Blue O'Clock

สตูดิโอผลิตและพัฒนาสื่อการเรียนรู้ด้านการลงทุน ธุรกิจ จิตวิทยาและการพัฒนาตนเอง อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

How to

สาเหตุที่ตลาด Bitcoin และ Crypto พัง by Robert Kiyosaki

Robert Kiyosaki เจ้าของผลงานซีรี่ย์ Rich Dad Poor Dad พ่อรวยสอนลูก เป็นอีกคนหนึ่งที่ให้ความสนใจในตลาดของ Bitcoin และ Cryptocurrency ออกมาบอกสาเหตุว่า เพราะเหตุใด ตลาดเงินดิจิตอลจึง crash หรือพังทลายลงมาจากจุดสูงสุดมากกว่าครึ่ง ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา เรียกได้ว่า ใครลงเงินล้านที่ยอดดอยล่าสุด ตอนนี้อาจจะเหลือมูลค่าแค่เพียง 5 แสนบาทเท่านั้น ในชั่วข้ามคืน

ซึ่งก่อนอื่นเลย ต้องบอกก่อนว่า Robert Kiyosaki นั้น เป็นอีกคนหนึ่งที่หันมาสนใจในการลงทุนในโลก crypto อย่างจริงจัง หลังจากที่เขาลงทุนในสินทรัพย์อย่างอสังหาริมทรัพย์ ทองคำ แร่เงิน และล่าสุดก็เป็น Bitcoin และ cryptocurrency และเขาก็บอกเอาไว้ว่าเขาจะซื้อมันเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยเช่นกัน แต่มีสิ่งหนึ่งที่คุณต้องรู้เอาไว้ด้วยว่า สิ่งที่เลวร้ายที่สุดที่จะต้องเกิดขึ้นกับ Bitcoin นั้นคืออะไรด้วย

โดยก่อนที่ตลาด crypto จะพังครืนลงมาก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน คนที่เข้าไปซื้อเอาไว้แล้ว ก็คงจะได้ยินแต่ข่าวร้าย ๆ เกี่ยวกับ Bitcoin รัว ๆ ยกตัวอย่างเช่น Elon Musk ทวีตว่า Tesla จะไม่รับ Bitcoin แล้ว, Bitcoin สิ้นเปลืองพลังงาน, จีนจะแบน Bitcoin และเหมืองขุดอย่างจริงจัง ซึ่งอันที่จริงถ้าพูดถึงประเทศจีนออกมาบอกว่าจะแบน Bitcoin นั้น มีข่าวทุกปี โดยมีสถิติจากเว็บไซต์ 99bitcoins.com ได้บันทึกสถิติของข่าวเกี่ยวกับจุดจบของ Bitcoin เอาไว้ตั้งแต่ปี 2010 จนถึงปัจจุบันว่า ได้มีข่าวการล่มสลายหรือ Bitcoin จะล้มหายตายจากไปแล้วมากกว่า 416 ครั้ง! โดยเฉพาะครึ่งปีแรกของปี 2021 นี้ก็มีข่าวประมาณนี้ประมาณ 23 ครั้งเข้าไปแล้ว

ซึ่ง Robert Kiyosaki ให้ความเห็นว่า มันเป็น fake news หรือข่าวลวงทั้งนั้น เพื่อให้ราคาของ Bitcoin มันร่วงลงต่ำที่สุด แต่ผ่านไปสิบกว่าปี มันก็จะมีข่าวที่ทำให้คนกลัวและแห่กันขายทิ้ง แล้วราคาก็ร่วงอย่างรุนแรงพักนึง แต่พอมาดูภาพใหญ่ ราคามันก็มีแต่จะขึ้นเอา ๆ

โดยเขาบอกว่า เขาเองก็เกือบจะซื้อ Bitcoin ในช่วงปี 2017 ที่ราคาเกือบ ๆ $20,000/BTC หรือช่วงที่ราคาบิตคอยน์พุ่งสูงที่สุดในปีนั้นที่ตีเป็นเงินไทยก็ประมาณเหรียญละ 6 แสนกว่าบาท แล้วจากนั้นไม่นานราคาก็ร่วงลงอย่างรวดเร็ว และร่วงลงไปกว่า 80% เลยทีเดียว เรียกได้ว่า ถ้าใครซื้อราคาที่ยอดดอยในปี 2017 เอาไว้ที่ 1 ล้านบาท ภายในไม่กี่วันจะเหลือเงินแค่เพียงแสนบาทนิด ๆ เท่านั้น (ฉันมีเงิน แล้วอยู่ดี ๆ ก็ไม่มี ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก)

