Blue O'Clock

สตูดิโอผลิตและพัฒนาสื่อการเรียนรู้ด้านการลงทุน ธุรกิจ จิตวิทยาและการพัฒนาตนเอง อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

How to

อนาคตของ Bitcoin โดย Michael Saylor เจ้าของ MicroStrategy บริษัทมหาชนที่มี Bitcoin มากที่สุดในโลก

Michael Saylor คือเจ้าของบริษัท MicroStrategy ที่ผันมาตัวมาลงใน Bitcoin อย่างเต็มรูปแบบ โดยจากข้อมูล ณ วันที่ 21 พฤษภาคม ปี 2021 นี้ บริษัท Microstrategy มี Bitcoin อยู่ในมือกว่า 92,079 BTC (ณ ปัจจุบันน่าจะมีทะลุ 100,000 BTC ไปแล้ว) คิดเป็นสัดส่วน 0.438% ของ Bitcoin ทั้งหมดที่สามารถมีจำนวนเพียง 21 ล้านเหรียญเท่านั้น และด้วยจำนวน Bitcoin ณ ปัจจุบัน ก็เพียงพอที่จะทำให้บริษัท MicroStrategy เป็นบริษัทมหาชนที่มีจำนวนการถือครองเหรียญ Bitcoin ที่มากที่สุดในโลก ทำให้เขามีทรัพย์สินรวมอยู่ที่ 1,900 ล้านดอลล่าร์ฯ หรือราว ๆ 60,000 ล้านบาท เป็นมหาเศรษฐีอันดับที่ 1,362 ของโลก

และนี่คือบทสัมภาษณ์ของ Michael Saylor จากรายการ Morning Invest ถามถึงมุมมองของเขาที่มีต่ออนาคตของ Bitcoin และวงการ cryptocurrency

จากที่เกิดเหตุการณ์ล่มสลายในด้านการเงินที่ประเทศเวเนซุเอลา จะพบว่า ได้มีเงินเฟ้อเกิดขึ้นนับล้านเปอร์เซ็นต์ ที่เกิดจากการที่รัฐบาลแก้ปัญหาเศรษฐกิจด้วยการปริ้นท์เงินออกมาอย่างมหาศาล หรือหากยังนึกภาพไม่ออก ให้ลองนึกดูว่า จู่ ๆ เศรษฐีเงินล้านตื่นเช้าขึ้นมาเขาก็พบว่า เงินที่มีอยู่ในธนาคารจำนวนกว่า 2,600,000 โบลิวาร์ สามารถซื้อกระดาษทิชชู่ได้เพียงแค่ 1 ม้วนเท่านั้น เรียกได้ว่าเก็บเงินกระดาษเอาไว้เช็ดก้นน่าจะเช็ดได้จำนวนครั้งที่เยอะกว่าเอาไปซื้อกระดาษทิชชู่มาใช้ซะอีก

ซึ่งจะเห็นได้ว่า เงิน fiat หรือเงินกระดาษที่ถูกควบคุมโดยรัฐบาลของพวกเขานั้น จู่ ๆ ค่าของมันก็ลดมูลค่าลงไปอย่างเฉียบพลัน ทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่ความผิดของประชาชนเลย เป็นการบริหารที่ผิดพลาดของรัฐบาลล้วน ๆ

ดังนั้น Michael Saylor จึงมองว่า ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นคนรวยหรือคนจน ทุกคนควรได้รับสิทธิขั้นพื้นฐานในการรักษามูลค่าทรัพย์สินที่ตนถือครองอยู่ โดยไม่ถูกปล้นมูลค่าไปโดยรัฐบาล ยกตัวอย่างเช่น ต่อให้วันนี้คุณสามารถหาเงินได้คิดเป็นมูลค่า 1,000 แต่รัฐบาลเวเนซุเอลาก็สามารถทำให้ค่าเงินนั้น ลดลงเหลือเพียง 500 ภายในหนึ่งปี และพอผ่านไปเพียง 2-3 ปี เงินจำนวนนั้นก็แทบซื้ออะไรไม่ได้แล้ว และนี่คือความน่ากลัวของเงิน Fiat หรือเงินกระดาษ

และนอกจากนั้น ยังมีผู้คนทั่วโลกกว่า 1,700 ล้านคน ที่ไม่มีโอกาสเข้าถึงการเงิน ที่แม้กระทั่งจะเปิดบัญชีธนาคาร ธนาคารยังไม่อยากรับ เพราะหากเราสังเกตอย่างธนาคารในบ้านเรา หากต้องการที่จะเปิดบัญชีได้ อย่างน้อยต้องมีเงินฝากเริ่มต้นที่ 500 บาท เป็นต้น

