Blue O'Clock

สตูดิโอผลิตและพัฒนาสื่อการเรียนรู้ด้านการลงทุน ธุรกิจ จิตวิทยาและการพัฒนาตนเอง อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

How to

5 กฎเหล็กการลงทุนให้รวย สไตล์ Warren Buffett

Warren Buffett เจ้าพ่อนักลงทุน เจ้าของฉายา The Oracle of Omaha “พ่อมดแห่งโอมาฮ่า” เจ้าของบริษัท Berkshire Hathaway ที่เป็นบริษัท Holding Company ที่ถือหุ้นบริษัทยักษ์ใหญ่ทั่วโลก โดยในปี 2021 เขามีทรัพย์สินอยู่ที่ $109,800 ล้านดอลล่าร์ฯ เป็นมหาเศรษฐีอันดับที่ 6 ของโลก โดยในคอนเท้นต์นี้ เขาจะมาแชร์เคล็ดลับในการลงทุนให้ประสบความสำเร็จ

กฎข้อที่ 1 – Cash is not a good investment การลงทุนในเงินสดนั้นไม่ใช่การลงทุนที่ดีเอาซะเลย

ในขณะที่บางคนอาจพูดว่า Cash is KING หรือเงินคือราชา แต่เขากลับมองว่า การถือเงินสดไว้มากจนเกินไปคือการลงทุนที่แย่ เพราะการถือเงินสดเอาไว้เฉย ๆ นั้น มันไม่ได้ทำให้อะไรงอกเงยขึ้นมาเลย แถมนับวันมูลค่าของมันก็ยิ่งลดลง

ส่วนสไตล์ของปู่ Warren Buffett นั้น เขาจะถือเงินสดเอาไว้ให้พอเพียงกับที่จะต้องใช้เท่าที่จำเป็นเท่านั้น มันก็เหมือนกับการเผื่อออกซิเจนเอาไว้ให้พอช่วยหายใจได้แต่ไม่ต้องเผื่อมากเกินไป

และเมื่อไหร่ก็ตามที่เขาถือเงินสดมากเกินไป เขามักจะไม่แฮปปี้กับการถือเงินเยอะ ๆ ดังนั้นเมื่อไหร่ก็ตามที่เขาถือเงินสดเยอะเกินไป เขาจะมองหาการลงทุนในธุรกิจที่ดีแทนซะมากกว่า ยกตัวอย่างเช่น มีอยู่ปีหนึ่งที่บริษัท Berkshire Hathaway ของเขาถือเงินไว้กว่า $40,000 ล้านดอลล่าร์ฯ สิ่งที่เขาทำก็คือ เขาจะต้องเอาเงินสดนี้ไปลงทุนให้มากที่สุด เพื่อให้ถือเงินสดเป็นสัดส่วนที่น้อยลงมา เพราะมันมากเกินไป โดยเขาลงทุนจนเงินสดลดลงมากว่าครึ่งอยู่ที่ประมาณ $20,000 ล้านดอลล่าร์

เพราะคอนเซ็ปต์ที่เขาใช้นั้น คือ จะต้องใช้เงินทำงานอย่างหนัก อย่าให้เงินสดมันขี้เกียจ นอนนิ่ง ๆ อยู่เฉย ๆ และเขาเชื่อมั่นว่า การลงทุนในบริษัทที่ดีให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าการถือเงินสดอย่างแน่นอน เพราะแนวโน้มจากนี้ไปอีก 10 ปี 20 ปี 30 ปี ต่อจากนี้ค่าของเงิน ไม่ว่าจะเป็นสกุลใด ก็มีแต่จะแย่ลง ๆ

กฎข้อที่ 2 – Invest in productive assets ลงทุนในสินทรัพย์ที่มีประสิทธิผล

ปู่ได้อธิบายสไตล์ในการลงทุนของเขาว่า เพราะอะไรเขาถึงไม่ค่อยสนใจในการลงทุนในการซื้อทองคำ(แต่ปู่ลงทุนในบริษัทเหมืองทองคำนะ) เพราะคอนเซ็ปต์ในการซื้อทองคำนั้น หลัก ๆ ก็คือ การที่คุณครอบครองมัน แล้วหวังว่าในอนาคตจากนี้อีก 1 ปี หรือ 5 ปี จะมีคนมาซื้อต่อในราคาที่สูงกว่าที่คุณซื้อมา แล้วคำถามก็คือ แล้วในระหว่างที่คุณหวังให้ราคาทองคำมันขึ้นนั้น ระหว่างนั้นทองคำที่มีอยู่มันทำอะไรได้บ้าง คำตอบก็คือ มันทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากถือมันไว้เฉย ๆ แบบนั้น

