Site icon Blue O'Clock

Bitcoin vs Gold ลงทุนแบบไหนดีกว่ากัน | การดีเบตระหว่างเจ้าพ่อบิตคอยน์ Michael Saylor กับเจ้าพ่อทองคำ Frank Giustra EP.1

บิตคอยน์ vs ทองคำ - Bitcoin vs Gold

หากพูดถึง Safe Haven Asset หรือสุดยอดทรัพย์สินที่มีคุณสมบัติในการรักษามูลค่าได้หรือ Asset ที่เป็น Store of Value ที่คนทั่วโลกต่างให้การยอมรับมาอย่างยาวนานนับพันปีก็คงหนีไม่พ้น ‘ทองคำ’ อย่างแน่นอน แต่แล้วในยุคดิจิตอลก็กลับมีผู้ท้าชิงใหม่ขึ้นมานามว่า Bitcoin ที่หลายต่อหลายคนยกย่องให้มันว่าเป็น Gold 2.0 หรือทองคำในยุคดิจิตอล ที่เริ่มกลายมาเป็นหนึ่งในทางเลือกของนักลงทุนที่ต้องการสิ่งที่สามารถรักษามูลค่าของเงินหรือรักษามูลค่าความมั่งคั่งเอาไว้ได้ เพราะอย่างที่รู้ ๆ กันดีก็คือ ใครก็ตามที่มีเงินสดอยู่ในมือเยอะ โดยเฉพาะเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ ที่ทางรัฐบาลสหรัฐฯ นั้นสามารถปริ้นท์ได้อย่างไม่มีจำกัด และอะไรก็ตามที่มันมีเยอะเกินไป มันก็จะทำให้สิ่งนั้นเริ่มด้อยค่าไปตามหลักของเศรษฐศาสตร์

ซึ่งทาง Stansberry Research ก็ได้มีการจัดการดีเบตขึ้นมาระหว่างนักลงทุนด้าน Bitcoin กับนักลงทุนด้านทองคำ มาโต้วาทีกันว่า การลงทุนใดดีกว่ากัน ซึ่งในฝ่ายของผู้ที่จะอภิปรายในฝั่งของ Bitcoin ณ นาทีนี้ก็คงจะเป็นใครไม่ได้นอกจาก Michael Saylor เจ้าของบริษัท MicroStrategy บริษัทมหาชนที่มี Bitcoin มากที่สุดในโลก ณ เวลานี้ มีมี Bitcoin ในครอบครองมากกว่า 100,000 BTC ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และหน้าที่ของเขาในวันนี้ก็คือ จะต้องพยายามโน้มน้าวให้อีกฝ่ายยอมขายทองคำเพื่อมาลงทุนใน Bitcoin ให้ได้

โดยตัวแทนในฝั่งของ Gold นั้นก็เป็น Frank Giustra นักธุรกิจชาวแคนาดาที่เรียกได้ว่าเป็นเจ้าพ่อการเงินในอุตสาหกรรมการขุดเหมืองแร่มาอย่างยาวนาน และนอกจากนั้นยังเป็นผู้ก่อตั้ง Lionsgate ค่ายหนังยักษ์ใหญ่ที่เป็นเจ้าของภาพยนตร์ชื่อดังอย่าง The Hunger Game หรืออย่าง John Wick อีกด้วย

โดยกฎของการอภิปรายนี้ก็คือ จะมีการพูดถึงด้วยกันถึง 6 หัวข้อ และแต่ละหัวข้อ แต่ละฝ่ายจะมีเวลาให้อภิปรายเป็นเวลาประมาณ 5 นาที และอีกฝ่ายมีโอกาสโต้แย้งกลับได้เพียง 1 นาที จากนั้นก็ผลัดกันอภิปรายจนกว่าจะจบทุกหัวข้อ

โดยเป็นฝั่งของ Michael Saylor เปิดบทนำการอภิปรายก่อน(ซึ่งยังไม่ใช่หัวข้อแรก) โดยเขาเริ่มต้นว่า ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายผู้ที่ถือทองคำ หรือผู้ที่ถือบิตคอยน์ก็ตามที ต่างก็มีความเห็นในเรื่องของหลักการ sound money ที่หมายถึง เงินที่แท้จริงที่สามารถรักษามูลค่าได้ในระยะยาวด้วยตัวของมันเอง ที่ใกล้เคียงกับเงินในอุดมคติมากที่สุด