และตัวของ Michael Saylor ก็มองว่าการอุบัติขึ้นว่าของ Bitcoin นั้น เปรียบเสมืองแสงแห่งความหวังของผู้คนทั่วโลก ที่จะสามารถเข้าถึงการเงินนี้ได้โดยที่มันไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของใครเลย เนื่องจากมันเป็นนวัตกรรมที่อยู่บนเทคโนโลยี blockchain ที่ถูกสร้างขึ้นมาด้วยคอนเซ็ปต์ Decentralization หรือการกระจายอำนาจแบบไร้ศูนย์กลาง ซึ่งสิทธิในการเลือกถือทรัพย์สินที่สามารถคงมูลค่าได้นั้น ควรเป็นสิทธิพื้นฐานของมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้

และตัวของ Michael Saylor เองนั้นก็ยอมรับว่าเขาเป็นคนหนึ่งที่เชื่อมั่นใน Bitcoin อย่างเต็มเปี่ยม

นอกจากนั้นเรายังจะเห็นได้ว่า เมื่อตัวกลางอย่างธนาคารหมดความสำคัญลงไปในเรื่องของการเงิน รัฐบาลหลายประเทศทั่วโลกพยายามที่จะควบคุมหรือกำจัด Bitcoin แต่พวกเขาก็ไม่สามารถหยุดมันได้ และนั่นทำให้ประชาชนคนธรรมดาที่มีเพียงมือถือหนึ่งเครื่องที่สามารถถือครองสินทรัพย์ประเภทคริปโตฯ เพื่อปกป้องความมั่งคั่งของตนเองได้

แต่หากถามว่าเหล่าบรรดาธนาคารจะแบน Bitcoin ในฐานะที่มันอาจจะเข้ามาตีสกุลเงินหลักอย่างดอลล่าร์หรือไม่ ซึ่งทาง Michael Saylor ได้ให้ความเห็นว่า เขามองว่านายธนาคารหลายต่อหลายแห่งต่างมอง Bitcoin ว่าเป็น Asset ชนิดหนึ่ง พวกเขาไม่ได้มองว่ามันเป็นสกุลเงินที่จะเอาไว้จับจ่ายใช้สอย เพราะมันมักจะถูกเปรียบเทียบว่าเป็น Gold Digital หรือทองคำดิจิตอลซะมากกว่า ซึ่งหน้าที่ของมันโดยหลัก ๆ คือการ store of value หรือรักษามูลค่าของเงินเอาไว้ไม่ให้มันเฟ้ออย่างเงิน fiat หรือเงินกระดาษที่มูลค่าของมันมีแต่จะลดลง

ซึ่งถ้าหาก Bitcoin มันถูกมองว่าเป็นสกุลเงินนั้น มันจะต้องไม่ถูกเรียกเก็บภาษีในระหว่างที่มีการถ่ายโอนมูลค่ากัน ยกตัวอย่างเช่น เวลาที่เราโอนเงินหากัน เราจะไม่ถูกเก็บภาษี แต่ในขณะที่การโอนทรัพย์สิน เปลี่ยนมือเจ้าของจะถูกเก็บภาษีเพิ่มเติม ซึ่ง Bitcoin ก็ถูกเรียกเก็บภาษีเช่นกัน ดังนั้น เขาจึงมองว่า นายแบงค์ต่างมอง Bitcoin ว่ามันเป็น Asset ชนิดหนึ่ง

และในอนาคตข้างหน้านี้ผู้คนที่มีสามารถสมาร์ทโฟนและเข้าถึงอินเตอร์เน็ตได้ราว ๆ 5,000 ล้านคน กำลังตัดสินใจที่จะเลือกถือสกุลเงินกับทรัพย์สินดิจิตอล

โดย Michael Saylor มองว่าสกุลเงินที่ยังคงแข็งแกร่งที่สุดตอนนี้ก็คือ Dollar ในขณะที่ Asset ที่แกร่งที่สุดตอนนี้ก็ต้อง bitcoin (แหงล่ะเฮียแกตุนไว้เยอะสุดต้องเชียร์หน่อย)

แต่ประเทศที่ล้มเหลวทางการเงินอย่างเช่นประเทศเวเนซุเอลานั้น มันก็ยากที่จะนำเงินสกุลโบลิวาร์ไปใช้แลกเปลี่ยนกับดอลล่าร์ ดังนั้นโลกอาจใช้อีกทางเลือกหนึ่งที่เป็นสิ่งที่สามารถใช้เป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยนกันได้ทั่วโลก และนั่นก็คือ Bitcoin ที่ถือได้ว่าเป็น Network ที่เปิดโอกาสให้คนทั้งโลกได้สามารถจัดเก็บมูลค่าในการแลกเปลี่ยนทางเศรษฐศาสตร์กันในระยะยาวได้ และนั่นมันจะทำให้โลกของการเงินไม่ว่าจะเป็นประเทศในโลกที่ 1 โลกที่ 2 หรือโลกที่ 3 สามารถเชื่อมต่อทางการเงินได้แบบไร้รอยต่อ

