Blue O'Clock

สตูดิโอผลิตและพัฒนาสื่อการเรียนรู้ด้านการลงทุน ธุรกิจ จิตวิทยาและการพัฒนาตนเอง อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

How to

5 กฎเหล็กการเงินที่คุณต้องรู้ ที่สามารถตัดสินอนาคตของคุณได้เลยว่าจะรวยหรือจน

การเงินถือเป็นเกมอย่างหนึ่งในชีวิตจริงของคนเรา และแน่นอนว่าเมื่อมันเป็นเกม การเงินก็มีกฎของมันอยู่ และหากคุณต้องการเป็นผู้ชนะ ไม่ต้องการเป็นผู้แพ้ นี่คือกฎการเงินที่สามารถตัดสินชีวิตคุณได้เลยว่าคุณจะรวยหรือจน

กฎการเงินข้อที่ 1 – เงินจะเข้าหาคนที่พูดถึงเรื่องของเงิน (Talk About Money)

หลายคนเจอข้อแรกเข้าไป ก็ดันมีคำถามเกิดขึ้นมาในใจแทบจะทันทีเลยว่า “พูดถึงเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ อีกแระ เงินมันจะไปสำคัญกับชีวิตอะไรนักหนา เงินไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตสักกะหน่อย” แล้วพอผ่านไปสักพักคุณก็จะเริ่มนึกได้ว่า เงินไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตก็จริง แต่สิ่งสำคัญเกือบทุกอย่างในชีวิตล้วนแล้วแต่ต้องใช้เงินแทบทั้งสิ้น (หากคุณยังใช้ชีวิตในสังคมมนุษย์อยู่อ่ะนะ)

ถ้าเช่นนั้น ลองเปลี่ยนจากเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ไปเป็นเรื่องเบสิคอย่างกีฬาฟุตบอลก็แล้วกัน หากคุณพบว่า เพื่อนคุณ ญาติคุณ คนรู้จักคุณ พูดถึงเรื่องของฟุตบอล ทีมฟุตบอล แมนยูฯ ลิเวอร์พูล บาเซโลน่า เรอัลมาดริด เมสซี่ โรนัลโด้ ซึ่งถ้าหากตัวคุณเองไม่รู้เรื่องอะไรเลยเกี่ยวกับเรื่องของฟุตบอล สิ่งที่คุณจะทำก็คือ ถ้าเป็นไปได้คุณก็จะไม่พูดถึงเรื่องฟุตบอล ไม่ได้ดูการแข่งขันฟุตบอล ไม่ไปเชียร์ทีมฟุตบอลเวลาลงแข่งขัน ไมซื้อเสื้อฟุตบอล เพราะคุณชอบบาสเกตบอลมากกว่า ดังนั้นคุณก็เลือกที่จะไปเข้าสังคมกับคนที่พูดเกี่ยวกับเรื่องบาสเกตบอลมากกว่านั่นเอง

และเช่นเดียวกัน ผู้คนที่พูดถึงเรื่องของเงิน ๆ ทอง ๆ ก็มักจะดึงดูดเข้าหากัน แลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ซึ่งกันและกัน ดังนั้น กฎข้อแรกของเกมการเงินก็คือ เงินจะเข้าหาผู้ที่กล้าพูดเกี่ยวกับเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ

กฎการเงินข้อที่ 2 – เงินจะเข้าหาคนที่รักเงิน (Love Money)