(ซึ่งเราฟังแล้วอาจจะงงว่า คำว่าเงินมันไม่ได้หมายถึง แบงค์หรือเหรียญที่เราใช้จ่ายอยู่กันทุกวันนี้หรือ? ซึ่งเงินประเภทนี้ ในศัพท์ทางการเงินจะเรียกเงินเหล่านั้นว่า Fiat Currency ที่ทางรัฐบาลของแต่ละประเทศได้ออกกฎหมายและสร้างมันขึ้นมา ดังนั้น ให้เราลบภาพคำว่า ‘เงิน’ ไม่เท่ากับ ‘แบงค์หรือเหรียญ’ ออกไปก่อนนะครับ)

โดย Michael Saylor ในพูดถึงเบสิคขั้นพื้นฐานของอารยธรรมของมนุษย์ในอดีตกาลก่อนว่า อายรธรรมของมนุษย์นั้นถูกขับเคลื่อนด้วย Energy หรือพลังงาน

ยกตัวอย่างเช่น

(ซึ่งก็ไม่แปลกที่การยกตัวอย่างของ Michael Saylor จะออกไปแนวทางวิทยาศาสตร์ที่มักมีเหตุและผลรองรับอยู่เสมอนั่นก็เป็นเพราะ หมอนี่หัวสมองระดับหัวกะทิแถมยังเรียนด้านนักบินอวกาศมา แต่จับพัดจับพลูมาเปิดเป็นเจ้าของกิจการบริษัท Software เป็นกลายเป็นเศรษฐีพันล้านได้ด้วยตนเอง)

และถ้าจะให้ดีกว่านั้นเรามนุษย์เราควรมีการกักเก็บและรักษาพลังงานเอาไว้ได้อีกเรื่องหนึ่งก็คือ ‘Money’ ซึ่ง Michael Saylor บอกว่า Money คือ Energy มันคือ Store of value ที่เอาไว้กักเก็บมูลค่า มันคือเทคโนโลยีที่ทำให้มนุษย์เรานั้นแลกเปลี่ยนพลังงานซึ่งกันและกันได้

แต่หากดูจากประวัติศาสตร์การเงินในอดีตของมนุษยชาติที่ผ่านมานั้นกลับพบว่า เงินได้ถูกลดทอนมูลค่าและสูญหายคุณค่าไปตามกาลเวลา ซึ่งมันไม่ตรงกับความหมายของ ‘เงิน’ ข้างต้นที่คำจำกัดความของมันก็คือ เงินมันจะต้องสามารถกักเก็บมูลค่า หรือมีคุณสมบัติ Store of value ได้

โดยมันถูกวิวัฒนาการมาจากการกักเก็บผ่าน commodity money ที่เป็นสิ่งของแทนเงิน เช่นพวก ขนสัตว์ ใบชา ยาสูบ ต่อมาก็วิวัฒนาการเป็นเหรียญกษาปณ์(coinage) หรืออย่างในปัจจุบันก็คือเงินกระดาษหรือ Fiat currency สู่ในยุคปัจจุบันที่มันถูกวิวัฒนาการอยู่ในรูปแบบของ cryptography หรืออยู่ในรูปของวิทยาการการเข้ารหัสลับ และนี่คือการกักเก็บพลังงานของ ‘Money’

ซึ่งก่อนที่ Bitcoin จะถือกำเนิดขึ้นมานั้น ผู้คนส่วนใหญ่ก็เลือกที่จะกักเก็บมูลค่าของเงินเอาไว้ในรูปแบบของทองคำ ที่พวกเขาเชื่อว่ามันใกล้เคียงกับคำว่า ‘Money’ ในอุดมคติจริง ๆ

แต่ Michael Saylor ได้ให้เหตุผลว่า ถ้าวันนี้จู่ ๆ มีพระเจ้าลงมาบนโลกเพื่อเสก ‘เงิน’ ขึ้นมา ท่านคงจะต้องออกแบบให้มันเป็นไปตามหลักการสมัยใหม่ของนักคณิตศาสตร์ชื่อดังอย่าง Luca Pacioli ที่ถูกยกย่องให้เป็นบิดาแห่งการบัญชีที่ใช้หลักการของเขาตั้งแต่ปี 1494 จนถึงปัจจุบัน โดยหลักการที่ว่าก็คือ Double entry accounting หรือระบบบัญชีคู่