โดย Michael Saylor ตัวเขามองว่า มันจะเกิดตลาดเศรษฐกิจใหม่ ที่มีโอกาสอย่างมหาศาล และสิ่งนั้นคือ Digital Assets ที่เรียกว่า Bitcoin และ Cryptocurrency

โดยสกุลเงินดิจิตอลใดจะกลายเป็นสกุลหลักก็ต้องดูกันต่อไป ซึ่งถ้าหากไม่ใช่ดอลล่าร์ มันก็อาจจะเป็นหยวนดิจิตอลก็เป็นได้

และเป็นเรื่องน่าเศร้าที่ผู้คนส่วนใหญ่มักตีความให้ Bitcoin นั้นเป็นสกุลเงิน ซึ่งมันไม่ใช่ เพราะมันถูกจัดให้เป็น Asset โดยหากเราลองเปรียบเทียบกับทองคำ ก็จะสังเกตว่า มันไม่ได้เอามาจับจ่ายใช้สอยในชีวิตประจำวัน เพราะคนซื้อทองคำเก็บไว้ก็เพื่อรักษามูลค่าความมั่งคั่งซะมากกว่า เช่นเดียวกันกับ Bitcoin ที่มันจะถูกเก็บในฐานะ Asset ไม่ได้นำมาจับจ่ายใช้สอยอย่างสกุลเงิน ทำให้หลายคนมักจะคิดว่า ถ้า Bitcoin มันเป็นสกุลเงิน เดี๋ยวแบงค์ก็ออกมาแบนมันเพราะมันไปแข่งขันกับสกุลเงินหลักของแบงค์

แถม Bitcoin มีความเร็วในประมวลผลในการทำธุรกรรมที่ช้า (แต่ก็ยังเร็วกว่าการโอนเงินข้ามประเทศแบบเดิม ๆ) หากมีการทำธุรกรรมทั่วทั้งโลกกว่าจะโอน Bitcoin ในการค้าขายกันอาจจะต้องรอนานกันเลยทีเดียว ซึ่งนั่นคือคนเปรียบเทียบบริบทของ Bitcoin ว่ามันไม่สามารถเป็นสกุลเงินที่ดีได้ เพราะมันไม่ได้ถูกแบบมาให้เป็นสกุลเงิน มันออกแบบมาเพื่อให้ผู้คนสามารถรักษามูลค่าความมั่งคั่งเอาไว้ได้ หรือจะเรียกว่าเอาไว้ Store of value นั่นแหละ

และเมื่อคุณจำกัดความของสถานะ Bitcoin ว่ามันเป็น Asset ได้แล้ว ทีนี้ เวลาที่คุณลงทุน คุณก็จะไม่ได้นำมันเปรียบเทียบหรือเป็นคู่แข่งกับสกุลเงินอย่างดอลล่าร์หรือเงินยูโร แต่จะนำไปเปรียบเทียบกับ Asset อื่น ๆ เช่น ทองคำ แร่เงิน พันธบัตร ไม่ก็ กองทุนรวมดัชนี เป็นต้น

และหากนักลงทุนสถาบันที่กำลังกังวลการที่จะซื้อ Bitcoin ก็ไม่ต้องกลัวไป เพราะถ้านายแบงค์ต่างตีความว่ามันเป็น Asset อีกสักหน่อยพวกเขาก็จะทำให้รัฐบาลออกกฎมาให้คุ้มครองนักลงทุน อย่างถูกต้องตามกฎหมาย เฉกเช่นเดียวกันกับสินทรัพย์ประเภทอื่น ๆ และเมื่อกฎมันออกมาชัดเจนแล้ว ก็จะเริ่มมีเงินทุนสถาบันต่าง ๆ เริ่มทยอยไหลเข้ามาสู่ตลาด crypto จนเป็นเรื่องปกติในที่สุด

โดย Michael Saylor ได้ให้เหตุผลอีกสองข้อที่ Bitcoin ไม่เหมาะกับการเป็นสกุลเงิน

เหตุผลที่ 1 – ทุกครั้งที่คุณโอน Bitcoin คุณจะต้องเสียภาษี ในขณะที่การโอนด้วยสกุลเงินอย่างดอลล่าร์ไม่ได้เสียภาษีในการโอนเปลี่ยนถ่ายไปสู่เจ้าของใหม่

