Blue O'Clock

สตูดิโอผลิตและพัฒนาสื่อการเรียนรู้ด้านการลงทุน ธุรกิจ จิตวิทยาและการพัฒนาตนเอง อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

How to

5 กฎพื้นฐานการลงทุนให้รวยสไตล์ Rich Dad by Robert Kiyosaki

Robert Kiyosaki เจ้าของซีรี่ย์ผลงานเขียนชื่อดังอย่าง Rich Dad Poor Dadพ่อรวยสอนลูก ได้แชร์ความรู้เกี่ยวกับพื้นฐานในการลงทุนเพื่อก้าวสู่การเป็นคนรวยที่ทุกคนจำเป็นต้องรู้

กฎข้อที่ 1 – Other People Money (OPM) ใช้เงินคนอื่นในการลงทุน

Robert Kiyosaki เขาเลือกที่จะยืมเงินคนอื่นมาเพื่อลงทุน หรือจะเรียกว่าใช้หนี้มาลงทุนก็ได้ แต่เขาออกปากเตือนอย่างเคร่งครัดก่อนเลยว่า เขาไม่แนะนำวิธีนี้ แต่หากอยากใช้วิธีนี้ สิ่งแรกที่คุณจะต้องมีก่อนเลยก็คือ Financial Education ความรู้ทางการเงินที่เข้มข้นมาก ๆ ระดับ Expert คือรู้แจ้งรู้กระจ่างเกี่ยวกับการเงินทุกศาสตร์ทุกขแนง ถึงจะใช้วิธีนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่งั้นมีแต่เจ๊งกับเจ๊ง

พ่อรวยจะบอกอยู่เสมอว่า การเป็นหนี้ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร เพราะอันที่จริงแล้ว มันมีทั้งหนี้ดีและหนี้เลว หนี้เลวส่วนใหญ่เกิดมาจากการนำเงินที่ยืมมานั้น ไปใช้ในเรื่องของอุปโภคบริโภค ที่เมื่อใช้จ่ายไปแล้ว ไม่มีเงินงอกเงยกลับมา แต่ในขณะที่หนี้ดีนั้น มันจะสามารถสร้างผลตอบแทนกลับคืนมาได้มากกว่าดอกเบี้ยธนาคาร ทำให้ยิ่งกู้ยิ่งรวย เพราะนอกจากจะไม่ต้องควักเงินในกระเป๋าของตัวเองแล้ว ไอ้ที่ไปลงทุนไว้ มันก็เอาไปจ่ายดอกเบี้ยธนาคารแถมยังเหลือเงินเข้ากระเป๋าของเราเพิ่มอีกต่างหาก

และประโยชน์ที่ได้จากหนี้ดีอีกอย่างก็คือ เมื่อกู้มาลงทุน คุณจะไม่ต้องเสียภาษี เพราะในงบการเงินคุณมันสามารถทำทางบัญชีให้เป็นค่าใช้จ่าย ค่าลงทุนได้ เพราะมันไม่ได้ถือว่าเป็นรายได้ แต่ในขณะที่สินทรัพย์ที่ลงทุนก็งอกเงยขึ้นทุกวัน ๆ

แต่ก็ต้องระวัง เพราะวิธีนี้ ทำให้มหาเศรษฐีหลายต่อหลายคนหมดตัวมาแล้ว ดังเช่นในช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง ที่จู่ ๆ ค่าเงินบาทก็ลอย ดอกเบี้ยที่กู้ไปลงอสังหาฯ กลับดีดพุ่งสูงขึ้นจนไอ้ที่ลงทุนไว้ไม่สามารถจ่ายดอกเบี้ยธนาคารไหว ก็กลายเป็นคนล้มละลายในชั่วข้ามคืน

กฎข้อที่ 2 – 3 Types of income 3 ประเภทของแหล่งรายได้

รู้หรือไม่ว่า คนรวยส่วนใหญ่นั้น แทบจะไม่จ่ายภาษี หรือจ่ายภาษีให้น้อยที่สุด โดยมันเกิดมาจากประเภทของแหล่งรายได้ ที่แตกต่างกัน จึงทำให้การเสียภาษีมีเรทที่ต่างกันด้วย