ในขณะที่การลงทุนในธุรกิจที่มีพื้นฐานที่ดี จะดูจากผลผลิตที่พวกเขาสามารถทำได้ว่า จะมีผลผลิตออกมาเท่าไหร่ จะสามารถส่งมอบผลผลิตได้มากแค่ไหน ยกตัวอย่างเช่น หากคุณจะซื้อธุรกิจทำฟาร์มสักแห่งหนึ่ง คุณก็จะเริ่มคาดหวังว่า ฟาร์มนี้ มันจะผลิตผลข้าวโพดออกมาได้เท่าไหร่, จะสามารถผลิตเมล็ดถั่วเหลืองได้มากแค่ไหน ภายในหนึ่งปี แล้วจากนั้นคุณก็จะเริ่มคำนวณต้นทุนที่คุณจะต้องจ่ายว่ามันคุ้มค่ากับผลผลิตที่จะออกมาหรือไม่ หลังจากหักค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ค่าแรง ค่าเช่าที่ ค่าขนส่ง ต้นทุนการผลิต ภาษี และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ

ซึ่งจะทำให้การลงทุนนั้น ไม่ใช่เป็นการมโนหรือคิดไปเอง แต่คุณสามารถคำนวณผลกำไรโดยอ้างอิงจากข้อมูลที่มีอยู่ แล้วพอนำมาคำนวณแล้วจะได้กำไรเท่าไหร่ แล้วกำไรนั้นอยู่ในช่วงที่คุณคาดหวังและพึงพอใจหรือไม่

และนั่นคือลักษณะของสินทรัพย์ที่เขาอยากลงทุน เขาอยากลงในธุรกิจที่สามารถสร้างผลผลิตที่น่าพึ่งพอใจออกมาได้อยู่สม่ำเสมอ

กฎข้อที่ 3 – Stay in your circle of competence รู้ขอบเขตในสนามที่คุณเล่น

ปู่ Warren Buffett จะพูดอยู่เสมอว่า จงลงทุนในสิ่งที่คุณรู้จักมันเป็นอย่างดี อะไรที่เขาไม่รู้จัก ไม่คุ้นเคยเขาจะไม่ลงทุนในสิ่งนั้น โดยเขาเคยยอมรับว่า การผิดพลาดครั้งใหญ่ที่สุดในการลงทุนนั้น คือ เขาไม่ได้ลงทุนในบริษัทอย่าง Google หรือ Amazon ตั้งแต่ช่วงระดมทุนนั่นเป็นเพราะ เขาไม่คุยเค้นกับบริษัทที่เป็นเทคโนโลยีเลย แต่ตอนนี้ปู่ก็เริ่มเปิดใจในบริษัทเทคโนโลยีแล้ว อย่างเช่นตอนนี้ลงทุนส่วนใหญ่ในบริษัทอย่าง Apple และมีบางส่วนไปลง Amazon บ้างแล้ว

ในการเป็นนักลงทุนที่ดี คุณไม่จำเป็นที่จะต้องเก่งไปทุกสิ่งทุกอย่าง แต่อย่างหนึ่งที่คุณจำเป็นต้องรู้ก็คือ คุณต้องรู้ขอบเขตของสิ่งที่จะลงทุน และจะต้องรู้ด้วยว่ามีเรื่องอะไรบ้างที่คุณไม่รู้ด้วย แล้วจากนั้นให้คุณพยายามอยู่ในขอบเขตในสิ่งที่คุณรู้เท่านั้น

กฎข้อที่ 4 – Evaluate companies first จงประเมินค่าของบริษัทก่อนลงทุนเสมอ

เวลาลงทุนในหุ้น หลายคนชอบดูที่ราคา ณ ขณะนั้นว่าอยู่ที่เท่าไหร่ แล้วก็คาดหวังว่าราคามันน่าจะขึ้นไปที่นั่นที่นี่