โดยมีสองคำที่เราคุ้นหูกันเป็นอย่างดีก็มีที่มาจากเขาคนนี้นั่นก็คือคำว่า ‘Dedito’ ที่หมายถึง ‘เป็นหนึ่ง’ และ ‘Credito’ ที่หมายถึง ‘เชื่อถือ’ ที่เป็นรากศัพท์ของคำว่า ‘Debit’ และ ‘Credit’ นั่นเอง

โดยที่เวลาบันทึกสินทรัพย์ ค่าใช้Creditoจ่าย หนี้สิน ต้นทุน รายได้ นั้น ตัวเลขทางฝั่งของ Debit และ Credit นั้นเมื่อนำมาเทียบกันแล้วจะต้องหักล้างกันเป็น ‘ศูนย์’ หรือเรียกง่าย ๆ ว่าตัวเลขทั้งสองฝั่งจะต้องเท่ากันเป๊ะ จึงจะหักล้างกันเป็นศูนย์ได้พอดิบพอดี สรุปง่าย ๆ ก็คือ มีการบันทึกการทำธุรกรรมทั้งสองฝั่งที่ตรงกันแบบเป๊ะ ๆ นั่นเอง

และบางทีพระเจ้าก็อาจจะกำหนดให้มีจำนวนเงินจำกัดอยู่ที่ 21 ล้านเหรียญ และสามารถแบ่งหน่วยย่อยได้ล้านล้านหน่วย และทุกอย่างก็จัดการได้อยู่บนอากาศ ที่ทุกคนสามารถมองเห็นและเข้าถึงได้ทั่วโลก และสามารถแลกเปลี่ยนเงินกันได้อย่างทันทีไม่ว่าจะอาศัยอยู่ที่มุมใดของโลกก็ตาม โดยมีความเท่าเทียมกัน ซึ่งเป็น Good Money หรือเงินที่ดี ซึ่งเราอาจจะเรียกเงินนั้นว่า God Coin หรือเงินจากพระเจ้า ที่มีความเพอร์เฟ็คในการทำธุรกรรมที่สามารถจัดเก็บข้อมูลได้ทุก transaction ที่เกิดขึ้นโดยไม่มีข้เอมูลตกหล่นหรือสูญหาย

และแล้วมนุษย์เราก็ได้มีการคิดค้นเงินดีที่ว่านั้นขึ้นมาบนโลกใบนี้ได้แล้ว โดยสิ่งนั้นมีชื่อว่า ‘bitcoin’ ที่เป็นการเงินที่มีประสิทธิภาพ ที่กำลังอยู่ในระหว่างดำเนินการไปสู่เส้นทางความสำเร็จ เพราะจำนวนเหรียญ Bitcoin ยังไม่ถูกผลิตครบตามจำนวนที่กำหนดเอาไว้ที่ 21 ล้านเหรียญ BTC โดยมันมีหน่วยย่อยที่เรียกว่า satoshi(sat) ตามชื่อนามแฝงของผู้ก่อตั้ง Bitcoin นามว่า Satoshi Nakamoto

โดย

หรือ 1 satoshi = 0.00000001 BTC

โดยมีการทำธุรกรรมต่อวันอยู่ที่ประมาณ 350,000 transactions ต่อวัน ซึ่งมีค่าธรรมเนียมในการโอนที่น้อยนิด และค่าธรรมเนียมเหล่านั้นก็ถูกแจกจ่ายไปยังเครือข่ายของคนที่ช่วยตรวจสอบความถูกต้องของการทำธุรกรรมทั่วโลก ทำให้เกิดระบบ Decentralized ที่มีความปลอดภัยในเครือข่ายที่สูง

ซึ่ง Bitcoin เป็นระบบการเงินที่จะ disrupt วงการการเงินแบบเดิม ๆ ที่มันพึ่งเกิดขึ้นมาเพียง 12 ปีเท่านั้น แต่มีมูลค่า marketcap สูงถึง 1 ล้านล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ ถ้าเปรียบเทียบมันเป็นบริษัทหนึ่ง มูลค่าของมันมีมูลค่ามากกว่าบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Google, Facebook, Amazon, Apple ซะอีก