รายได้ประเภทที่ 1 – Earn Income

เมื่อเราทำงานหาเงิน ได้รับรายได้จากเงินเดือน ค่าจ้าง แล้ว จะเข้าเกณฑ์ที่จะต้องเสียภาษีส่วนบุคคล ซึ่งเป็นกลุ่มที่เสียภาษีที่สูงที่สุด อย่างในไทยก็เสียภาษีสูงสุดอยู่ที่ 35% และในหลาย ๆ ประเทศสเก็บภาษีกว่า 50% ซะอีก (แต่ประเทศที่เก็บภาษีแพงส่วนใหญ่ สวัสดิการดีนะ ย้ายประเทศป่ะล่ะ)

รายได้ประเภทที่ 2 – Portfolio Income

รายได้ประเภทนี้ จะเป็นในลักษณะซื้อมาขายไป ยกตัวอย่างเช่น Flipping House คือการซื้อบ้านเก่ามารีโนเวทใหม่แล้วขายในราคาที่สูงกว่าเดิมเพื่อทำกำไร หรืออย่างการซื้อขายหุ้น เช่น ซื้อหุ้นมาในราคา 100 บาท แล้วขายทำกำไรออกไปในราคา 200 บาท เป็นต้น

รายได้ประเภทที่ 3 – Passive Income

เป็นรายได้อย่างเดียวที่คนรวยสนใจและหาวิธีที่สร้างรายได้ในหมวดนี้เพื่อเสริมสร้างความมั่งคั่ง โดยหัวใจหลักของการมีรายได้ Passive Income ก็คือ มันสามารถสร้าง Cash Flow หรือกระแสเงินสดได้อย่างสม่ำเสมอ แม้ว่าจะทำงานหรือไม่ได้ทำงาน ณ ขณะนั้นก็ตามที แถมยังเป็นรายได้ในกลุ่มที่เสียภาษีน้อยที่สุดหรือไม่ต้องเสียภาษีเลยด้วยซ้ำ

กฎข้อที่ 3 – Get A Financial Education จงขวนขวายหาความรู้ในเรื่องของการเงิน

ถ้าให้เลือกวิชาที่เรียนสักวิชาสำหรับมหา’ลัยชีวิตนั้น หนึ่งในวิชาที่จำเป็นที่สุดคือเรื่องของการเงิน แต่กลับไม่มีการเรียนการสอนในโรงเรียนซะอย่างงั้น เราทุกวันนี้เราไปโรงเรียนเพื่ออะไร คำตอบที่ตอบตาม ๆ กันมาก็น่าจะเป็นเพราะ ไปโรงเรียนเพื่อเรียนให้ได้เกรดดี ๆ เพราะจะได้มีโอกาสได้ทำงานที่ดีและได้เงินที่ดี

แต่ในยุคที่เริ่มมีหุ่นยนต์เริ่มมีปัญญาประดิษฐ์เข้ามาทดแทนแรงงานมนุษย์ ทำให้งานนับล้านตำแหน่งต้องหายไป และเมื่องานที่ใช้ความรู้โรงเรียนนั้นกำลังจะหายไป แล้วเราจะเรียนไปเพื่ออะไร เพราะต้องยอมรับว่า โลกทุกวันนี้มันเปลี่ยนแปลงรวดเร็วมาก และความรู้ในสถาบันการศึกษาส่วนใหญ่ก็ปรับเนื้อหาไม่ทันกับโลกปัจจุบัน หรือกว่าจะเรียนจบหลักสูตร ก็ดันพบว่า ความรู้ที่อุตส่าห์ร่ำเรียนมานั้น ไม่ได้เป็นที่ต้องการของตลาดอีกต่อไปแล้ว

แต่อย่าตีความผิดไปว่า การศึกษานั้นไม่สำคัญ เพราะมันสำคัญมาก แต่ต้องรู้ว่ามีวิชาไหนบ้างที่สำคัญต่อการดำรงชีวิตในยุคปัจจุบันต่างหาก และหนึ่งในวิชาที่คนทุกคนต้องเรียนรู้ก็คือ Financial หรือเรื่องของการเงินนั่นเอง

