Blue O'Clock

สตูดิโอผลิตและพัฒนาสื่อการเรียนรู้ด้านการลงทุน ธุรกิจ จิตวิทยาและการพัฒนาตนเอง อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

Economy

เราอยู่ในสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำเรียบร้อยแล้ว by Peter Schiff | Blue O’Clock Podcast EP. 52

Peter Schiff คือนักธุรกิจ นักลงทุนในทองคำ นักเขียน และนักเศรษฐศาสตร์ชาวอเมริกัน ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์เศรษฐกิจฝีปากกล้า ที่เขาได้ออกมาให้สัมภาษณ์ในรายการ Real America with Dan Ball เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2023 ที่ผ่านมานี้

Recession or Depression

โดย Peter Schiff เริ่มต้นให้สัมภาษณ์ว่า โชคดีที่ตอนนี้เราออกจากสภาวะเศรษฐกิจถดถอยหรือ recession แล้ว แต่เข้าสู่สภาวะ depression หรือสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำอย่างเต็มรูปแบบแทน

ความหมายก็คือ ถ้าเป็นสภาวะ recession หรือสภาวะเศรษฐกิจถดถอยนั้น มักจะกินช่วงเวลาราว ๆ 3-6 เดือน หรือประมาณ 1-2 ไตรมาส

แต่นี่กินเวลายาวนานมาหลายปี นับตั้งแต่เกิดโรคระบาด ดังนั้น นี่คือสภาวะ depression หรือสภาวะเศรษฐกิจถดถอยแล้ว และเขาก็บอกว่า มันจะยิ่งเลวร้ายกว่าที่เป็นอยู่นี่เข้าไปอีก

อัตราการจ้างงานภาครัฐและภาคเอกชน

โดยเขาเริ่มต้นด้วยการพูดในหัวข้อเรื่องของ Jobs หรือการจ้างงานภายในประเทศสหรัฐอเมริกาก่อนว่า เพราะเหตุใด ทำไมตัวเลขการจ้างงานจำนวนกว่า 50,000 ตำแหน่งที่ทางรัฐบาลสหรัฐฯ ได้เปิดรับคนเข้าทำงานที่ดูเหมือนน่าจะดี แต่กลับเป็นปัญหาในมุมมองของ Peter Schiff

โดยเขาให้เหตุผลว่า อัตราการจ้างงาน ควรจะเป็นในฝ่ายของเอกชนมากกว่าของรัฐบาล และเอกชนคือคนที่คอยจ่ายภาษีเป็นจำนวนมากให้แก่ประเทศ

ในขณะที่คนที่ทำงานในรัฐบาลนั้น กินภาษีจากประชาชน และเหล่าบรรดาข้าราชการนั้น ไม่ได้สร้างผลผลิตอะไรใหม่ ๆ ขึ้นมาเลย ซึ่งส่งผลให้ประเทศชาติมีประสิทธิภาพในการทำงานในภาพรวมของทั้งประเทศนั้นลดลง

ซึ่งการแก้ปัญหาที่ถูกต้องมันควรจะเป็นส่งเสริมให้ทางภาคเอกชนนั้นเกิดการจ้างงานที่เพิ่มมากขึ้น เพื่อที่พวกเขาจะได้มีเงินใช้จ่ายให้กับตัวของพวกเขาเอง ซึ่งยิ่งพวกเขาใช้จ่ายมากเท่าไหร่ รัฐก็ยิ่งเก็บภาษีได้มากขึ้น

และการที่ภาคเอกชนมีการจ้างงานเพิ่มมากขึ้น ก็จะส่งผลให้ผลผลิตมวลรวมของประเทศชาตินั้นสูงเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ไม่ใช่ไปจ้างงานในส่วนของภาครัฐมากยิ่งขึ้น เพราะเงินเดือนของพวกเขาก็ต้องเอามาจากภาษีของประชาชนที่ทำงานในส่วนของภาคเอกชนแถมยังลดประสิทธิภาพของผลผลิตของประเทศอีกด้วย

