Blue O'Clock

สตูดิโอผลิตและพัฒนาสื่อการเรียนรู้ด้านการลงทุน ธุรกิจ จิตวิทยาและการพัฒนาตนเอง อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

How to

4 เหตุผลว่าทำไมคนส่วนใหญ่ถึงล้มเหลวและไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต

แนวคิดของคนที่ร่ำรวยและประสบความสำเร็จอย่างสูงนั้น แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับแนวความคิดของคนจนและคนที่ล้มเหลว และนี่คือ 4 เหตุผลหลักที่คือต้นตอของความล้มเหลว ซึ่งในบทความนี้ มหาเศรษฐีรุ่นพี่ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงนั้นจะมาบอกเล่าว่า เพราะเหตุใดทำไมคนล้มเหลวก็ยังคงล้มเหลวอยู่วันยังค่ำ และหากคุณไม่อยากเป็นคนเหลวและต้องการที่จะเป็นคนร่ำรวยและประสบความสำเร็จ คุณจำเป็นที่จะต้องกำจัดสิ่งเหล่านี้ออกไปจากตัวคุณซะ

เหตุผลข้อที่ 1 – ผู้คนส่วนใหญ่ไม่ยอมแม้แต่จะเสี่ยง (People Never take risk)

Mark Zuckerberg ผู้ก่อตั้ง Facebook ได้พูดว่าว่า ในโลกยุคปัจจุบันนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วนั้นหลายคนกำลังตกอยู่ในความเสี่ยงอยู่โดยไม่รู้ตัว ซึ่งการอยู่เฉย ๆ นั้นมันไม่ได้ช่วยให้คุณเลี่ยงความเสี่ยงต่ออนาคต หน้าที่การงาน การเงินของคุณ แต่หลายคนกลับคิดว่าการอยู่เฉย ๆ นั้นมีความเสี่ยงน้อยกว่าการพุ่งเข้าชนความเสี่ยง เพราะเมื่อคนส่วนใหญ่เห็นความเสี่ยงที่เกิดขึ้นอยู่ตรงหน้า สิ่งที่พวกเขาจะทำก็คือ การพิจารณาว่าความเสี่ยงนั้น ๆ จะมีโอกาสล้มเหลวและสำเร็จอย่างไรบ้าง และคนส่วนใหญ่เมื่อเห็นความเสี่ยงที่สูง ก็มักจะเลือกที่จะอยู่เฉย ๆ ก็น่าจะดีกว่า แต่ Mark Zuckerberg ได้พูดว่า การที่คุณอยู่เฉย ๆ โดยไม่คิดที่จะยอมเสี่ยงอะไรเลย นั่นคือความเสี่ยงสูงที่สุด เพราะการที่คุณไม่เลือกที่จะเสี่ยงในเรื่องใดเลย มันหมายถึง โอกาสที่คุณจะประสบความสำเร็จได้นั้นเท่ากับศูนย์เปอร์เซ็นต์ แต่ในขณะที่คนที่ประสบความสำเร็จและร่ำรวยนั้น พวกเขาเลือกที่จะเสี่ยงโดยอยู่บนพื้นฐานที่แต่คนละรับได้ เพราะบางคนก็รับความเสี่ยงได้มาก บางคนก็รับความเสี่ยงได้น้อย มันขึ้นอยู่กับสถานะของแต่ละส่วนบุคคล ที่ต้องสำรวจตัวเองอย่างถี่ถ้วนว่า ตนเองรับความเสี่ยงได้มากน้อยแค่ไหน ดังนั้น แม้ว่าบางเรื่องจะมีความเสี่ยงสูง มีโอกาสล้มเหลวสูง แถมยังมีโอกาสสำเร็จน้อยมาก ๆ แต่คนที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงนั้น บางครั้งแม้พวกเขาจะมองเห็นโอกาสสำเร็จเพียงแค่ 1% พวกเขาจะพร้อมที่จะพุ่งชนความเสี่ยงนั้นอย่างสุดกำลัง เพราะถ้าหากพวกเขาไม่ทำเช่นนั้น โอกาสที่พวกเขาจะสำเร็จได้คือ 0% นั่นเอง

เหตุผลข้อที่ 2 – พวกเขาเป็นพวกขี้เกียจสันหลังยาว (They are lazy)