ยกตัวอย่างเช่น ในประเทศไทยรัฐจะเรียกเก็บภาษีทันทีจากำไรที่ได้จากการขาย Bitcoin จำนวน 15% สมมติว่าได้กำไร 1 ล้านบาท หักภาษีทันทีจำนวน 150,000 บาท (นี่ยังไม่รวมว่าต้องเอาไปคิดภาษีส่วนบุคคลแบบขั้นบันไดอีกต่อนึง) ดังนั้นพอจะเอาไปซื้อของก็จะเหลือเงินแค่ไม่ถึง 750,000 บาท

เหตุผลที่ 2 – ในเมื่อ Bitcoin มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยนปีละ 150% – 200% หรือเข้าใจง่าย ๆ เลยก็คือ มูลค่าของ Bitcoin มันเพิ่มขึ้นประมาณ 2 เท่าในแต่ละปี (และ 3,4,5 เท่าในอีกหลายปีต่อจากนี้) ซึ่งมันไม่ค่อยเมคเซ็นต์เอาซะเลย ถ้าหากคุณเอามันไปซื้อรถสปอร์ต ขับแล้วมันมีแต่มูลค่าจะลดลงเรื่อย ๆ

ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเก็บ Bitcoin ไว้อีก 1 ปี สมมติว่าตอนนี้มันมีมูลค่า 1 ล้านบาท ปีหน้าอาจจะพุ่งขึ้นไป 2 ล้านบาท ในขณะที่พอซื้อรถยนต์ปีนี้ ยังไม่ต้องปีหน้า ทันทีที่ขับออกมาจากโชว์รูมราคาก็ตกทันทีไม่มีขึ้นอีกต่อไป (ยกเว้นจะเป็นรถสะสมก็อีกเรื่องนึง)

โดย Michael Saylor มองว่า Bitcoin มันเหมาะกับการลงทุนในระยะยาวมากกว่า

คำถามต่อมา แล้วถ้าเอาเงินไปลงทุนใน Bitcoin หมด(ช้อนซื้อจนช้อนหักหมดแล้วเนี่ย) แล้วจะเอาเงินที่ไหนใช้เอาเงินที่ไหนกิน โดยเขาก็ตอบว่า ถ้าหากสมมติว่าคุณมี Asset อย่างเช่นพวกอสังหาฯ ที่คุณไม่ได้คิดจะขายมัน หากคุณนำมันไปเป็นสินทรัพย์ค้ำประกันเพื่อกู้เงินออกมาใช้ สมมติเสียดอกเบี้ยปีละ 5% แต่อสังหาริมทรัพย์ชิ้นนั้นมันโตปีละ 20% นั่นเท่ากับว่า มูลค่า Asset มันเติบโตไวกว่าดอกเบี้ยเงินกู้ มันจึงทำให้เปรียบเสมือนว่าคุณไม่เสียดอกเบี้ยเงินกู้เลย เพราะเมื่อหักลบกับอัตราการเติบโตของ Asset นั้นแล้ว พอร์ทของคุณก็ยังเป็นบวกตั้ง 15% อยู่ดี แถมเงินกู้ก้อนนี้ยังไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ด้วย เพราะมันเป็นเงินกู้หรือรายจ่าย (แต่มันคนละอย่างกันเลยกับการขายบ้านขายรถไปซื้อ Bitcoin นะครับ อย่าหาทำ)

แล้วถ้าถาม Michael Saylor ว่า เขาสนใจเหรียญอื่นบ้างไหมนอกจาก Bitcoin โดยเขาให้ความเห็นว่า Bitcoin ได้เปรียบตรงที่มันเป็นเหรียญแรกที่ประสบความสำเร็จในวงกว้างขนาดนี้ เท่ากับว่ามันได้ Dominate ตลาดหรือครอบครองตลาดในฐานะที่เป็น Digital Asset ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

แต่ในขณะที่ Ethereum นั้นก็เป็นเจ้าตลาดของ crypto application ที่เปรียบเสมือนคอมพิวเตอร์ของโลกที่เปิดโอกาสให้คนอื่น ๆ มาเขียน Dapp หรือ Decentralized Application ซึ่งก็คือแอพพลิเคชั่นที่ไม่มีตัวกลาง แต่มันก็ยังมีคู่แข่งตัวฉกาจอีกหลาย ๆ เจ้าที่จ้องจะล้มมันได้เช่น Binance Smart Chain, Cadano หรือ Solana ที่ทำตลาดเดียวกันกับ Ethereum นั่นหมายถึงว่า มันมีความเสี่ยงอยู่หากจะลงทุนในเหรียญเหล่านี้ ที่ไม่มีใครรู้อนาคตว่าเจ้าไหนจะเป็นผู้ชนะ เพราะโดยปกติแล้วเจ้าที่แพ้ก็มักจะล้มหายตายจากไปในที่สุด