โดย Robert Kiyosaki เริ่มต้นด้วยพื้นฐานเบสิคที่เราต้องรู้ก่อนว่า ในตลาดการเงิน จะมีผู้คนกลุ่มใหญ่ ๆ เข้ามาเล่นในตลาดนี้ด้วยกัน โดยเขาแบ่งกลุ่มคนในตลาดเงินนี้ออกเป็น 3 ประเภท

  • กลุ่มคนที่ 1 – Investor นักลงทุน
  • กลุ่มคนที่ 2 – Trader หรือผู้ซื้อขาย
  • กลุ่มคนที่ 3 – Speculator หรือนักเก็งกำไร

โดยส่วนตัวของ Robert Kiyosaki นั้นเขาเข้ามาในตลาด Bitcoin ในบทบาทของ Investor ไม่ใช่ในฐานะ Trader เพราะ Trader คือคนที่ซื้อ ๆ ขาย ๆ เข้าใจง่าย ๆ ก็คือซื้อถูกขายแพง ถ้าเปรียบกับในตลาดอสังหาฯ ก็จะเปรียบได้กับว่า คนที่หาซื้อบ้านถูก ๆ ทำเลดี ๆ แล้วเอาบ้านมาปรับปรุง ซ่อมแซม แล้วอัพราคาขายในราคาที่แพงขึ้น ในขณะที่คนส่วนใหญ่ที่เข้ามาในตลาด crypto นั้นจะเข้ามาในฐานะของ Speculator หรือนักเก็งกำไรซะมากกว่า โดย Robert Kiyosaki เรียกผู้ที่เข้ามาในตลาดในฐานะนี้เปรียบได้กับ Gambler หรือนักพนัน ที่เมื่อซื้อเหรียญคริปโตฯ มาโดยหวังว่าราคามันจะขึ้นไปอีก

ซึ่งเขาก็บอกว่า ไม่ว่าใครจะเข้ามาในตลาด crypto ในฐานะไหนก็ตาม มันก็ไม่มีผิดไม่มีถูก เพราะถ้าหากยังคงได้กำไรอยู่ ไม่ว่าจะในฐานะไหนมันก็ดีกว่าเสียเงินแน่ ๆ อยู่แล้ว

แต่โรเบิร์ตก็บอกเอาไว้ว่า กลุ่มที่ขาดทุนมากที่สุดมักจะเป็นกลุ่มที่ 3 คือกลุ่มของ speculator หรือกลุ่มของนักเก็งกำไร ที่ร้อยละ 90 มักขาดทุน

และสาเหตุที่ราคาของ Bitcoin หรือแร่เงินหรือทองคำ นั้นมันขึ้น ๆ ลง ๆ ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมานั้น Robert Kiyosaki ได้เล่าย้อนกลับไปในช่วงปี 1944 ที่เป็นช่วงหลังจากจบสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่สหรัฐฯ เป็นผ่ายชนะญี่ปุ่น เยอรมันและอิตาลี นั้น ก็ได้มีเหตุการณ์สำคัญครั้งหนึ่งที่เกิดขึ้นที่ชื่อว่า Bretton Woods ซึ่งเป็นการทำข้อตกลงกันเกี่ยวกับเรื่องการค้าระหว่างประเทศ ที่แต่ละประเทศมีปัญหาเรื่องค่าเงินและการแลกเปลี่ยนสินค้าซึ่งกันและกัน แต่จนแล้วจนรอดก็ได้ข้อสรุปว่า ต่อแต่นี้ ให้ทุกคนยึดเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ เป็นหลัก (ก็แหงแหละ ชนะสงครามนิ) โดยรัฐบาลของสหรัฐอเมริกาสัญญากับทุกฝ่ายว่า จะเอาค่าเงินดอลล่าร์ผูกติดกับทองคำสำรองภายในประเทศ อารมณ์ประมาณว่า ถ้าท่านถือเงินดอลล่าร์เท่ากับท่านถือตั๋วทองคำที่มีมูลค่าอะไรประมาณนั้น

แต่…ในปี 1971 รัฐบาลสหรัฐฯ ที่มีประธานาธิบดีในตอนนั้นนามว่า Richard Nixon จู่ ๆ ก็ออกมาประกาศว่า “ตั้งแต่นี้ต่อไปเงินดอลล่าร์ไม่ต้องผูกติดกับจำนวนทองคำสำรองภายในประเทศอีกต่อไป ขอให้ท่านเชื่อใจเรา” ซึ่งเป็นการฉีกสัญญากับประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกที่เคยคุยกันเอาไว้ในอดีต และนับตั้งแต่นั้นมาเงินดอลล่าร์จึงเปรียบเสมือนเป็นคูปอง ซึ่งคำพูดที่หนักกว่านั้นในมุมมองของคนที่ไม่ชอบเงินดอลล่าร์เลยก็คือ มันคือเงินกงเต็กดี ๆ นี่เอง เพียงแต่รัฐบาลสหรัฐฯ ยังคงรับรองว่ามันสามารถเอาไปแลกสิ่งของได้ ซื้ออาหารกินได้ก็เท่านั้นเอง

