Blue O'Clock

สตูดิโอผลิตและพัฒนาสื่อการเรียนรู้ด้านการลงทุน ธุรกิจ จิตวิทยาและการพัฒนาตนเอง อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

EconomyHow to

วิธีเอาตัวรอดในสภาวะเศรษฐกิจกำลังจะล่มสลาย by Peter Schiff Feat. Robert Kiyosaki

Peter Schiff นักธุรกิจที่เป็น CEO บริษัท Euro Pacific Capital ที่เป็นบริษัทให้คำปรึกษาและเป็น Broker หรือนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์, นักลงทุนในทองคำ และเป็นนักวิจารณ์ทางการเงินชื่อดัง ที่เกลียด Bitcoin เข้าไส้ ที่ ณ ปัจจุบันเขามีทรัพย์สินอยู่ที่ $70 ล้านดอลล่าร์ฯ หรือราว ๆ 2,500 ล้านบาท

โดยเนื้อหาในตอนนี้ จะเป็นบทสัมภาษณ์จากช่อง The Rich Dad Channel ที่สัมภาษณ์โดย Robert Kiyosaki เจ้าของผลงานเขียนชื่อดังอย่าง พ่อรวยสอนลูก ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2022 ที่ผ่านมา ที่เขาต้องการนำเสนอคำแนะนำของเหล่าบรรดาผู้เชี่ยวชาญในด้านการเงิน การลงทุน ในสภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ของโลก ณ ขณะนี้ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น และจะต้องจัดการและเตรียมรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว

โดย Robert Kiyosaki เปิดประเด็นว่า อันที่จริงแล้ว โลกของเราเปลี่ยนไปตั้งแต่วันที่ 15 สิงหาคม ปี 1971 คือวันที่ประธานาธิบดี Richard Nixon ได้ออกมาประกาศให้ทั่วโลกได้ทราบว่า ต่อแต่นี้ต่อไปเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ จะไม่ผูกติดกับปริมาณทองคำสำรองของประเทศอีกต่อไป หรือพูดในอีกทางหนึ่งก็คือ จากเดิมที่สหรัฐอเมริกาเคยสัญญากับประเทศทั่วโลกเอาไว้ว่า จะทำการปริ้นท์เงินดอลล่าร์ฯ ให้มีปริมาณเท่ากับจำนวนทองคำสำรองคงคลังเอาไว้เท่านั้น แต่พอออกมาประกาศแบบนี้ ก็เท่ากับว่า สหรัฐอเมริกาออกมาบอกว่า ตั้งแต่นี้ต่อไปพวกเขาสามารถปริ้นท์เงินดอลล่าร์ฯ ออกมาเท่าไหร่ก็ได้แบบไม่มีจำกัด และขอให้ทั่วโลกเชื่อมั่นในประเทศสหรัฐอเมริกา ขอให้เชื่อมั่นทั้ง ๆ ที่พึ่งผิดสัญญาไป

จนนำไปสู่เศรษฐกิจที่ตกต่ำย้ำแย่ เกิดช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนเพิ่มสูงมากยิ่งขึ้น ราคาอสังหาริมทรัพย์อยู่ในสภาวะฟองสบู่ ซึ่งทั้งหมดที่ว่ามานั้น มันก็มีจุดเริ่มต้นมาจาก 50 ปีที่แล้ว ในวันที่สหรัฐอเมริกาตัดสินใจเลิกการผูกติดเงินดอลล่าร์ฯ กับทองคำ นั่นเอง

ซึ่งสำหรับคนที่ยังไม่ทราบว่า ก่อนปี 1971 นั้น ประเทศสหรัฐอเมริกา มีกฎหมายว่า ห้ามประชาชนภายในประเทศครอบครองทองคำ หากใครที่ทำการครอบครองทองคำจะกลายเป็นผู้กระทำผิดกฎหมายในทันที เพราะเมื่อวันที่ 5 เมษายน ปี 1933 ประธาธิบดี Franklin D. Roosevelt ได้ทำการออกคำสั่งให้ประชาชนในสหรัฐอเมริกาทุกคนที่ทำการครอบครองทองคำอยู่ ให้นำส่งคืนธนาคารกลางทั้งหมดให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 1 พฤษภาคม 1933