และความเสี่ยงอีกอย่างหนึ่งก็คือถ้าเทียบกับ Bitcoin ที่มีความเป็น Decentralized มากกว่า crypto ตัวอื่น ๆ เพราะมีการกระจายศูนย์ไปทั่วโลก ยากต่อการควบคุมหรือโดนโจมตี นั่นมันทำให้การทำธุรกรรมของ Bitcoin มันช้า แต่นั่นคือข้อดีของมัน

ในขณะที่ crypto อื่นนั้น ยิ่งต้องการเน้นความเร็วในการประมวลผลมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งต้องรวมศูนย์มากขึ้น นั่นมันทำให้ลดความเป็น Decentralized ลง และมีความเสี่ยงในการถูกโจมตีได้ง่ายขึ้น ความเสี่ยงมากขึ้น

แต่ก็ไม่ผิดหากคุณจะเข้าไปเทรดมันเพื่อทำกำไร เพราะอะไรก็ตามที่มีความเสี่ยงสูงก็ย่อมมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้นตามไปด้วย แต่จากประสบการณ์ของเขาเอง เขาพบว่า ยิ่งเทรดบ่อยก็ยิ่งมีโอกาสขาดทุนสูงขึ้นเมื่อเทียบกับการลงทุนในระยะยาว ที่แม้ว่ากำไรแต่ละครั้งอาจจะไม่หวือหวา แต่ความเสี่ยงมันได้ลดลงไปมาก ซึ่งถ้าเราลงทุนในระยะยาวที่มากพอยังไงผลตอบแทนก็สูงกว่าอยู่ดี

แต่ก็นั่นแหละ การเทรดมันยังคงจะต้องมีต่อไปในตลาดนี้ เพราะเวลาที่คนเทรดได้กำไรเยอะ ๆ ก็จะมีคนแชร์ผลลัพธ์เพื่อดึงดูดให้ผู้คนหน้าใหม่ ๆ เข้ามาในตลาด ก็เปรียบเสมือนว่ามันเป็นการทำ Marketing ให้ตลาด crypto ไปโดยปริยาย ซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่ดีต่อวงการ ที่ทำให้ตลาด crypto เติบโตขึ้นไปอีก แต่ก็ให้ระวังเอาไว้ว่าถ้าคุณจะเทรด อย่าไปเทรดแบบ margin หรือ leverage หรือแปลง่าย ๆ ว่าอย่าเล่นเกินตัว เพราะเวลาเทรดชนะมันอาจจะคุณหลายเท่า แต่ถ้าเทรดแพ้คุณก็เสียหลายเท่าและมีโอกาสโดนล้างพอร์ทและหมดตัวได้เช่นกัน

โดย Michael Saylor ได้บอกว่ากลยุทธ์ที่ดีที่สุดในการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีอนาคตก็คือ Buy&Hold คือซื้อแล้วถือมันไว้ เพราะแม้กราฟทางเทคนิคพอจะบอกคุณได้ว่ามันจะขึ้นหรือจะลง แต่มันมีปัจจัยอีกหลาย ๆ อย่างที่ทำให้ราคามันเปลี่ยนไปได้ ถ้าคุณมัวแต่ซื้อ ๆ ขาย ๆ คุณมีโอกาสพลาดได้สูงขึ้น ดังนั้นหากตัวเขาเองสามารถย้อนเวลากลับไปได้ เขาจะไม่เข้า ๆ ออก ๆ ซื้อ ๆ ขาย ๆ แต่เขาเลือกที่จะ Buy&Hold แทน

โดยวิธีการที่ง่ายที่สุดคือ หลังจากที่คุณซื้อมันไว้แล้ว เลิกดูข่าวเลิกอ่านหนังสือพิมพ์เลิกเสพย์อะไรที่เกี่ยวกับมันสัก 10 ปี แล้วค่อยกลับมาดูมันอีกที

ส่วนหากมองในมุมของ Inflation หรืออัตราเงินเฟ้อ เขามองว่า Bitcoin คือตัวเลือกที่ดีที่สุด ณ ขณะนี้ เพราะรัฐบาลสหรัฐฯ กำลังจะปริ้นท์เงินออกมาอีกจำนวนมาก ดังนั้นการบริหาร portfolio ควรจะต้องหา asset ที่หายากและมีความแข็งค่ามากขึ้น มีราคาที่สูงขึ้นในอัตราที่เร็วกว่าอัตราเงินเฟ้อ

และ Bitcoin ก็มีคุณสมบัติดังกล่าวที่ว่ามา เพราะนอกจากนับวันมันจะหายากขึ้นเรื่อย ๆ ราคาสูงขึ้นเรื่อย ๆ แล้วนั้น มันยังสามารถโอนถึงกันได้ทั่วโลก และคนที่มีเงินต่างก็ต้องการมัน

โดยมักมีคำถามที่จะถามเขาว่า เมื่อไหร่ที่เราควรขาย Bitcoin?