และในยุค Mobile Wave หรือในยุคที่ใคร ๆ ต่างก็มีมือถือติดตัว ที่เริ่มจากการเปลี่ยนภาพถ่ายฟิล์มให้กลายเป็นภาพดิจิตอล เปลี่ยนม้วนฟิล์มให้กลายเป็นวีดีโอดิจิตอล และเราก็กำลังอยู่ในยุคที่กำลังเปลี่ยนถ่ายจากเงินที่จับต้องได้ไปสู่ยุคของเงินดิจิตอลและทรัพย์สินดิจิตอล ที่จะสามารถเข้าถึงผู้คนทั่วโลกได้ในทันทีนับพันล้านคน

ซึ่งปัญหาใหญ่ของระบบการเงินในยุคปัจจุบันที่กำลังจะล่มสลายนั้น เกิดจาก Inflation หรือค่าเงินเฟ้ออย่างมหาศาล ที่อาจสูญมูลค่าเงิน 1% ในทุก ๆ เดือน ซึ่งเงิน fiat ไม่สามารถรักษามูลค่าในตัวมันเองได้ ดังนั้นปัญหาใหญ่ของมนุษยชาติในเรื่องของการเงิน ณ ตอนนี้เลยก็คือ มนุษย์เรานั้นยังไม่มีสกุลเงินที่แข็งแกร่งมากพอที่มีประสิทธิภาพในการรักษามูลค่า

ทำให้ประชาชนทั่วโลกที่ถือเงิน fiat เอาไว้อยู่ ในที่สุดโลกก็จะเผชิญกับความอดอยาก ยากจนข้นแค้นมากยิ่งขึ้น เพราะเมื่อเงินเริ่มด้อยค่าลงเรื่อย ๆ ในขณะที่ข้าวของต่าง ๆ กับพุ่งสูงขึ้นทำให้หาเงินได้เท่าไหร่ก็ใช้ไม่พอ เพราะค่าเงิน fiat มันเติบโตสวนทางกับราคาข้าวของ

และทองคำก็ไม่สามารถแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ ยกตัวอย่างเช่น คุณไม่สามารถเอาทองคำมาหั่นซอยชิ้นเล็ก ๆ เพื่อให้เข้าถึงคนทั่วโลกที่มีสมาร์ทโฟนอยู่กว่า 5,000 ล้านคนได้ และนอกจากนั้น bitcoin ยังมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 200% ต่อปี และมีผู้ใช้งานเพิ่มมากขึ้นเฉลี่ย 3 ล้านคนต่อสัปดาห์ ซึ่งมันเติบโตด้วยอัตราเร่งแบบก้าวกระโดด

และถ้าหากเขาต้องการมอบ knowledge, music และ money ให้กับคนทั่วโลก ในยุคศตวรรษที่ 19 ผมก็คงจะส่งในรูปแบบของ book, piano และ gold ซึ่งสิ่งของเหล่านี้มันกลายเป็นของคร่ำครึโบราณไปเรียบร้อยแล้วสำหรับยุคศตวรรษที่ 21 นี้ เพราะเรามีแพลตฟอร์มอินเตอร์เน็ตเป็นพื้นฐานที่เชื่อมผู้คนทั้งโลกเข้าด้วยกัน โดยในปัจจุบันเราสามารถส่งมอบความรู้ผ่าน ebook, google และ youtube ส่วนดนตรีก็สามารถส่งผ่านกันบน Apple music, Amazon music, spotify และ joox ในส่วนของการเงินเราก็สามารถส่งผ่านกันได้โดย bitcoin ที่สามารถเป็น Asset หรือทรัพย์สินแก่ทุกคนได้