ก่อนอื่นให้คุณแยกเรื่องออกระหว่าง คนรวย คนจน กับ คนดี คนเลว ออกจากกันเสียก่อน เพราะมันเป็นคนละเรื่องกัน การที่คนมีเงินมากหรือน้อยนั้นไม่เกี่ยวกับจะดีหรือจะเลวเลยแม้แต่น้อย เพราะเงินเป็นเพียงเครื่องมือชนิดหนึ่งที่ทำให้ผู้ใช้แสดงตัวตนออกมาต่างหาก ดังนั้นการที่คุณจะรักเงินมันไม่ได้หมายถึงคุณไปโกงใครมา ไม่ได้หมายถึงคุณเป็นคนโลภ หรือพูดรวม ๆ ก็คือ การรักเงินมันไม่ได้หมายถึงคุณเป็นคนไม่ดี ยกเว้นเสียแต่ว่าคุณเป็นคนไม่ดีแต่เดิมอยู่แล้ว และหากคนไม่ดียิ่งมีเงินเยอะ ก็จะยิ่งทำความเสียหายให้แก่ผู้คนและสังคมได้ในวงกว้างมาก ๆ แต่หากคุณเชื่อมั่นว่าคุณเป็นคนดี เป็นคนรักครอบครัว เป็นคนใจบุญสุนทาน ชอบบริจาคเงินแก่ผู้ยากไร้ ชอบบริจาคเงินช่วยเหลือสังคม และเมื่อคุณมีเงินมากขึ้น คุณก็จะยิ่งส่งมอบสิ่งดี ๆ ให้แก่สังคมได้มากเป็นทวีคูณ

ซึ่งไม่ว่าในอดีตคุณจะได้ยิน ได้ฟังเรื่องราวของเงินมาชั่วร้ายยังไง จงลืมมันไปซะ และโปรแกรมสมองของคุณใหม่ว่า ยิ่งคุณมีเงิน รักเงิน เงินเข้าหาคุณมากยิ่งขึ้น คุณยิ่งช่วยเหลือครอบครัวให้อยู่สุขสบายมากยิ่งขึ้น ช่วยเหลือสังคมได้มากยิ่งขึ้น และช่วยเหลือให้โลกนี้ดียิ่งขึ้นได้นั่นเอง ดูได้จากกรณีของ บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ ที่ชอบช่วยเหลือผู้อื่น และเขาเห็นความสำคัญและความสามารถของเงินได้ว่า เงินสามารถช่วยบรรเทาผู้ตกทุกข์ได้ยาก ผู้เดือดร้อนที่ต้องการความช่วยเหลือ อย่างกรณีน้ำท่วมที่จังหวัดอุบลราชธานีน้ำท่วม เงินส่วนตัวของเขาจำนวน 1 ล้านบาท หากช่วยครอบครัวที่ประสบอุทกภัยครอบครัวละ 1,000 บาท ก็จะช่วยเหลือได้เพียง 1,000 ครอบครัวเท่านั้น แต่เมื่อเขาขอความช่วยเหลือจากมวลชน จากพี่น้องทั้งประเทศร่วมกันบริจาค เขาก็สามารถรวบรวมเงินได้มากกว่า 100 ล้านบาท ซึ่งสามารถช่วยเหลือในแต่ละครอบครัวได้มากกว่า 1,000 บาท และสามารถช่วยเหลือจำนวนครอบครัวได้มากยิ่งขึ้นอีกด้วย

กฎการเงินข้อที่ 3 – เงินจะเข้าหาคนที่รู้จักเรื่องการเงิน (Understand Money)

เรื่องของการเงิน ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญมากที่สุดเรื่องหนึ่งของคนเรา แต่กลับไม่มีการบรรจุการเรียนการสอนในสถาบันการศึกษาซะอย่างงั้น ทั้ง ๆ ที่ตัวเราเกี่ยวข้องกับเงินตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ด้วยซ้ำ เพราะแม่ของคุณต้องจัดหาอาหารบำรุงร่างกายที่เด็กในท้องต้องการเพื่อให้ลูกเติบโตออกมาเป็นเด็กที่แข็งแรง และแน่นอนเรื่องของเงินแม้กระทั่งในงานศพของคุณก็ยังต้องใช้เงินเช่นกัน

ข่าวดีก็คือ เรื่องของการเงินก็เปรียบเสมือนภาษาหนึ่งที่คนเราสามารถเรียนรู้กันได้ และยิ่งเรียนรู้เกี่ยวกับมันมากเท่าไหร่ คุณก็จะยิ่งเก่งและมองหาลู่ทางในการหาเงินได้มากยิ่งขึ้นเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น หากคุณพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย แต่คุณใช้เวลาเรียนรู้ศัพท์มากพอ และฝึกพูดมากพอจนชำนาญระดับหนึ่ง คุณสามารถนำความรู้ภาษาอังกฤษไปทำมาหากินได้เป็นหมื่นเป็นแสนหรือแม้กระทั่งเป็นล้าน ซึ่งตัวคุณเองแต่ก่อนที่ไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับภาษาอังกฤษเลย ก็จะไม่มีโอกาสในจุดนี้