ซึ่งเป็นการนำเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ ออกจากมาตรฐานทองคำนับตั้งแต่นั้นมา

และการที่ราคาหุ้นใน stock market รวมไปถึงราคาอสังหาริมทรัพย์ เพิ่มสูงขึ้นเป็นอย่างมากนั้น ก็เกิดมาจากการปริ้นท์เงินดอลล่าร์ออกมาอย่างมหาศาล ทำให้เกิดค่าเงินเฟ้อ ดังนั้นการที่ราคาทรัพย์สินต่าง ๆ พุ่งสูงขึ้นนั้น ไม่ได้มาจากการที่เศรษฐกิจเติบโต แต่มาจากการปริ้นท์เงิน

ดังนั้น ทาง Robert Kiyosaki เขาจึงมองว่า การกระทำดังกล่าว มันเป็นการทำให้ประเทศร่ำรวยขึ้นด้วยเพียงแค่การปริ้นท์เงินเองเพียงอย่างเดียว ไม่ใช่รวยขึ้นเพราะผลิตสินค้าหรือบริการที่ดีออกมาในตลาดเศรษฐกิจอย่างที่มันควรจะเป็น

Robert Kiyosaki เขาเรียกเงินกระดาษว่าเป็น Fake Money ซึ่งใครก็ตามที่กำลังออมเงินเป็นดอลล่าร์ฯ อยู่ จะทำให้จนลงเรื่อย ๆ

ทีนี้มาฟังความคิดเห็นของทางฝั่ง Peter Schiff กันบ้างว่า เขามีความคิดเห็นอย่างไรกับเหตุการณ์ในวันที่ 15 สิงหาคม ปี 1971 ที่สหรัฐอเมริกายอกเลิกผูกติดค่าเงินดอลล่าร์ฯ กับทองคำบ้าง

โดย Peter Schiff บอกว่า วันที่ประธานาธิบดี Richard Nixon ประกาศ ยกเลิกมาตรฐานทองคำนั้น เขาบอกว่า มันจะยกเลิกแค่เพียงชั่บคราว แต่นี่ผ่านมาแล้วกว่า 50 ปี ก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง

ส่วนในสมัยของประธานาธิบดี Franklin D. Roosevelt เมื่อปี 1933 ที่เขาออกกฎหมายห้ามประชาชนสหรัฐอเมริกาครอบครองทองคำนั้น ก็ทำให้ประชาชนที่เคยได้รับตั๋วแลกทองคำ ที่ถือว่าเป็นเงินดอลล่าร์ ที่แท้จริง ที่สามารถแลกคืนเป็นทองคำได้โดยตรงนั้น กลับแลกคืนเป็นทองคำไม่ได้อีกต่อไป ได้แต่แบงค์กงเต็กกลับคืนมา

แต่ในขณะที่คนที่ไม่ใช่สัญชาติอเมริกัน ที่ครอบครองตั๋วแลกทองคำอยู่นั้น พวกเขายังสามารถนำไปแลกทองคำคื่นได้อยู่ จนกระทั่งในปี 1971 ทางประธานาธิบดี Richard Nixon ก็ได้ประกาศยกเลิกผูกติดเงินดอลล่าร์ฯ กับทองคำในที่สุด ทำให้เงินดอลล่าร์ฯ ไม่สามารถนำกลับไปแลกเป็นทองคำได้อีกต่อไป