และนี่คือเหตุผลและที่มาของการแว่งขึ้น ๆ ลง ๆ ของราคาต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับค่าเงิน ไม่ว่าจะเป็น Bitcoin, ทองคำ แร่เงิน เพราะกฎการเงินมันเปลี่ยนไปนับตั้งแต่ปี 1971 ซึ่งรู้หรือไม่ว่าก่อนปี 1975 ชาวอเมริกันคนใดก็ตามที่ถือครองทองคำอยู่ ถือว่าทำผิดกฎหมาย!

ซึ่งเรื่องนี้มันก็ทำให้เขาฉงนงุนงงมากว่า ทำไมรัฐบาลทำกับประชาชนแบบนี้

จนกระทั่งในปี 2008 เกิดวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์หรือวิกฤตซับไพร์มขึ้นมา ทำให้ในปี 2009 ก็มีการก่อกำเนิด Bitcoin ขึ้นมา และในเอกสาร whitepaper หรือจุดประสงค์ของผู้สร้างนามแฝงว่า Satoshi Nakamoto นั้น ระบุเอาไว้ชัดเจนว่า พวกเขาไม่พอใจและไม่ใจกับการวางอนาคตทางการเงินไว้กับรัฐบาลอีกต่อไป

และด้วยความที่ Bitcoin มันถูกสร้างขึ้นมา และอยู่นอกเหนือการควบคุมของรัฐบาลด้วยแล้ว ก็ไม่แปลกที่คนอย่าง Robert Kiyosaki และอีกหลาย ๆ คนที่ไม่โอเคกับการฝากความหวังทางการเงินและฝากความมั่งคั่งเอาไว้กับรัฐบาล พวกเขาจึงเข้ามาลงทุนในวงการ crypto ในฐานะของ Investor นั่นเอง

เพราะตั้งแต่กฎการเงินได้เปลี่ยนไปในปี 1971 ที่เงินดอลล่าร์ไม่ต้องผูกกับทองคำสำรองในประเทศอีกต่อไป เขาก็ไม่มีเหตุผลที่จะเก็บเงินในรูปแบบของเงิน fiat หรือเงินกระดาษ เพราะยิ่งเก็บไว้นานเท่าไหร่ ค่าของมันก็ยิ่งลดลงทุกวัน เพราะรัฐบาลสามารถปริ้นเงินกระดาษออกมาเท่าไหร่ก็ได้ ไม่มีจำกัด และเมื่ออะไรก็ตามที่มันมีมากจนเกินไป คุณค่าของมันก็จะยิ่งลดลง หรือพูดง่าย ๆ ให้เห็นภาพก็คือ สมมติว่าให้อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยอยู่ที่ปีละประมาณ 3% หากเราเก็บเงินใส่กระปุกที่บ้านเอาไว้เฉย ๆ จำนวน 1 ล้านบาทในวันนี้ ผ่านไปอีกประมาณ 25 ปี ข้างหน้า เงินก้อนนี้จะเหลือมูลค่าไม่ถึง 5 แสนบาท ทั้ง ๆ ที่มันก็มีเงิน 1 ล้านบาทเท่าเดิมนั่นแหละ แต่มีอำนาจในการจับจ่ายใช้สอยได้ไม่เกิน 5 แสนบาท

ดังนั้น Robert Kiyosaki เขาจึงเลือกที่จะเก็บความมั่งคั่งเอาไว้ในรูปแบบของ อสังหาริมทรัพย์, ทองคำ, แร่เงิน และบิตคอยน์ ซะมากกว่า เพราะวันเวลาผ่านไปหลายสิบปีมันมีแต่จะเพิ่มมูลค่ามากขึ้นกว่าวันแรกที่เริ่มต้นลงทุนเอาไว้

และในช่วงปี 2017 ก็มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เขาถูกชักชวนจากเพื่อน ๆ ว่า ซื้อบิตคอยน์เพิ่มสิ เดี๋ยวมันก็ขึ้น ๆ เขาก็สวนกลับไปว่า ใครเขาซื้อกันตอนนี้ มันราคาสูงจนเกินไป ฉันจะซื้อเพิ่มก็ต่อเมื่อตลาดมัน Crash หรือรอราคามันร่วงหนัก ๆ ลงมาซะก่อน และที่สำคัญคือ มันลงมาแน่

เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นกับตลาดก็คือ คนที่เข้ามาในวงการ crypto ส่วนใหญ่ มักจะเข้ามาในฐานะของ speculator หรือนักเก็งกำไร ซึ่งแน่นอนว่า มีทั้งคนที่ได้กำไรและขาดทุน แต่คนขาดทุนเยอะกว่า เพราะเมื่อเข้ามาในฐานะนักเก็งกำไร นักพนันแล้วล่ะก็ เวลาที่ราคามันดีดขึ้นอย่างรุนแรงผู้คนก็จะเกิดการ FOMO ที่ย่อมาจาก Fear Of Missing Out คือกลัวการพลาดโอกาสอะไรบางอย่าง หรือศัพท์ในวงการเรียกว่ากลัวตกรถ ก็แห่กันเข้าไปซื้อในตอนที่ราคาของ Bitcoin นั้นสูงขึ้นมากแล้ว และก็เป็นเรื่องธรรมดาของตลาด เพราะเมื่อ Trader และคนที่เคยซื้อในราคาที่ต่ำ เวลาราคามันดีดสูงขึ้น ก็ต้องมีการขายเพื่อทำกำไรเป็นธรรมดา และเมื่อเกิดการขายมากขึ้น ๆ หรือ supply มากกว่า demand ราคามันก็ร่วงลงเป็นธรรมดาอีกนั่นแหละ

พอราคามันเริ่มร่วง มือใหม่หรือคนที่เข้ามาเก็งกำไรที่ตนนั้นที่ไว้ในราคาที่สูงมากแล้ว ก็เกิดการกลัว ก็มักจะทำการ panic sell หรือรีบขายทิ้งออกไป เพราะทำใจไม่ได้กับมูลค่าที่ลดลงฮวบฮาบในชั่วข้ามคืน แถมในช่วงนี้ก็จะมีแต่ข่าวร้าย ๆ เกี่ยวกับ Bitcoin และตลาด crypto เต็มไปหมด เรียกได้ว่า จากคนที่เคยชิล ๆ พอได้ยินข่าวร้ายก็สั่นคลอนได้เหมือนกัน ก็ร่วมวงขายทิ้งด้วยอีก ทำให้ราคายิ่งลง คนก็ยิ่งแห่ขาย จนมาถึงจุด ๆ หนึ่งจู่ ๆ ก็มีแรงซื้อเข้ามาอย่างมหาศาลในราคาที่ต่ำกว่าจากจุดสูงสุดแล้วกว่า -50% นั่นก็คือคนอย่าง Robert Kiyosaki ที่เข้ามาเก็บของถูก หรือศัพท์ในวงการก็คือพวกวาฬที่มีเงินถุงเงินถังมหาศาลนั่นเอง

ซึ่ง Robert Kiyosaki ได้ให้เหตุผลเพิ่มเติมว่า เพราะเหตุใดเขาถึงเลือกลงทุนใน Bitcoin เหตุผลก็เหมือนกันกับที่เขาลงทุนในทองคำและแร่เงิน นั่นก็คือ มันเป็นอะไรที่สร้างเพิ่มไม่ได้ ปริ้นท์เพิ่มไม่ได้ และ Bitcoin ก็มีการขึ้น ๆ ลง ๆ แพทเทิร์นที่ใกล้เคียงกับทองคำ เพียงแต่ราคามันแกว่งแรงกว่ามากกว่าก็เท่านั้นเอง(ขึ้นทีลงทีวูบวาบหยั่งกับขึ้นรถไฟเหาะรายวันกันเลยทีเดียว)

เพราะฉะนั้นจึงต้อง HODLLLLLLLLLLLLLLLLLLLLLLLLLL เป็นศัพท์ในวงการที่หมายถึง “Hold On for Dear Life.” แปลเป็นไทยก็น่าจะได้ประมาณว่า “ไม่ขายโว้ยยยยย” เป็นเส้นบาง ๆ ที่คั่นระหว่างคำว่า “ติดดอย” กับ “ไม่ขายไม่ขาดทุน”

ปล. อย่าถามว่าแอดกำไรเท่าไหร่ ถามว่าติดอยู่ที่ดอยไหนบ้างน่าจะตอบง่ายกว่า “ดอย พูดเบา ๆ ก็เจ็บ”


กระดานซื้อขายแลกเปลี่ยน Bitcoin & Cryptocurrency

อันดับ 1 ของไทย คนส่วนใหญ่นึงถึง Bitkub

อันดับ 1 ของโลก คนส่วนใหญ่นึกถึง Binance


*หมายเหตุ: นี่ไม่ใช่ content แนะนำในการลงทุนใด ๆ เป็นเพียงข้อมูลฐานทั่วไปเท่านั้น โดยนักลงทุนควรศึกษาเพิ่มเติมด้วยตนเองก่อนที่จะตัดสินใจลงทุนใด ๆ ด้วยตัวของท่านเอง

Resources