Mark Cuban มหาเศรษฐีพันล้าน นักธุรกิจไอทีชื่อดังจากรายการ Shark Tank และเจ้าทีม NBA อย่าง Dallas Mavericks ได้พูดว่า ผู้คนส่วนใหญ่ที่ล้มเหลวนั้น พวกเขามักจะเป็นคนที่พูดมากกว่าลงมือทำ ซึ่งในโลกนี้ไม่มีอะไรที่จะสำเร็จได้หากขาดความพยายามที่จะทำให้งานสำเร็จลุล่วง และการพยายามลงมือทำอะไรสักอย่างนั้น มันเสมือนเป็นใบเบิกทางไปสู่โอกาสใหม่ ๆ ที่ถ้าหากไม่คิดที่จะลงมือทำแล้วล่ะก็ คุณก็จะไม่มีวันเห็นโอกาสเหล่านี้ได้เลย

หรือเอาเรื่องเบสิคง่าย ๆ ว่า หากคุณนึกย้อนไปสมัยที่เรียนอยู่ในโรงเรียน คุณก็จะพบว่า ร้อยละ 80 ถึงร้อยละ 90 นั้น นักเรียนส่วนใหญ่มักจะเป็นคนที่ขี้เกียจ ซึ่งนั่นก็อาจส่งผลให้อนาคตของพวกเขาเหล่านั้นพลาดโอกาสที่จะได้งานดี ๆ ทำ

โดย Mark Cuban เล่าให้ฟังว่า เวลาที่เขาสอนลูก ๆ ของพวกเขา เขาเคยให้ทางเลือกกับลูก ๆ อยู่ 2 ช้อยส์ก็คือ ทางเลือกแรก หากลูกต้องการอะไร ต้องการเป็นอะไร อยากได้อะไร อยากประสบความสำเร็จในด้านไหน จงทำงานด้วยความขยันขันแข็ง เพื่อไขว่คว้ามันมาให้ได้ หรือหากไม่เลือกข้อแรก ถ้างั้นพ่อก็มีตัวเลือกข้อที่สองให้นั่นก็คือ พ่อจะเป็นคนพาลูก ๆ ไปขายให้กับห้องทดลองมนุษย์แทน ซึ่งก็น่าจะได้เงินมากโขเลยทีเดียว (ซึ่งเป็นเรื่องหลอกเด็กที่เขามักจะใช้ภายในครอบครัว) โดยขั้นแรกของเจาะเลือดของลูกไปขายก่อนที่จะขายอวัยวะก่อนก็แล้วกัน ส่วนลูกของเขาก็ตอบมาว่า พ่อฮะ ผมพึ่งอายุเจ็ดขวบเท่าเองนะฮะ Mark Cuban ก็เลยตอบกลับไปว่า I don’t care ha ha ha.

เหตุผลข้อที่ 3 –  พวกเขาจะไม่ยอมเรียนรู้และนำไปปรับใช้กับชีวิตได้มากพอ (They Don’t Learn and Adapt Enough)

Jeff Bezos ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ Amazon.com มหาเศรษฐีอันดับ 1 ของโลกคนปัจจุบัน ได้กล่าวว่า การที่ใครสักคนหนึ่งนั้นจะขึ้นมาเป็นผู้ริเริ่มหรือผู้ก่อตั้งของอะไรสักอย่างไม่ว่าจะเป็น ธุรกิจใหม่ ซอร์ฟแวร์ใหม่ แอพพลิเคชั่นใหม่ สินค้ารูปแบบใหม่ หรือการบริการรูปแบบใหม่ คุณจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้อย่างมากมายเกี่ยวกับเรื่องในวงการนั้น ๆ ต้องเรียนรู้ทุกแง่มุม เพื่อให้ตัวคุณเองกลายเป็นคนที่เชี่ยวชาญที่สุดในอุตสาหกรรมนั้น ๆ ได้ในที่สุด

และเรื่องที่อันตรายเป็นอย่างมากในการเรียนรู้เพื่อเป็น Expert หรือผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนั้น ๆ ก็คือ คุณจะตกหลุมกับดักความรู้ของตนเอง เพราะคิดว่าตนเองนั้นรอบรู้ไปทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับมันแล้ว จนคิดว่า ไม่จำเป็นที่จะต้องเรียนรู้อะไรใหม่ ๆ อีก หรือแม้กระทั่งมีบางคนมาบอกข้อมูลใหม่ ๆ เกี่ยวกับเรื่องที่คุณเชี่ยวชาญ คุณก็มักจะตาบอด มองไม่เห็น เพราะมีอีโก้บังตาอยู่ ทำให้คุณพลาดโอกาสที่จะใช้ชุดข้อมูลใหม่ ๆ นั้น มาทำให้ทุกอย่างมันดีขึ้นไปอีก