และในระหว่างปี 1960 ถึง 1970 นั้น ประเทศสหรัฐอเมริกาเกิดการขาดดุลทางการเงินครั้งใหญ่ อันเนื่องมาจากค่าใช้จ่ายในการทำสงครามกับเวียดนาม ตามมาด้วยค่าใช้จ่ายในการส่งคนขึ้นไปยังดวงจันทร์ และค่าใช้จ่ายในการต่อสู้กับความยากจนภายในประเทศ ซึ่งโดยปกติแล้วทางรัฐบาลจะมีนโยบายที่เรียกว่า Guns and Butter คือถ้าเลือกที่จะจ่ายให้กับการซื้ออาวุธเพื่อปกป้องตนเองจากการรุกรานก็จะมีเงินเหลือน้อยสำหรับซื้อสินค้าเพื่อใช้บริโภคส่วนตัวเพื่อยกระดับมาตรฐานการครองชีพ แต่ประเด็นก็คืออเมริกาก็อยู่ในสถานะที่จำเป็นจะต้องจ่ายทั้งสองอย่างที่ว่ามาเลย จึงทำให้ประเทศขาดดุลอย่างหนัก

และทางธนาคารกลางสหรัฐ หรือ FED ก็ทำการหารายได้ ด้วยการทำ QE : Quantitative Easing คือ การอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ ‘พิมพ์เงิน’ เพิ่มนั่นเอง

ซึ่งเมื่อพิมพ์เงินเยอะเข้า แต่ ณ เวลานั้น เงินดอลล่าร์ฯ ยังผูกติดกับทองคำอยู่ แต่พอเหลือบไปมองจำนวนทองสำรองคงคลังแล้วกลับพบว่า มีปริมาณทองคำไม่เพียงพอกับจำนวนเงินดอลล่าร์ฯ ที่ปริ้นท์ออกมา

นั่นจึงทำให้ในปี 1971 ที่ประกาศยกเลิกการผูกติดเงินดอลล่าร์ฯ กับทองคำ นั้น ก็เท่ากับว่า สหรัฐฯ ได้ทำการผิดข้อตกลงครั้งยิ่งใหญ่ของโลก เพราะใครก็ตามที่ถือตั๋วแลกทองคำอยู่ ก็จะไม่สามารถนำไปแลกคืนเป็นทองคำได้อีกต่อไปตามที่ได้เคยตกลงกันเอาไว้

และนับตั้งแต่นั้นมา โลกก็ได้หันมาใช้ Fiat Standard แทน Gold Standard ซึ่งทาง Peter Schiff เขามองว่า ณ ปัจจุบัน ระบบของ Fiat Standard นั้น ใกล้จะระเบิดเต็มที สกุลเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ กำลังจะพังลง และโลกก็จะกลับเข้าสู่ Gold Standard อีกครั้งหนึ่ง โดยที่ครั้งนี้จะไม่มีเงินดอลล่าร์มาผูกติดอย่างครั้งก่อนที่เคยสหรัฐอเมริกาเคยตกลงกับนานาชาติไว้ในเหตุการณ์ Bretton Woods System เมื่อปี 1945

ซึ่งพอปี 1971 หลังจากที่ทำการประกาศยกเลิกการผูกติดค่าเงินดอลล่าร์ฯ กับทองคำ ก็ทำให้เงินดอลล่าร์ สูญเสียมูลค่าลดลงไปจากเดิมถึง 2 ใน 3 กันเลยทีเดียว เมื่อเทียบกับสกุลเงินเยอรมัน เยน ฟรังส์สวิส แต่สกุลเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ ก็ยังคงทำหน้าที่เป็น Reserve Currency หรือเป็นสกุลเงินสำรองของโลก ซึ่งนั่น Peter Schiff เขามองว่า มันเป็นเรื่องที่อันตรายอย่างยิ่ง

Image credit : https://www.visualcapitalist.com/purchasing-power-of-the-u-s-dollar-over-time/

และแม้ว่า ตอนที่ประธาธิบดี Richard Nixon ประกาศยกเลิกผูกติดค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ กับทองคำ ตัวของ Peter Schiff เองจะมีอายุแค่เพียง 8 ขวบ แต่เขาก็ได้รับการปลูกฝังจากคุณพ่อของเขาว่า Gold หรือทองคำนั้น คือ ‘Real Money’ หรือคือเงินที่แท้จริงมาโดยตลอด

