Blue O'Clock

สตูดิโอผลิตและพัฒนาสื่อการเรียนรู้ด้านการลงทุน ธุรกิจ จิตวิทยาและการพัฒนาตนเอง อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

Bitcoin and Cryptocurrency

Changpeng Zhao ( CZ ) เจ้าของ Binance ให้สัมภาษณ์หลังจาก FTX ประกาศล้มละลาย | Blue O’Clock Podcast EP. 25

เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน ค.ศ. 2022 ที่ผ่านมา หลังจากที่ FTX กระดานเทรดคริปโตฯ อันดับสองของโลกได้ประกาศล้มละลาย ซึ่งก่อนที่ FTX จะประกาศล้มละลายนั้น ทาง Changpeng Zhao หรือชื่อเรียกในวงการกันว่า CZ ที่เป็นเจ้าของ Biance กระดานเทรดอันดับที่ 1 ของโลก ก็ได้ประกาศยกเลิกที่จะเข้าซื้อกิจการของ FTX เพราะเมื่อได้ดูข้อมูลภายในหลังบ้านของ FTX แล้วนั้น น่าจะมีปัญหาภายใน

และในเวลาต่อมาทาง CZ ก็ได้มาให้สัมภาษณ์ในงานที่ชื่อว่า Indonesia Fintech Summit ประจำปี 2022

ภาพรวมของตลาด Crypto

โดยพิธีกรได้เริ่มต้นถามคำถามกับ CZ ว่า คุณคิดว่าในอุตสาหกรรม crypto ตอนนี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง เพราะในความคิดของผมนั้น ตอนนี้มันให้ความรู้สึกเหมือนกับวิกฤตการณ์ทางการเงินครั้งใหญ่ในปี 2008 เลย

โดยทาง CZ ก็ตอบว่า เขาคิดว่านั่นเป็นการเปรียบเทียบที่ค่อนข้างตรงกับสถานการณ์ในตอนนี้เลย ซึ่งเราก็เพิ่งเห็นผู้เล่นใหญ่รายหนึ่งล้มลงไป และเมื่อไม่กี่เดือนที่แล้วก็มี Terra เหรียญ LUNA และแพลตฟอร์ม Three Arrows, Celcius และ Voyager

แต่ FTX นี่ถือว่าเป็นรายใหญ่กว่าที่ผ่านมาอีก เพราะมูลค่าของ FTX ก่อนล่มสลายนั้น ถูกประเมินมูลค่ากิจการอยู่ที่ราว ๆ 30,000-40,000 ล้านดอลล่าร์ฯ

โดยสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ มันได้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่ออุตสาหกรรมคริปโตฯ มันทำให้ความมั่นใจของผู้บริโภคในตลาดสั่นไหว มันทำให้อุตสาหกรรมคริปโตล้าหลังไปอีกหลายปี

และจากนี้ไปผู้มีอำนาจออกกฎ ก็จะเข้ามาตรวจสอบอุตสาหกรรมคริปโตฯ นี้อย่างละเอียดมากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งเอาตามตรงแล้วก็อาจเป็นเรื่องที่ดีก็ได้ เพราะก่อนหน้านี้กฎและข้อบังคับจะเน้นไปที่เรื่องของ KYC(Know Your Customer ) และ AML(Anti-money laundering) ซะมากกว่า

ซึ่งตัวของเขาก็พูดมาโดยตลอดว่าพวก SEC หรือทาง กลต. ควร focus ที่การดำเนินกิจการของกระดานเทรด หรือ Exchange Operation มากกว่า เช่น

  • Business models ที่มีแผนธุรกิจที่ชัดเจน
  • Proof-of-Reserves ที่ให้ผู้อื่นสามารถตรวจสอบเงินทุนสำรองได้อย่างโปร่งใส และเส้นทางการเงินของนักลงทุนที่ชัดเจน

ฉะนั้น CZ เขาคิดว่าธุรกิจที่อยู่ในอุตสาหกรรมคริปโตฯ นั้นกำลังจะโดนตรวจสอบในเรื่องพวกนี้อย่างละเอียดมากยิ่งขึ้น แต่เรื่องดังกล่าวมันก็จะอาจจะส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมนี้

ซึ่งการที่ FTX ล่มสลายในครั้งนี้ ก็สร้างความเจ็บปวดให้กับนักลงทุนรายย่อยอยู่หลายราย และตัวของ CZ เองนั้นเขาก็เข้าใจความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นเป็นอย่างดี แต่เรื่องเหล่านี้ก็จะเกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ

แต่สำหรับระยะยาวแล้วเหตุการณ์เหล่านี้ เป็นการเตือนสติพวกเราอีกครั้งหนึ่งว่า พวกเรายังอยู่ในอุตสาหกรรมที่ยังใหม่อยู่ อุตสาหกรรมนี้มันยังมีความเสี่ยงอีกเยอะแยะมากมาย และเราก็จำเป็นที่จะต้องเรียนรู้ที่จะรับมือกับความเสี่ยงเหล่านั้น เพื่อที่จะช่วยกันสร้างอุตสาหกรรมคริปโตฯ ให้ไปในทิศทางที่ดีขึ้นกว่าเดิม