ซึ่งหน้าที่นี้เมื่อก่อนเคยเป็นของทองคำ แต่ตอนนี้มันกำลังส่งคบเพลิงต่อให้กับ bitcoin ที่ถือได้ว่าเป็นสิ่งล้ำค่าสำหรับมนุษยชาติที่ประสบความสำเร็จในด้านการออกแบบระบบการเงินในเชิงวิศวกรรมที่มีประสิทธิภาพเป็นครั้งแรกของโลก ที่มันจะกลายเป็น ‘เงิน’ ที่แข็งแกร่งที่นักอุดมคติทองคำเคยคาดหวังว่า จะมี Asset ใดที่สามารถรักษามูลค่าในระยะยาว มานานแสนนาน และในที่สุดพวกเขาก็ได้พบกับเจ้า Bitcoin นี่เอง

และนี่ก็คือการเปิดอภิปรายของ Michael Saylor ในฝั่งของ Bitcoin

แล้วก็ถึงตาของ Frank Giustra ในฝ่ายของการอภิปรายฝั่งของทองคำกันบ้าง โดย Frank บอกว่า ส่วนตัวเขาไม่ได้มีปัญหากับ Bitcoin แต่เนื่องจากมันพึ่งถือกำเนิดมาได้ไม่นาน มันยังไม่ได้พิสูจน์อะไรอีกหลาย ๆ อย่าง เขาจึงคิดว่า นั่นคือความเสี่ยงอย่างใหญ่หลวง หากคุณจะทุ่มสุดตัวกับการลงทุนใน Bitcoin เพราะมันเป็นอะไรที่ใหม่เอามาก ๆ ดังนั้น หากจะให้หวังว่า portfolio เต็มไปด้วย bitcoin ซะเป็นส่วนใหญ่ ก็ถือว่ายังเสี่ยงเอามาก ๆ พอร์ทอาจระเบิดได้

ซึ่งส่วนตัวของ Frank เองก็ไม่เข้าใจว่าทำไม Michael Saylor พยายามโจมตีทองคำ และราวกับว่า Michael พยายามที่จะสร้าง story ที่ดูดีสวยหรูให้กับ Bitcoin อยู่ เพื่อให้ราคามันพุ่งสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ และการที่จะทำอย่างนั้นได้ เขาก็คิดได้เพียงว่า ถ้างั้น Michael Saylor ก็คงพยายามโจมตีทองคำนั้นดูเหมือนว่ามันไร้ค่าแล้วก็ชักจูงให้ผู้คนพากันแห่ไปลงทุนใน Bitcoin และเมื่อคนแห่กันแย่งซื้อ ราคาของมันก็สูงขึ้นไปตามหลักของเศรษฐศาสตร์ ที่ว่า เมื่อมี Demand มากกว่า Supply หรือมีความต้องการมากกว่าจำนวนของที่คนอยากได้ ไอ้ของสิ่งนั้นมันก็จะปรับตัวราคาสูงขึ้นไปโดยปริยายนั่นเอง

ยกตัวอย่างเช่น ตอนนี้เม็เงินในตลาดทองคำมี marketcap หรือมีเม็ดเงินอยู่ในตลาดราว ๆ 12 ล้านล้านดอลล่าร์ฯ ดังนั้น ถ้าผู้คนไม่อยากลงทุนทองคำแล้ว เม็ดเงินจำนวนนี้ก็อาจจะไหลไปในตลาดของบิตคอยน์แทน

และด้วยวิธีนี้ มันก็อาจส่งผลให้ราคาของ bitcoin พุ่งขึ้นสูงกว่า $500,000 ถึง $1,000,000 ดอลล่าร์ฯ ต่อ 1 BTC หรือกว่า 15 ถึง 30 ล้านบาทต่อหนึ่งเหรียญ BTC ได้

ซึ่ง Frank เขาก็ยังคิดไม่ออกว่า ทำไมเขาจะต้องนำเงินจำนวน 1 ล้านกว่าบาทในวันนี้ เพื่อไปซื้อสัก 1 BTC แล้วก็หวังว่าให้ราคาในอนาคตมันขึ้นไปถึง 30 ล้านบาท ได้ (Robert Kiyosaki คาด ราคาของ Bitcoin จะพุ่งถึง 30 ล้านบาท ภายใน 5 ปี) นอกเสียจากคุณจะโจมตีทองคำต่อไป และเชียร์ให้คนโยกเงินมาที่ Bitcoin แทน