ซึ่งหลายคนอาจจะยังไม่ทราบว่า ก่อนที่สหรัฐอเมริกาจะออกจาก The Gold Standard หรือออกจากมาตรฐานทองคำนั้น พ่อของเขาได้เคยขึ้นให้การเป็นพยานต่อหน้าคณะกรรมการวุฒิสภาในเรื่องของการเงินและการธนาคาร ว่าเขาไม่เห็นด้วยว่าจะให้ออกจากมาตรฐานทองคำ

ซึ่งพ่อของเขาเป็นคนเดียวที่ยืนกรานว่า หากเมื่อไหร่ก็ตามที่สหรัฐอเมริกาออกจากมาตรฐานทองคำ สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือ ราคาของทองคำจะพุ่งสูงขึ้น มู,ค่าของเงินดอลล่าร์จะลดลง และจะเกิดค่าเงินเฟ้อขึ้นอย่างรุนแรง

ในขณะที่เหล่าบรรดาพยานต่าง ๆ รวมไปถึงเลขาธิการกระทรวงการคลัง และยังมีหัวหน้าของธนาคารกลางสหรัฐฯ ต่างยืนกรานว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่สหรัฐฯ ออกจากมาตรฐานทองคำ ราคาของทองคำจะตกลง เพราะเมื่อนำเงินดอลล่าร์ออกจากโซ่ตรวนได้แล้ว ก็จะมีแต่เรื่องดี ๆ เกิดขึ้น หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ พวกเขาสรรหาเหตุผลที่ดีต่าง ๆ นา ๆ เพื่อสนับสนุนการยกเลิกมาตรฐานทองคำจนได้นั่นเอง

และเราก็ได้คำตอบแล้วว่า ณ ตอนนี้ การที่สหรัฐอเมริกาออกจากมาตรฐานทองคำถือเป็นเรื่องที่ย่ำแย่ ซึ่งทาง Peter Schiff ก็บอกว่า ไม่ว่าจะเป็นผู้บริหารในคณะรัฐบาลในยุคไหนก็ตามที ก็ห่วยแตกหมด พวกนี้ไร้ความสามารถพอ ๆ กัน ไม่ว่าจะเป็นในยถคอดีตหรือปัจจุบัน

อย่างในช่วง covid-19 ที่ผ่านมา ทาง FED หรือทางธนาคารกลางสหรัฐฯ ก็ตัดสินใจผิดพลาด ซึ่งอันที่จริงก็ผิดพลาดมาตั้งแต่ในปี 2008 ในวิกฤต subprime mortgage crisis หรือวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ที่มีการพิมพ์เงินออกมาเป็นจำนวนมหาศาล เพื่อแจกจ่ายแก่ประชาชน ซึ่งผู้คนส่วนใหญ่ต่างก็ยกย่องธนาคารกลาง ที่พิมพ์เงินแจกอย่างมากมาย แต่หารู้ใหม่ว่านั่นคือการกระทำบ่อนทำลายเศรษฐกิจประเทศชาติอย่างรุนแรง

ย้อนกลับมาที่เหตุการณ์วิกฤตล่าสุดอย่างช่วง Covid-19 ทาง Peter Schiff บอกว่า สิ่งที่ FED ควรทำก็คือ การถอนเงินที่ไหลเวียนออกจากระบบเศรษฐกิจ และทำให้เรทอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นในช่วงโรคระบาดนั้น มันคือการขาดแคลน supply สาเหตุก็มาจาก ผู้คนตกงาน บริษัทห้างร้านต่าง ๆ ปิดตัวลง ผู้คนต้องอยู่แต่ภายในบ้านของตนเอง พวกเขาไม่สามารถออกไปทำงานได้ พวกเขาไม่สามารถออกไปผลิตสินค้าและบริการป้อนเข้าสู่ตลาดได้ ดังนั้นจึงทำให้เกิดการขาดแคลนในสินค้าและบริการ มีสินค้าให้ซื้อน้อยลง