เช่นเดียวกัน หากคุณเรียนรู้ภาษาของเงินเช่น accounting, retained earnings, return on investments, depreciation, cost of good sold, profitable ซึ่งแน่นอนว่าหากคุณไม่รู้เรื่องของเงินมาก่อน ศัพท์แสงพวกนี้ดูเหมือนเป็นภาษาต่างดาวกันเลยทีเดียว แต่เมื่อคุณเข้าใจศัพท์แสงเกี่ยวกับการเงิน คุณก็จะเริ่มเข้าภาษาของเงิน และคุณก็พัฒนาตนเองให้เก่งเรื่องของการเงินมากยิ่งขึ้น เมื่อนั้นเงินก็จะเริ่มไหลเข้าหาคุณมากขึ้นเรื่อย ๆ นั่นเอง

กฎการเงินข้อที่ 4 – เงินจะเข้าคนที่รู้จักหมุนเวียนเงินในระบบ (Circulate Money)

คุณคงเคยได้ยินรัฐบาลพูดอยู่บ่อยครั้งเมื่อตอนที่เศรษฐกิจของประเทศหดหัวก็คือ พวกเขาจะประชาสัมพันธ์ให้คุณออกไปจับจ่ายใช้สอย จับจ่ายใช้สอยสามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้เยอะ ไปเที่ยวก็เอาไปลดหย่อนภาษีได้ นั่นเหตุผลก็เพราะต้องการให้เงินหมุนเวียนอยู่ในระบบเศรษฐกิจ เพราะไม่เช่นนั้น หากคนไม่ออกมาจับจ่ายใช้สอยอาจทำให้เศรษฐกิจของประเทศล่มได้ ยกตัวอย่างอีกมุมหนึ่งในกรณีของนักธุรกิจ เหตุผลที่คนรวยทำไมยิ่งรวยยิ่งขึ้นกว่าเดิมนั้น ก็เป็นเพราะ เมื่อพวกเขาหาเงินมาได้นั้น พวกเขาไม่ได้เก็บไว้ในบัญชีเพียงอย่างเดียว แต่พวกเขานำเงินไปลงทุนเพิ่ม ขยายกิจการเพิ่ม ทำให้ธุรกิจยิ่งโต เจ้าของธุรกิจก็ยิ่งรวย เพราะพวกเขาไม่เก็บเงินทั้งหมดไว้ที่ตัวเอง แต่กลับนำไปหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจเพื่อผลักดันให้ธุรกิจเติบโตมากยิ่งขึ้นนั่นเอง

กฎการเงินข้อที่ 5 – เงินจะเข้าหาคนที่รู้วิธีทำให้เงินงอกเงย (Multiply Money)

สาเหตุที่ทำให้ Bill Gates, Warren Buffett หรือ Jeff Bezos กลายเป็นกลุ่มคนที่ร่ำรวยที่สุดในโลกนั้น เป็นเพราะพวกเขารู้วิธีการทำเงินให้งอกเงยแบบทวีคูณ จะเห็นได้ว่าเหล่าบรรดาประชาชนต่างพากันนำเงินของตน ไปให้พวกเขาเหล่านี้ เพราะเชื่อมั่นว่าพวกเขามีความสามารถในการทำให้เงินลงทุนนั้นมีผลกำไรแทนที่จะขาดทุน ซึ่งนักธุรกิจเหล่านี้ ล้วนแล้วแต่เป็นพวกที่รู้เรื่องการเงินเป็นอย่างดี พวกเขาเปรียบเสมือนผู้จัดการการเงินที่เก่งกาจ เป็นนักลงทุนที่เก่งกาจ ผู้คนจึงไว้ใจให้พวกเขาบริหารเงินนั่นเอง

Resource