กับผู้ร่วมรายการทุกคน  โดยมูลค่ารวมทั้งหมดอยู่ที่ประมาณ 8 ล้านดอลล่าร์ฯ หรือเฉลี่ยแล้วจะตกคันละประมาณ 1 ล้านบาทเลยทีเดียว

ซึ่งรายการนี้ได้ถูกถ่ายทอดออกอากาศและฮิตติดลมบนเป็นเวลากว่า 25 ปี โดยออกกาอาศครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม ปี 2011

และสิ่งที่ทำให้ Oprah ประสบความสำเร็จในการเป็นพิธีกรอย่างรวดเร็วนั่นก็เป็นเพราะ ผู้ชมรับรู้และรู้สึกได้ถึงความจริงใจ ที่เธอมีต่องาน ด้วยการสนทนาแบบเป็นกันเองและเป็นธรรมชาติ จึงทำให้ใครต่อใคร ต่างก็รู้สึกว่า เหมือนได้คุยกับเพื่อนสักคนนึง ที่พร้อมจะรับฟังและพูดคุย เธอจึงกลายเป็น เพื่อนหญิงของคนทั่วโลก ทำให้ทุกคน ณ เวลานั้น ต่างก็เข้ามาดูรายการของเธอ

นอกจากผลงานด้านพิธีกรแล้ว ในช่วงปี 1985 เธอได้มีโอกาสเป็นนักแสดงในภาพยนต์ที่ดัดแปลงมาจากนิยายเรื่อง The Color Purple ที่กำกับโดย สตีเว่น สปีลเบิร์ก ซึ่งแม้ว่าเธอจะไม่เคยมีประสบการณ์ในการแสดงภาพยนต์มาก่อน แต่ชื่อของเธอก็ได้รับการเสนอเข้าชิงรางวัลออสการ์และลูกโลกทองคำในสาขานักแสดงหญิงสบทบยอดเยี่ยมอีกด้วย

ในช่วงเดียวกันนี้นี่เอง ที่เธอได้จับมือเซ็นต์สัญญาในการผลิตรายการให้กับสถานีโทรทัศน์ยักษ์ใหญ่อย่าง ABC ด้วยกันทั้งหมด 6 รายการ เธอจึงได้ก่อตั้งบริษัท Harpo Productions (ซึ่งคำว่า Harpo มาจากคำว่า Oprah เรียงแบบกลับหลังนั่นเอง) ทำให้เธอนั้น สามารถควบคุมการผลิตได้อย่างอิสระ ซึ่งรายการส่วนใหญ่ของเธอนั้น โดยส่วนใหญ่จะมุ่งเน้นเกี่ยวกับเรื่องของชุมชนคนผิวสี

ในปี 2000 Oprah ได้ร่วมทุนกับทาง Hearst Magazines ซึ่งเป็นสำนักพิมพ์หนังสือนิตยสารเจ้าใหญ่ในสหรัฐอเมริกา เพื่อผลิตนิตยสารที่ชื่อ “O” ซึ่งมีชื่อเต็มว่า “The Oprah Magazine”  ซึ่งเป็นนิตยสารเกี่ยวกับไลฟ์สไตล์ของผู้หญิงในสหรัฐอเมริกา ที่มียอดผู้อ่านในแต่ละเดือนเฉลี่ยเดือนละกว่า 2 ล้านคน โดยเธอเป็นนางแบบหน้าปกด้วยตัวเองทั้งหมดเลย แล้วตามมาด้วยการออกนิตยสารเกี่ยวกับการแต่งบ้านอีกปกหนึ่งโดยใช้ชื่อว่า “O at Home”

ต่อมาในวันที่ 1 มกราคม ปี 2011 เธอได้ก่อตั้ง Oprah Winfrey Network (OWN) ซึ่งเป็นสถานีโทรทัศน์เคเบิลทีวีที่ต้องจ่ายเงินเข้ามารับชม โดยในปี 2015 มีรายงานว่า OWN นั้น มีประชาชนจำนวนกว่า 81.9 ล้านหลังคาเรือนจ่ายเงินให้กับช่อง โดยคิดเป็น 70.3% ของจำนวนครัวเรือนทั้งหมดในประเทศสหรัฐอเมริกา

จากผลงานที่ผ่านมาของ Oprah Winfrey นั้น ทำให้เธอได้รับเกียรติและรางวัลต่าง ๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็น

  • Daytime Emmy Awards 16 ครั้ง
  • รายการทอร์คโชว์ยอดเยี่ยม 9 ครั้ง สำหรับรายการ “The Oprah Winfrey Show” (ปีที่ได้รับรางวัล : 1987, 1988, 1989, 1991, 1992, 1994, 1995, 1996 และ 1997)
  • พิธีกรรายการทอร์คโชว์ยอดเยี่ยม 7 ครั้ง ในปี 1987, 1991, 1992, 1993, 1994, 1995 และ 1998
  • รางวัล Lifetime Achievement Award ในปี 1998

นอกจากนี้ Oprah ยังได้จัดตั้งกองทุนการกุศล The Oprah Winfrey Foundation ได้บริจาคเงินเพื่อการกุศลในด้านของการศึกษาให้กับเด็กหญิงชาวอเมริกาใต้ เป็นจำนวนกว่า 51 ล้านเหรียญฯ หรือราว ๆ 1,700 ล้านบาท

โดยในปี 2018 Oprah Winfrey ในวัย 64 ปี มีรายงานว่า เธอมีรายได้อยู่ที่ 3.1 พันล้านดอลล่าร์ (ราว ๆ 1 แสนล้านบาท) โดยนิตยสาร Forbes ได้รายงานว่า Oprah Winfrey คือผู้หญิงผิวสีชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกัน ที่ร่ำรวยที่สุดในโลกของช่วงทศวรรษที่ 20 นี้

Oprah ได้เคยกล่าวเอาไว้ว่า

It doesn’t matter who you are, where you come from. The ability to triumph begins with you – always.

หมายถึง มันไม่สำคัญหรอกว่าคุณจะเป็นใครมาจากไหน ความสามารถในการก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดของชีวิตได้นั้นมันมีอยู่แล้วในตัวของคุณ เสมอมา

Resources