ดังนั้นสิ่งที่ FED ควรทำก็คือ การลด money supply หรือลดปริมาณเงินในระบบ เพื่อให้เหมาะสมกับปริมาณสินค้าและบริการที่ดีที่เหลืออยู่

แต่สิ่งที่ FED ทำกลับทำตรงกันข้าม พวกเขาเลือกที่จะปริ้นท์เงินออกมาเป็นจำนวนมหาศาลป้อนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจไปแจกจ่ายให้ประชาชน นั่นมันจึงส่งผลให้เกิด demand หรือความต้องการเพิ่มมากยิ่งขึ้น ทั้ง ๆ ที่มีสินค้าและบริการน้อยอยู่แล้ว มันจึงส่งผลให้เกิดค่าเงินเฟ้อในสินค้าอุปโภคบริโภคอย่างรุนแรง เพราะเมื่อผู้คนได้เงิน พวกเขาก็แห่กันออกไปจับจ่ายใช้สอย แย่งกันซื้อของที่มีน้อย จึงทำให้ราคาสินค้าต่าง ๆ พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะขาดแคลนสินค้าและบริการเป็นอย่างมากเป็นทุนเดิมอยู่แล้วในช่วงโควิด ซึ่งก็จะสังเกตได้ว่า ตัวเลข CPI : Consumer Price Index หรือดัชนีราคาผู้บริโภคของสหรัฐอเมริกา ในเดือน มิถุนายน ปี 2022 ที่ผ่านมานั้น มีค่าสูงถึง 8.6% ที่สูงที่สุดในรอบ 40 ปีที่ผ่านมา

และถ้าโลกกลับไปใช้มาตรฐานทองคำ สิ่งที่จะเกิดขึ้นกับสหรัฐอเมริกาก็คือ ก็จะไม่มีใครใช้เงินดอลล่าร์สหรัฐฯ อีกต่อไป ซึ่ง ณ ปัจจุบัน การค้าทั่วโลกที่เลือกใช้สกุลเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ เป็นสกุลเงินที่ใช้ทำการค้าขายอยู่ ที่มีมูลค่าราว ๆ $1.2 Trillion ต่อปี ซึ่งถ้าหากไม่ใช้เงินดอลล่าร์สหรัฐฯ ในการแลกเปลี่ยน และหันไปใช้ทองคำในการแลกเปลี่ยนแทน ซึ่งทองคำในสหรัฐอเมริกาก็ไม่ได้มีเพื่อการแลกเปลี่ยนซื้อขายสินค้าและบริการมากขนาดนั้น แล้วถ้าบอกว่าถ้าไม่ใช้ดอลล่าร์ฯ ไม่ใช้ทองคำ แล้วหันไปใช้สินค้าและบริการที่ผลิตขึ้นในสหรัฐอเมริกา ก็ไม่มีอีกนั่นแหละ เพราะตอนนี้ฐานโรงงานการผลิตสินค้าต่าง ๆ อยู่ต่างประเทศเกือบหมดอยู่แล้ว รากฐานโครงสร้างระดับแรงงานส่วนใหญ่ก็ไม่ได้อยู่ในสหรัฐอเมริกา

ดังนั้น เงินดอลล่าร์ฯ ก็จะเกิดการล่มสลายลง และชาวอเมริกันก็ไม่มีเงินมากพอที่จะไปใช้จ่ายเพื่อแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการต่าง ๆ ที่มีอยู่ได้ เพราะมันจะมีราคาแพงเกิดนกว่าที่ค่าครองชีพชาวอเมริกันจะจ่ายไหว ดังนั้นสังคมชาวอเมริกันก็จะล่มสลาย