แต่ในขณะที่ปู่ Warren Buffett จะไม่ได้ดูราคาของหุ้นเป็นสิ่งแรก เพราะสิ่งแรกที่เขาจะพิจารณาก่อนก็คือ พื้นฐานของบริษัทนั้นเป็นอย่างไร ผลกำไรของปีที่ผ่านมาเป็นเท่าไหร่ และเขาจะนั่งอ่าน whitepaper รวมถึงไปการค้นคว้าและวิจัยในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับตัวของบริษัทนั้น ๆ อย่างละเอียดยิบ แล้วประเมินว่า ในอนาคตบริษัทนี้มีศักยภาพที่จะเติบโตแค่ไหน ยกตัวอย่างเช่น จากตัวเลขในปัจจุบัน สามารถตีมูลค่าบริษัทได้ $35,000 ล้านดอลล่าร์ฯ และหากยังคงมีอัตราการเติบโตดังกล่าว บริษัทนี้จะมีโอกาสในการเติบโตอย่างน้อย ๆ ที่ $100,000 ล้านดอลล่าร์ ขึ้นไป เป็นต้น

และหลังจากพิจารณาแล้วว่าบริษัทนั้นน่าลงทุนเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาถึงจะกลับไปดูราคาหุ้นว่า ณ ขณะนี้ ราคามันต่ำกว่ามูลค่าของบริษัทที่ประเมินหรือไม่ ถ้ามันต่ำกว่าที่ควรจะเป็น เขาก็จะลงทุนในบริษัทนั้น

กฎข้อที่ 5 – Invest in yourself จงลงทุนในตัวเอง

พรสวรรค์และพรแสวงที่มีอยู่ในตัวคุณนั้นเป็นสิ่งที่มีค่า มันจะอยู่กับตัวคุณเสมอไม่มีใครเอาไปจากคุณได้ ไม่ว่าจะเป็น ผลจากค่าเงินเฟ้อ ค่าภาษี

ปู่ได้ยกตัวอย่างว่า เวลาที่เขาจะลงทุนในตัวคนสักคนหนึ่ง สมมติหากเขาตีมูลค่าของคน ๆ นั้นเป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่า $1 ล้านดอลล่าร์ฯ เขาจะลงทุนส่งคน ๆ นั้นเรียน MBA ด้วยเงินจำนวน $1 แสนดอลล่าร์ หรือลงทุนด้วยเงิน 10% จากมูลค่าที่ถูกตีค่าเอาไว้ โดยมีข้อแม้ว่า เมื่อคน ๆ นั้นจบการศึกษาและเข้าสู่วัยทำงานแล้ว เขาจะแบ่งรายได้จำนวน 10 เปอร์เซ็นต์มาให้เขาในทุก ๆ ครั้งที่มีรายได้เข้ามาในตลอดช่วงชีวิตที่เหลือ นั่นแหละคือ human asset หรือสินทรัย์ที่มีมูลค่าเทียบเท่า $1 ล้านดอลล่าร์ฯ

และหากคุณต้องการเพิ่มมูลค่าของตัวคุณอีกสัก 50 เปอร์เซ็นต์ คุณอาจจะไปลงเรียนและฝึกทักษะการสื่อสารในที่สาธารณะเพิ่มขึ้น ฝึกฝนทักษะการเขียน ฝึกฝนทักษะการทำวีดีโอ ทำสื่อ นั่นหมายถึงคุณได้เพิ่มคุณค่าในตัวคุณอีก $500,000 ดอลล่าร์ จากเดิมที่ตัวคุณมีคุณค่าอยู่แล้วที่ $1 ล้านดอล่าร์ฯ นี่แค่ปรับปรุงตัวคุณเองให้ดีขึ้น เก่งขึ้นเท่านั้นเองนะ โดยกุญแจสำคัญมันอยู่ที่การพัฒนา Habits หรืออุปนิสัยที่ดี จะช่วยให้คุณก้าวสู่ความสำเร็จได้ในที่สุด

Rsources