ซึ่งการที่สื่อต่าง ๆ ชอบเขียนข่าวอวยรัฐบาล ว่ามีอัตราการว่าจ้างงานที่เพิ่มขึ้น และมีตัวเลขอัตราการว่างงานที่ลดลง ที่ฟังแล้วก็ดูเหมือนจะดูดี

แต่ทาง Peter Schiff บอกว่า พวกเขาพูดไม่หมด ถ้าพูดให้ถูกก็คือ อัตราการว่าจ้างงานที่ต้องการคนเป็นจำนวนมากเข้ามาทำงานนั้น ส่วนใหญ่แล้ว เป็นในเรื่องของงานบริการและสันทนาการ อย่างเช่นในธุรกิจที่เกี่ยวกับโรงแรมและร้านอาหารซะเป็นส่วนใหญ่ ที่กลับมารันธุรกิจต่อหลังจากเหตุการณ์โรคระบาดอย่าง covid-19 นั้นได้คลี่คลายลง

แต่ก็ต้องยอมรับความจริงว่า งานเหล่านี้ มีอัตราค่าจ้างที่อยู่ในเกณฑ์ที่ต่ำเมื่อเทียบกับตำแหน่งงานอื่น ๆ อย่างเช่น ตำแหน่งงานที่ถูกปลดออกจากบริษัท tech company และบริษัทยักษ์ใหญ่หลายแห่ง ที่เป็นตำแหน่งงานที่มีคุณภาพสูงและมีรายได้ที่สูง

ดังนั้น มันจึงทำให้คนหลายคนที่มีทักษะที่สูง กลับต้องหางานทำไม่ต่ำกว่า 2 ถึง 3 งาน เพื่อให้พอเลี้ยงชีพ หรือให้มีรายได้พอ ๆ กับงานที่มีคุณภาพดี ๆ เพียงงานเดียวอย่างที่พวกเขาเคยได้รับ

แต่พวกเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากมีงานอะไร ก็ทำ ๆ ไปก่อน เพราะต้องหาเงินมาจ่ายค่าบิลต่าง ๆ ที่มันไม่ได้หยุดตามรายได้ของพวกเขาที่หายไปด้วยเนี่ยสิ

ถูกโจมตีสกุลเงิน U.S. dollar

และต่อมาคือเรื่องของสกุลเงิน U.S. dollar ที่ทาง Peter Schiff บอกว่า นี่ก็เป็นภัยคุกคามที่แท้จริงของเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่ต่างชาติเริ่มทิ้งเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ กันหลายต่อหลายประเทศ

ทำให้สหรัฐอเมริกานั้นขาดดุลทางการค้าระหว่างประเทศปีละนับล้านล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ อันเนื่องมาจาก อเมริกามีแต่ import หรือการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศนับล้านล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ เพียงอย่างเดียว แต่กลับไม่ได้มี export หรือผลผลิตส่งออกแต่อย่างใด

ซึ่งสิ่งเดียวที่ยังคงทำให้สหรัฐอเมริกา มีเงินนำไปจับจ่ายใช้สอยซื้อของเข้าประเทศได้นั้นก็คือ การพิมพ์เงิน U.S. dollar ออกมาเยอะ ๆ นั่นเอง แต่นั่นก็หมายถึงว่า ประเทศที่ค้าขายกับสหรัฐฯ นั้น พวกเขาต้องอยากที่จะถือเงินสกุล U.S. dollar ด้วย

คำถามก็คือ แล้วถ้าพวกที่ค้าขายกับสหรัฐอเมริกา ไม่ต้องการที่จะถือเงินสกุล U.S. dollar อีกต่อไปแล้ว แล้วจะทำยังไงกันล่ะทีนี้?