ซึ่ง Michael Saylor ได้ตอบอย่างรวดเร็วในทันทีว่า ‘ไม่ขาย’ เขาไม่เคยมีกลยุทธ์ในการขาย Bitcoin เลยแม้แต่น้อย โดยเขาให้เหตุผลว่า ณ ตอนนี้มันยังไม่มี Asset ใดที่ดีไปกว่ามัน ถ้าเขาขาย Asset ที่ดีที่สุดไปแล้ว เขาจะเอาเงินนั้นไปซื้ออะไรล่ะทีนี้

โดยเขาได้ยกตัวอย่างง่าย ๆ ว่า สมมติว่าคุณลงทุนในประเทศเวเนซุเอลา แล้วก็พบว่า ธุรกิจที่นั่นกำลังถดถอย เงินที่คุณนำไปลงทุนในบริษัทที่อยู่ในเวเนซุเอลานั้น กลับมีมูลค่าลดลงเรื่อย ๆ คุณจึงคิดได้ว่า ถ้าไม่ทำอะไรสักอย่างเงินที่ลงทุนเอาไว้อาจกลายเป็นศูนย์ได้ ดังนั้นถ้ารีบขายกิจการแล้วนำเงินลงทุนที่เหลือไปลงทุนในประเทศที่เศรษฐกิจมีทิศทางการเติบโตที่ดีกว่า สมมติว่าคุณตัดสินใจไปลงทุนบริษัทที่อยู่ใน New York แล้วปรากฎว่า Asset มันมีแต่โตเอา ๆ จนคุณได้กลายเป็นมหาเศรษฐีที่อเมริกาไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จู่ ๆ ก็มีคนถามคุณขึ้นมาว่า “เมื่อไหร่ คุณจะขายบริษัทที่ New York แล้วกลับไปลงทุนที่เวเนซุเอลา?” คุณพอจะเห็นภาพไหมครับว่า ‘ตรูไม่ขายโว้ยยย ขายทำไมไอ้บร้าาา’

ซึ่งข้อดีของ Bitcoin อีกอย่างหนึ่งที่มันถูกจำกัดให้มีบนโลกนี้ได้แค่เพียง 21 ล้านเหรียญเท่านั้น ไม่ว่าจะอีกร้อยปีหรือพันปีข้างหน้า ในขณะที่อสังหาฯ ยังสามารถถูกสร้างเพิ่มขึ้นได้, เงินกระดาษสามารถปริ้นท์เพิ่มได้ หรือแม้กระทั่งงานศิลปะก็สามารถสร้างขึ้นได้เรื่อย ๆ โดย Michael Saylor มองว่า โลกของการเงินนับจากนี้อีกร้อยปีจะไม่มีทางเหมือนเดิมอีกต่อไป

เพราะถ้าเป็นสมัยก่อนผู้คนที่มีเงินก็มักจะสะสมที่ดินทั้งในประเทศและต่างประเทศ แต่ในขณะที่ Asset อย่าง Bitcoin นั้นไม่ได้แบ่งแยกชนชาติไม่ได้แบ่งแยกประเทศ ใครก็ได้บนโลกใบนี้ที่สามารถเข้าถึงอินเตอร์เน็ตได้ ก็สามารถเป็นพลเมืองของประเทศออนไลน์ได้หมด ดังนั้น Bitcoin มันคือที่สุดของ Asset ที่สามารถสั่งสมความมั่งคั่งของผู้คนได้ โดยกลยุทธ์ในการลงทุนใน Bitcoin ก็คือ HODL Hold for Dear Life ‘การไม่ขายมัน’ นั่นเอง

ทีนี้ระหว่างทองคำกับบิตคอยน์ อันไหนดีกว่ากัน โดย Michael Saylor ตอบทันทีเลยว่า แน่นอนมันต้องเป็น Bitcoin เพราะข้อเสียของทองคำนั้น มันมีเจ้าตลาดคุมอย่างชัดเจน เหล่าบรรดาโปรโมเตอร์หรือผู้ที่เชียร์ให้ซื้อทองคำนั้น ส่วนใหญ่พวกเขาได้ค่านายหน้ากันทั้งนั้น และถ้าหากทองคำมันดีที่สุด เหล่าบรรดาโปรโมเตอร์ทองคำทั้งหลาย ก็คงจะเก็บทองคำไว้เป็นทรัพย์สินคงคลังกันมากกว่าร้อยละ 50 ของ portfolio ในงบดุลกันแล้ว แต่ก็ไม่มีใครทำแบบนั้น แถมเอาเข้าจริงในโลกของเราก็ยังคงมีแหล่งของทองคำที่ถูกซุกซ่อนอยู่ใต้พื้นโลกของเราอีกมากที่ยังไม่ได้ขุดมันขึ้นมา ซึ่งไม่เหมือนกับ Bitcoin ที่ถูกกำหนดตายตัวอย่างชัดเจนเลยว่า มันจะมีได้แค่เพียง 21 ล้านเหรียญเท่านั้น ไม่มีเพิ่มอีก