ซึ่ง Frank เขาไม่เห็นด้วยกับกลยุทธ์ของ Michael Saylor ที่ทุ่มหมดหน้าตักเพื่อลงทุนใน Bitcoin มันเหมือนกับว่า คุณจะต้องเลือกระหว่าง ‘Do or Die’ คือถ้าไม่ซื้อ Bitcoin ในวันนี้ก็ไปตายซะ! ราวกับว่าเรากำลังดูหนังซีรี่ย์เรื่อง Game of Throne ที่มีหลายซีซั่นมาก ๆ ในขณะที่ Bitcoin นั้นเปรียบเสมืองซีซั่นแรก ที่กำลังรอวันพิสูจน์ตัวมันเองอยู่ ทำให้การลงทุนใน Bitcoin ในตอนนี้มันมีความเสี่ยงสูงเอามาก ๆ

และคำถามที่ Frank จะถามต่อกับ Michael Saylor ก็คือ คุณจะมีชีวิตอยู่จนถึงซีซั่นที่ 8 หรือเปล่า? (Game of Throne ตอนนี้มีด้วยกันถึง 8 ซีซั่นเลยทีเดียว)

และ Frank เขาก็ตอบให้ตรงนี้แทนเลยละกันว่า เขาไม่คิดว่า Michael Saylor เขาจะมีชีวิตยาวนานพอที่จะอยู่ดูความรุ่งโรจน์ของ Bitcoin

และถ้าหาก Bitcoin มันล่มสลายขึ้นมา สิ่งที่จะเหลือติดตัวก็คือ เหรียญดิจิตอลง่อย ๆ สกุลหนึ่งที่มีแต่ตัวเลข ที่รอให้คนเข้าในตลาดเพื่อซื้อต่อจากคุณในราคาที่สูงกว่าต้นทุนที่คุณเคยซื้อมา

และอีกภัยใหญ่หลวงอีกอย่างหนึ่งที่กำลังจะตามมาเร็ว ๆ นี้ก็คือ ภัยจากรัฐบาลที่พวกเขาจะต้องไม่ยอมปล่อยให้ Bitcoin มันแข็งข้อ พวกเขาจะไม่ยอมเสียอำนาจทางการเงินให้กับใครหน้าไหนทั้งนั้น โดยเฉพาะการผูกขาดในสกุลเงินใดสกุลหนึ่งนอกจากสกุลดอลล่าร์ของพวกเขาอย่างแน่นอน

ซึ่ง Frank เขาจึงโต้แย้งว่า ที่ Michael Saylor เคลมว่า Bitcoin นั้น ไม่สามารถควบคุมได้ ไม่มีหยุดมันได้ มันไม่เป็นความจริง เพราะรัฐบาลแบนมันได้ โดยที่ไม่จำเป็นต้องฆ่ามันให้ตายในครั้งเดียว เพราะพวกเขาสามารถออกกฎหมายเตะตัดขามันได้อยู่เรื่อย ๆ และมันก็จะตายลงอย่างช้า ๆ ในที่สุดได้เช่นกัน

ซึ่ง Frank เขามองว่า Michael Saylor พูดถึง Bitcoin แต่ในแง่ของความสวยหรู แต่ไม่เห็นพูดถึงในด้านของความเสี่ยงที่มากับมันบ้างเลย คุณเอาแต่พูดว่า Bitcoin มันโตปีละ 200% อยู่นั่นแหละ แต่ก็นั่นแหละ ไม่แน่ว่าการอภิปรายยกที่เหลืออยู่คุณอาจจะทำให้ผมเปลี่ยนใจขายทองคำไปซื้อบิตคอยน์ก็เป็นได้ ว่ามาเลยยยย!

To be continued… โปรดติดตามต่อใน Episode ที่ 2


กระดานซื้อขายแลกเปลี่ยน Bitcoin & Cryptocurrency

อันดับ 1 ของไทย คนส่วนใหญ่นึงถึง Bitkub

อันดับ 1 ของโลก คนส่วนใหญ่นึกถึง Binance


*หมายเหตุ: นี่ไม่ใช่ content แนะนำในการลงทุนใด ๆ เป็นเพียงข้อมูลฐานทั่วไปเท่านั้น โดยนักลงทุนควรศึกษาเพิ่มเติมด้วยตนเองก่อนที่จะตัดสินใจลงทุนใด ๆ ด้วยตัวของท่านเอง

Resources

Exit mobile version