เพราะถ้าประเทศอื่น ๆ ไม่ต้องการเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ ประเทศสหรัฐฯ ก็จะซื้อของที่จำเป็นที่จะต้องใช้เข้าประเทศไม่ได้ ดำเนินประเทศต่อไปได้ลำบาก เพราะภายในประเทศสหรัฐอเมริกานั้น แทบไม่มีโรงงานผลิตสินค้าต่าง ๆ ใช้ได้เองภายในประเทศ เพราะฐานการผลิตอยู่ต่างประเทศเกือบทั้งหมด

ซึ่งนี่เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นของ Financial crisis หรือวิกฤตทางเงินในระยะเริ่มต้นเท่านั้น ซึ่งทาง Peter Schiff เขาคาดการณ์ว่า วิกฤติทางการเงินในครั้งนี้ มันจะรุนแรงยิ่งกว่าในปี 2008 ที่เกิดวิกฤต subprime mortgage crisis หรือวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ซะอีก

เนื่องจากปัญหาในครั้งนี้มันใหญ่กว่าในปี 2008 ที่ในครั้งนี้มันน่าจะจบลงด้วยการพังทลายลงของสกุลเงิน U.S. dollar และเกิด Debt crisis หรือวิกฤตหนี้สาธารณะ และมันจะส่งผลให้เกิดค่าเงินเฟ้ออย่างรุนแรงจนทะลุเพดานกันเลยทีเดียว

สหรัฐอเมริกา จะรอดหรือไม่?

โดย Peter Schiff บอกว่า สหรัฐไม่มีทางที่จะหลีกหนีความจริงนี้ไปได้ มีแต่ต้องยอมรับผลจากการกระทำ ผลจากการกำหนดนโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐ และทางธนาคารกลางสหรัฐฯ เองที่มีมานับสิบปี

ซึ่งสิ่งที่สหรัฐ สามารถทำได้ในตอนนี้ก็คือ การบรรเทาเพื่อลดความเสียหายที่เกิดขึ้นและลดอัตราเร่งให้ช้าลง เพื่อเยียวยาเศรษฐกิจของประเทศได้นั้น สามารถทำได้ทันทีในสิ่งที่สามารทำได้เลยก็คือ การลดขนาดของรัฐบาล ลดค่าใช้จ่ายของรัฐให้น้อยลง และปลดปล่อยเศรษฐกิจจากกฎระเบียบด้านภาษีของรัฐบาล เพื่อที่จะให้ประเทศชาติ สามารถพาตัวเองขึ้นมาจากโคลนตมให้ได้เสียก่อน

วิกฤตการล้มละลายของธนาคารในสหรัฐฯ

เรื่องสุดท้ายในการสัมภาษณ์นี้ คือเรื่องของวิกฤตธนาคารล้ม ซึ่งจากที่ผ่านมา มีธนาคารยักษ์ใหญ่ 2-3 แห่ง ในสหรัฐฯ ได้ประกาศล้มละลายไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งนักข่าวก็ได้ถาม Peter Schiff ว่า จะมีธนาคารล้มอีกกี่แห่ง

โดยทาง Peter Schiff ก็ได้ให้คำตอบว่า อาจจะไม่มีแบงค์ล้มแล้ว เพราะเดี๋ยว FED หรือทาง(ะนาคารกลางสหรัฐ ก็จะทำการ Bail out หรือทำการเอาเงินไปอุ้มธนาคารไม่ให้ล้ม แล้วถามว่าเอาเงินจากไหนไปอุ้ม ก็ทำการพิมพ์เงินเพิ่มขึ้นอีกเป็นจำนวนมหาศาลไง

ซึ่งสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาก็คือ เงินในธนาคารของประชาชานที่นำไปฝากเอาไว้นั้น ก็จะไม่ได้หายไปไหน แต่การพิมพ์เงินเป็นจำนวนมหาศาลออกมานั้น จะทำให้เกิดค่าเงินเฟ้ออย่างรุนแรง ส่งผลให้แม้ว่าจะมีเงินในบัญชีธนาคารจำนวนเท่าเดิม แต่พอถอนออกมาได้แล้วนั้น กลับนำไปซื้อของได้น้อยลง เติมน้ำมันได้น้อยลง ซึ่งเป็นผลมาจากการเกิดค่าเงินเฟ้อนั่นเอง

ซึ่งการซื้อทองคำเก็บเอาไว้ก็น่าจะเป็นไอเดียที่ดี แต่เขาก็ไม่แนะนำให้ซ่อนมันเอาไว้ใต้ฟูกที่นอนในบ้านของตัวเองสักเท่าไหร่นัก ยกเว้นเสียแต่ว่าคุณได้ตุนกระสุนเพื่อเอาไว้ปกป้องมันมากพอ

Resources