กฎข้อที่ 4 – Invest for cash flow ลงทุนเพื่อสร้างกระแสเงินสด

คนส่วนใหญ่ ยังยึดติดกับการหางานดี ๆ เงินเดือนสูง ๆ ทำ เพื่อที่จะได้ไปใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน กินหรูอยู่แพง พอหมดแล้วก็หาใหม่ ทำงานใหม่ รอเงินออก แล้วก็วนลูปซ้ำ ๆ เดิม ๆ แบบนี้อยู่เรื่อยไป จนกระทั่งเริ่มใช้จ่ายเกินตัว ใช้จ่ายเกินกว่าที่ตัวเองหามาได้ เริ่มเป็นหนี้เป็นสิน เริ่มกู้ซื้อบ้าน กู้ซื้อรถ จนสุดท้ายก็ต้องทำงานอยู่ตลอดเวลา หยุดทำไม่ได้ เพราะเดี๋ยวไม่มีเงินไปผ่อนบ้านผ่อนรถ ทำให้โฟกัสของเราจะตกไปอยู่ที่ หากอยากหลุดสภาวะนี้ เราก็ต้องทำงานให้มากขึ้น หนักขึ้น ทำ OT เยอะ ๆ เริ่มมองหางานที่สองที่จะทำหลังจากงานหลักเสร็จแล้ว ก็สุดท้ายก็พบว่า ยิ่งทำงานหนักมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งไม่หลุดวงจรนี้สักที เพราะโฟกัสผิดจุด

แต่เมื่อได้ลองเริ่มเจียดเงินส่วนหนึ่งมาลงใน Asset หรือสินทรัพย์ ก็พบว่าเงินในกระเป๋ามันเพิ่มขึ้น ทั้ง ๆ ที่ก็ทำงานเท่าเดิม แต่เปลี่ยนโฟกัสจากเดิมที่จะต้องทำงานมากชั่วโมงขึ้น เปลี่ยนมาเป็นทำงานเพื่อหาลงทุนในสินทรัพย์มากยิ่งขึ้น และยิ่งสินทรัพย์มีขนาดใหญ่มากขึ้นเท่าไหร่ มันก็จะยิ่งผลิตกระแสเงินสดออกมามากขึ้นเท่านั้น และมันจะผลิตกระแสเงินสดออกมาเรื่อย ๆ แม้ในยามหลับ หรือแม้ในยามที่เราทำงานหรือไม่ได้ทำงานก็ตามที

ดังนั้นถ้าต้องการเป็นคนรวย จงโฟกัสที่การสร้างสินทรัพย์ที่สามารถผลิตกระแสเงินสดออกมาได้อย่างสม่ำเสมอ

กฎข้อที่ 5 Raise capital การระดมทุน

Robert Kiyosaki กล่าวว่า การไม่มีเงินไม่ใช่ปัญหา ในการที่กลายเป็นคนรวย เพราะแม้ตัวเขาในวันนี้ไม่มีเงินเลย แต่สิ่งที่เขามีคือ เขามีไอเดีย ความคิดสร้างสรรค์ มีทักษะในการขาย มีวิสัยทัศน์ และมีทักษะในการเจรจากับคนรวย คนที่มีเงินเยอะ ๆ เขาสามารถเข้าไปคุยกับคนรวย เสนอแนวคิดในการสร้างสรรค์ธุรกิจ เพื่อให้คนรวยลงทุนในตัวเขา นำเงินของพวกเขาไปทำให้มันงอกเงยได้ และในยุคนี้ เป็นยุคที่มีคนรวยอย่างมากมายที่พร้อมจะลงทุน เพราะพวกเขาเองก็มองหาการลงทุนที่มีโอกาสได้ผลตอบแทนที่สูงกว่าที่มีในปัจจุบัน

และนี่ก็คือ 5 กฎเหล็กการลงทุนในแบบฉบับของ Robert Kiyosaki ที่เขาได้เรียนรู้จาก Rich Dad

Resources