ในขณะที่ตอนที่คุณกำลังอยู่ในช่วงรู้ใหม่ ๆ ไม่ว่าคุณจะเจอชุดข้อมูลความรู้ใดก็ตาม คุณก็มักจะตื่นเต้น และพยายามขวนขวาย เสาะหาในเชิงลึกต่อ ดังนั้น กุญแจสำคัญของการเป็นผู้ริเริ่มก่อตั้งที่ดีนั้น คุณจะต้องขวนขวายการเรียนรู้เรื่องใหม่ ๆ อยู่เสมอ และต้องมีความกระหายความรู้อยู่ตลอดเวลา

เหตุผลข้อที่ 4 – พวกเขาเป็นพวกชอบแก้ตัว (They Make Excuses)

Grant Cardone เจ้าพ่ออสังหาฯ ชาวอเมริกัน เทรนเนอร์นักขาย นักพูดและนักเขียน Bestseller ได้เล่าให้ฟังว่า เมื่อสมัยตอนที่เขายังหนุ่ม ๆ ช่วงอายุประมาณ 25 ปีนั้น เขาก็เป็นคนหนึ่งที่เคยถังแตกมาก่อน ที่ไม่มีแม้กระทั่งเงินติดกระเป๋าเลยด้วยซ้ำ แถมบัตรเครดิตก็ไม่มีเลยสักใบ เพราะสถานะแบบนั้น ใครเขาจะกล้าให้บัตรเครดิตมาใช้ เพราะรู้ทั้งรู้อยู่แล้วว่า ไม่มีปัญญาใช้หนี้บัตรเครดิตอย่างแน่นอน และตอนนั้นรถที่เขาพอจะมีปัญหาหามาขับได้ก็คือ Ford Maverick 1970 เก่า ๆ ที่ไม่มีแม้กระทั่งเครื่องปรับอากาศ ไม่มีฮีตเตอร์ ไม่มีที่จับประตู แถมพื้นรถก็เต็มไปด้วยสนิมพุพัง แถมยังอาศัยในห้องรูหนูที่มีขนาดเพียง 300 ตารางฟุต ที่เดินไม่กี่ก้าวก็ถึงหน้าประตูห้องแล้ว โดยค่าเช่าห้องตอนนั้นประมาณ 275 ดอลล่าร์ หรือประมาณ 8250 บาท ซึ่งเขาก็ยอมรับว่าเขาจ่ายค่าเช่าช้าทุกเดือน

ดังนั้นอย่ามาบ่นกับผมว่า คุณเกิดมายากจนยังไง คุณเกิดมาในครอบครัวแบบไหน คุณพ่อคุณแม่ของคุณแย่อย่างไร พี่คนโตชอบแกล้งคุณบ่อยแค่ไหน เพื่อน ๆ ที่โรงเรียนชอบล้อคุณว่าอะไร ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ยิ่งคุณพูด มันก็ยิ่งทำร้ายจิตใจคุณ ทำร้ายสมองคุณให้มีแต่เรื่องแย่ ๆ ตามมาอีกเป็นกอง ซึ่งไม่ว่าใคร ทุกคนก็มีปัญหาส่วนตัวกันทั้งนั้น สิ่งที่คุณต้องทำก็คือ จัดการกับปัญหาส่วนตัวเหล่านั้นซะ

ดังนั้น Grant Cardone ในวัย 25 ปี เมื่อเขาคิดได้แล้วว่า สิ่งที่เขาจะต้องทำก็คือการหาเงินมาจุนเจือตัวเอง จุนเจือครอบครัว ให้สามารถใช้ชีวิตรอดในสังคมให้ได้ และเขาก็มุ่งทำงานหาเงิน ขยันขันแข็ง โดยเลิกบ่น พูดให้น้อยลง ลงมือทำให้เยอะขึ้น แล้วสุดท้ายเขาก็สามารถทำให้สถานะการเงินของเขาดีขึ้นได้ในที่สุด จงเลิกทำตัวง๊องแง็ง เลิกร้องไห้แบบเด็ก ๆ แล้วมุ่งหน้าทำงานหาเงิน ซึ่งผมใช้วิธีการนี้มาตลอดช่วง 30 ปีที่ผ่านมา จนทำให้วันนี้มีเงินเป็นพันล้านได้ในที่สุด และผมก็หวังว่าพวกคุณจะทำแบบเดียวกันเฉกเช่นเดียวกับผม

Resources