นอกจากนั้น การโอนถ่ายมูลค่าของ Bitcoin หากคุณต้องการโอนจากอเมริกาไปยังโตเกียว คุณสามารถโอนมูลค่าหลายพันล้านดอลล่าร์ ได้ภายในไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง แถมยังมีค่าธรรมเนียมเพียงไม่กี่ดอลฯ เท่านั้น แต่ในขณะที่หากคุณต้องการโยกย้ายทองคำมูลค่าพันล้านจากอเมริกาไปยังโตเกียว คุณจะต้องใช้เวลากว่าสามเดือน และเสียค่าขนส่งอีกไม่ต่ำกว่าห้าล้านดอลล่าร์ และแน่นอนว่ารัฐบาลของคุณไม่ยอมให้ทองคำเยอะขนาดนั้นนำออกหรือนำเงินในแต่ละประเทศง่าย ๆ อย่างแน่นอน

นอกจากนั้นพลังในการเชื่อมต่อหรือ protocol ในโลกอินเตอร์เน็ตที่สามารถเชื่อมต่อ network หรือเครือข่ายของกลุ่มผู้ใช้งานนับร้อยล้านพันล้านคนได้ภายในเสี้ยววินาที ยกตัวอย่างเช่น พอ paypal กระโดดเข้ามาในตลาดคริปโต มันทำให้ผู้ใช้งานกว่า 330 ล้านคนที่เชื่อมต่ออยู่กับ paypal สามารถเข้าถึง Bitcoin ได้ในทันที

และนอกจากนั้น คุณยังมีอำนาจในการเคลื่อนย้าย Bitcoin จำนวนมากติดตัวไปกับคุณได้ทุกที่โดยที่ไม่ต้องขออนุญาตใคร ไม่ต้องรอให้นายแบงค์อนุมัติ คุณสามารถเก็บมันไว้ในกระเป๋าส่วนตัวของคุณ หรือจะย้ายไปที่ exchange หรือกระดานเทรดอย่าง Bitkub หรือ Binance ใดก็ได้ภายในหนึ่งวันหากต้องการที่จะแลกเปลี่ยนมูลค่า แถมการพกพา Bitcoin ที่มีมูลค่าหลายพันล้านดอลล่าร์ คุณไม่ต้องพกพาอะไรติดตัวไปเลย นอกจากจำรหัสผ่านที่ใช้เก็บมูลค่าของ Bitcoin นั้นเอาไว้ให้ได้

แถมเป็นครั้งแรกของมนุษยชาติที่มีอำนาจในการรักษามูลค่าความมั่งคั่งของตนเองเอาไว้ได้ โดยมีมือถือเพียงเครื่องเดียวที่มีราคาไม่ถึงพันที่สามารถพกพามูลค่า Bitcoin ได้หลายแสนหลายล้านบาท โดยที่ไม่มีใครรู้ว่าคุณมีมันอยู่ (ยกเว้นเสียแต่ว่าคุณประกาศหลาไปทั่วโซเชียลเน็ตเวิร์ค นั่นมันทำให้คุณตกเป็นเป้าในการโจมตีเสียเปล่า ๆ)

และต่อให้มีปืนจ่อหัวคุณอยู่ ถ้าโจรยิงคุณ เขาก็จะไม่สามารถชิง Bitcoin ไปจากคุณได้ หรือต่อให้บ้านไฟไหม้ แต่คุณยังคงจำรหัสได้อยู่ก็ไม่ใช่ปัญหา และหากคุณคิดว่าคุณไม่รอดแล้วจริง ๆ และต้องการส่งมอบมูลค่านี้ให้คนอื่นที่ไว้ใจได้ ขอเพียงคุณมีเวลาสักหนึ่งนาที ก็สามารถส่ง Bitcoin ข้ามโลกไปได้แล้ว ซึ่งคุณไม่สามารถทำแบบนี้ได้กับ Asset ที่เป็นอสังหาริมทรัพย์, ทองคำ, แร่เงิน, ฟาร์มโคนม, หุ้น, พันธบัตร หรือแม้กระทั่งเงินสดก้อนโต อย่างเช่นในประเทศไทย หากมีการโอนเงินกันเกินกว่า 2 ล้านบาท มันจะถูกระงับการโอนจากหน่วยงานของรัฐบาลทันที โดยเฉพาะหน่วยของ ปปง. หรือ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ที่พวกเขาจะเรียกตัวคุณไปสอบถามว่า นี่มันคือเงินอะไร ทั้ง ๆ เงินนั้นก็เป็นเงินสุจริตนั่นแหละ แต่ก็ต้องเข้าไปชี้แจงอยู่ดี