ซึ่งอันที่จริงแล้ว อเมริกาก็แค่ตกไปอยู่ในสถานะที่เหมือนกับประเทศอื่น ๆ ที่ประเทศดังกล่าวไม่มีสกุลเงินของตนเองเป็น Reserve currency ยกตัวอย่างเช่น ประเทศนิวซีแลนด์ มีดอลล่าร์นิวซีแลนด์ (NZD) ที่ไม่ใช่สกุลเงินสำรองระหว่างประเทศ การที่ประเทศนี้จะทำการ Import หรือนำเข้าสินค้าได้ ก็จำเป็นที่จะต้อง Export ส่งออกสินค้าและบริการ ออกไปเพื่อรับเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ ที่เป็น Reserve currency

ในขณะที่สหรัฐอเมริกา การที่จะได้เงินดอลล่าร์สหรัฐฯ มานั้น ก็แค่ทำการปริ้นท์เงินออกมาเท่านั้นเอง

ดังนั้น หาก เงินดอลล่าร์สหรัฐฯ ล่มสลาย ทางนิวซีแลนด์ก็จะเริ่มรับทองคำเพื่อใช้เป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการต่าง ๆ แทน

และเช่นเดียวกัน ทางอเมริกาก็จะต้องรับทองคำมาเพื่อแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการเฉกเช่นประเทศอื่น ๆ เพราะไม่สามารถพิมพ์ทองคำออกมาเองได้อย่างเงินดอลล่าร์ฯ

และนี่คือจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ของชาวอเมริกัน โดยเฉพาะคนที่คิดว่าการออมเงินดอลล่าร์ฯ เพื่อการเกษียณในบั้นปลายชีวิตนั้น อาจจะไม่เพียงพออีกต่อไป เพราะแม้ว่าเงินดอลล่าร์ฯ จะไม่ล่มสลาย แต่มันยังคงเสื่อมค่าในทุก ๆ ปี อยู่ดี ดังนั้น แทนที่จะเกษียณแล้วใช้เงินออม ต้องคิดใหม่แล้วว่า หลังเกษียณก็ยังคงจะต้องทำงานต่อไป เพราะมันไม่พอใช้

หรือหากคุณไม่อยากทำงานไปทั้งชีวิต สิ่งที่คุณควรทำตอนนี้เลยก็คือ การเปลี่ยนจากเงินกระดาษไปเป็นทรัพย์สินอย่างอื่นที่มันมีค่าจริง ๆ เช่น หุ้นต่างประเทศ (foreign stocks), อสังหาริมทรัพย์, ทองคำ, แร่เงิน ฯลฯ และถ้าให้ดีให้เลือกทรัพย์สินที่สามารถสร้างรายได้ได้ด้วยตัวมันเองออกมาได้ด้วย

ส่วนพวก CBDC หรืออย่าง Fed coin นั้น ทาง Peter Schiff บอกว่า มันแย่ยิ่งกว่าเงินกระดาษซะอีก เพราะพวกเขาสามารถเสกเงินได้ง่ายกว่าเดิม แค่แก้ตัวเลขในคอมพิวเตอร์ ไม่ต้องพิมพ์แบงค์กระดาษให้สิ้นเปลือง เพราะอย่าลืมว่า ไม่มีใครรวยขึ้นได้เพราะการปริ้นท์เงิน เพราะยิ่งปริ้นท์เงินเยอะ ก็ยิ่งทำให้เกิดค่าเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ข้าวของแพงขึ้น หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ แม้จะมีเงินในกระเป๋าเยอะขึ้น แต่กลับมีอำนาจในการจับจ่ายใช้สอยที่ลดลง