เพราะอย่างที่ Michael Saylor ได้กล่าวไว้ตั้งแต่ต้นแล้วว่า ประชาชนทุกคนควรมีสิทธิในการปกป้องและรักษาความมั่งคั่งของตนเองเอาไว้เองได้ ซึ่งถ้าหากรัฐบาลพยายามควบคุม พยายามกดขี่ขูดรีดภาษีจากผู้ที่ถือครอง Bitcoin สิ่งที่เขาจะทำก็คือ ถ้ารัฐ New York พยายามขูดรีดภาษี Bitcoin เขาก็จะย้ายไปเก็บที่รัฐ Wyoming ถ้ารัฐ Wyoming พยายามขูดรีดภาษี Bitcoin เขาก็จะย้ายไปประเทศ Switzerland ถ้า Switzerland เชื่อใจไม่ได้ เขาก็จะย้ายไป Singapore และถ้า Singapore เชื่อใจไม่ได้ เขาก็จะย้ายมันไปเก็บไว้ในโทรศัพท์ของเขา และถ้าโทรศัพท์ของเขาเชื่อใจไม่ได้เขาก็จะจดจำรหัสผ่านและย้ายมันไปเก็บไว้ในหัวของเขา ซึ่งในโลกนี้ยังไม่มีทรัพย์สินประเภทใดที่สามารถทำแบบนี้ได้นับตั้งแต่มนุษยชาติได้ถือกำเนิดขึ้นมา

และอีกสาเหตุหลักที่ทำให้ Bitcoin นั้นมีคุณค่านั่นก็คือ มันไม่สามารถปลอมแปลงได้ และมันไม่สามารถถูกริดรอนได้ ซึ่งหลายคนอาจจะเถียงว่า มีข่าวยึด Bitcoin กันอยู่นี่ ซึ่งใช่มันถูกยึดได้หาก Bitcoin นั้นมันอยู่บนระบบที่รัฐควบคุมเอาไว้อยู่ ตัวอย่างเช่นบน Exchange หรือกระดานเทรด แต่ในขณะที่คนที่เก็บ Bitcoin เอาไว้ในกระเป๋าส่วนตัวอย่าง Hard Wallet มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเอามันออกมา ยกเว้นเสียแต่ว่า เจ้าของยอมคายรหัสผ่านนั้นเองหรืออาจเผลอจดรหัสผ่านไว้ที่ใดที่หนึ่งที่คนอื่นสามารถหาเจอ ตามสโลแกนของคนในวงการที่บอกว่า “Not your keys, not your coin.” ที่หมายถึง ถ้ารหัสลับหรือ private key คุณฝากกระดานเทรดเอาไว้มันก็จะยังคงเป็นของกระดานเทรดอยู่ แต่ถ้าหากคุณถือมันเอาไว้มันก็จะเป็นของคุณโดยสมบูรณ์

โดย Michael Saylor ได้ทิ้งท้ายเอาไว้ว่า คนอย่างปู่ Warren Buffett ที่เขาไม่สนใจในการลงทุนใน Bitcoin เพราะเขาแก่เกินกว่าที่จะเรียนรู้ในเรื่องของเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ พวกเขาไม่มีความจำเป็นที่จะต้องกระโดดเข้ามา เพราะพวกเขาอยู่ใน comfort zone เป็นราชาขึ้นหิ้งไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เหยดดด มีขิงปู่ด้วย


กระดานซื้อขายแลกเปลี่ยน Bitcoin & Cryptocurrency

อันดับ 1 ของไทย คนส่วนใหญ่นึงถึง Bitkub

อันดับ 1 ของโลก คนส่วนใหญ่นึกถึง Binance


*หมายเหตุ: นี่ไม่ใช่ content แนะนำในการลงทุนใด ๆ เป็นเพียงข้อมูลฐานทั่วไปเท่านั้น โดยนักลงทุนควรศึกษาเพิ่มเติมด้วยตนเองก่อนที่จะตัดสินใจลงทุนใด ๆ ด้วยตัวของท่านเอง

Resources