ส่วนถ้าถามว่าระหว่าง stock market crash กับ dollar crash นั้น อันไหนน่ากลัวกว่ากัน โดยทาง Peter Schiff ก็บอกว่า Dollar Crash นั้น น่ากลัวกว่ามาก เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่เกิด dollar crash ราคาใน stock market จะมีราคาสูงขึ้น (หรือพูดอีกนัยหนึ่งก็คือ ค่าเงินดอลล่าร์มันมีมูลค่าลดลง) โดยเขาได้ยกตัวอย่างจากประเทศซิมบับเว ที่เกิดค่าเงินเฟ้ออย่างรุนแรง สกุลเงินในประเทศด้อยค่าจากเดิมหลายล้านเปอร์เซนต์ และพอไปดูตลาดหุ้นในซิมบับเวก็จะพบว่า มีแต่จะราคาสูงขึ้นเมื่อเกิดค่าเงินเฟ้อสูงขึ้น

ดังนั้น คุณจะเห็นได้ว่า มีเศรษฐีพันล้าน หมื่นล้าน แสนล้าน ล้านล้าน เดินเตร่ดเตร่เต็มถนนไปหมด เพราะ ดอลลาร์ซิมบับเว (ZWD) มันอ่อนค่าลง มีอำนาจในการจับจ่ายใช้สอยที่น้อยลง เวลาจะเดินไปซื้อไก่มาทำกับข้าวสักตัว ต้องขนเงินไปซื้อหลายสิบล้าน

ดังนั้นคุณจะเห็นได้ว่า ไอ้ความที่เป็นเศรษฐีพันล้าน นั้นไม่ได้มีความหมายอะไรเลย หากสกุลเงินที่คุณถืออยู่มันล่มสลาย

ดังนั้น คุณลองไปจินตนาการเอาว่า ไอ้การที่คุณมีเงินกระดาษอยู่ 10 ล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ ในวันนี้ ในอนาคต หากมันล่มสลาย คุณอาจจะซื้อกาแฟได้แค่แก้วเดียวก็เป็นได้ มันไม่เพียงพอที่จะใช้เป็นเงินเพื่อการเกษียณได้อีกต่อไป มันเสี่ยงเกินไปที่จะเก็บเงินในรูปของเงินกระดาษ

ดังนั้น คำแนะนำสำหรับคนทั่ว ๆ ไปจาก Peter Schiff ก็คือ อย่าพยายามเก็บออมเงินกระดาษ ให้เก็บออมในรูปของทรัพย์สินอื่น ๆ ที่มีค่าในตัวมันเองจริง ๆ เช่น ทองคำ, แร่เงิน และทรัพย์สินที่สามารถสร้างรายได้ด้วยตัวมันเองได้ อย่างเช่น อสังหาริมทรัพย์ที่สามารถเก็บค่าเช่าได้ หรืออาจจะเป็นทรัพย์สินที่อยู่นอกสหรัฐอเมริกา ที่สามารถจ่ายปันผลที่ดีกลับคืนมาได้

และในสภาวะเงินเฟ้อที่สูงแบบนี้ คุณควรมีธุรกิจเป็นของตัวเอง ที่สามารถส่งมอบสินค้าหรือบริการ ที่ลูกค้ายอมจ่ายในราคาที่สูง เพราะต้องยอมรับว่าบางธุรกิจ หากทำการขึ้นราคาสินค้าหรือมีราคาสูง จะทำให้ธุรกิจดังกล่าวสูญเสียลูกค้าไปได้

โดยคุณจะต้องหาให้เจอว่า ออะไรคือสิ่งที่ผู้คน NEED ไม่ใช่ WANT เพราะ need คือความต้องการแบบขาดมันไปไม่ได้แม้มันจะมีราคาสูงก็ตาม ในขณะที่ want คือความต้องการที่มีหรือไม่มีก็ได้ ดังนั้นหากราคาสินค้าหรือบริการประเภท NEED มีราคาสูงขึ้น พวกเขาจะทำการลดค่าใช้จ่ายในฝั่งของ want ออกไป ดังนั้นจงลงทุนในบริษัทที่ขายสินค้าและบริการประเภท NEED ให้ลูกค้า

ดังนั้น คุณจงหาวิธีปกป้องความมั่งคั่งของคุณจากค่าเงินเฟ้อให้ได้ นั่นคือทางรอดในวิกฤตในครั้งนี้

Resources