ความเห็นของ CZ หลังจากที่ FTX ล้มละลาย

โดยพิธีกรได้ถามความเห็นเกี่ยวกับหลังจากที่ FTX ได้ประกาศล้มละลายไปแล้วนั้น ทาง CZ พอจะแชร์ความคิดเห็นเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้หรือไม่อย่างไร

โดย CZ เขาคิดว่าในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา เป็นการเผยให้เห็นปัญหาอย่างต่อเนื่อง เป็นปัญหาที่มีอยู่มานานมากแล้วในอุตสาหกรรมนี้ ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวมันไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นทั้งหมดภายใน 2-3 วันนี้หรอก

เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ๆ ก็คือทาง FTX มีการนำเงินทุนของ users ไปใช้งานที่ผิดจากวัตุประสงค์และนำเงินทุนนี้ไปใช้งานกับสิ่งอื่น ที่ไม่ควรทำ

และเขาคิดว่าจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่น่าจะเกิดขึ้นประมาณหนึ่งสัปดาห์ที่แล้ว ในบทความจากเว็บไซต์ CoinDesk ที่ในตอนนั้นทีมของเขาก็คุยกับเขาว่า “CZ เรายังมีเหรียญ FTT พวกนี้อยู่อีกเยอะเลย เราควรขายไหม?” ผมก็บอกให้ขายไปเลย

และวันต่อมาก็มีรายงานจาก Whale Alert ที่คอยรายงานเกี่ยวกับธุรกรรมรายการใหญ่รายหนึ่ง ว่ามีการโอน FTT มูลค่ากว่า $580 ล้านดอลลาร์ฯ ไปยังเว็บไซต์ binance.com พอทีมของ CZ เห็นธุรกรรมรายการนี้พวกเขาก็ถาม CZ ว่า คุณแน่ในใช่ไหม? ที่จะขายเหรียญ FTT ทั้งหมดนี้? ซึ่ง CZ เขาก็ตอบไปว่า “ผมแน่ใจ”

และพวกเขาก็ถาม CZ ต่อว่าเรื่องนี้ต้องกลายเป็น Talk of the town แน่ ๆ ดังนั้นพวกเราควรทำเรื่องนี้อย่างโปร่งใสไหม? CZ เขาก็ตอบว่า “ควร”

แล้วทีมงานก็บอกกับ CZ ว่า เขาควร Tweet เกี่ยวกับเรื่องนี้บน Twitter จากนั้นทางทีมก็ได้ทำกสนประชุมกับทีม PR ดูว่าพวกเราควรจะเขียนว่าอะไรดี เพราะพวกเราไม่แน่ใจว่าต้องพูดอย่างไรสำหรับเรื่องนี้ เพราะมันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างอ่อนไหว

โดยในวันนั้น CZ ก็กำลังจะไปหาเพื่องของเขาอยู่สองคนพอดี ซึ่งก็เป็นสองคนที่มาอิโดนีเซียนี่ด้วยเช่นกัน แล้วผมก็ต้องทวีตภายในไม่กี่นาทีนี้ก่อนจะขึ้นเวที โดยสิ่งที่ผมต้องการจะอธิบาย อย่างแรกก่อนเลยว่าทำไมเขาถึงมีเหรียญ FTT จำนวนเยอะขนาดนี้ มันมีที่มาที่ไปได้อย่างไร

เพราะเหรียญ FTT มูลค่ากว่า $580 ล้านดอลลาร์ฯ นั้น มันไม่ได้จู่ ๆ ก็โผล่ขึ้นมาอยู่ในมือของเขาเพราะเขาไม่ได้ซื้อเหรียญจากในตลาด แต่เขาได้มันมาจากการขายกิจการ FTX อย่างถูกต้องตามกฎหมายเมื่อราว ๆ หนึ่งปีครึ่งก่อน ที่เขาได้เคยไปลงทุนในบริษัท FTX ในช่วงแรก ๆ ที่ก่อตั้งบริษัท ซึ่งการขายหุ้นบริษัท FTX ก็มีการรายงานต่อสาธารณะไปก่อนหน้านี้แล้วด้วย

และหลังจากที่ตัวของ CZ ได้ทำการ Tweet บน Twitter ไปแล้วนั้น ส่วนตัวของเขาก็นึกไม่ถึงว่ามือถือของเขาจะดังขึ้นตลอดเย็นของวันนั้น และเขาก็นึกไม่ถึงว่าการ Tweet ของเขานั้นจะส่งผลให้ FTX ล้มละลายในเวลาต่อมา เพราะเขาคิดแค่ว่ามันน่าจะเป็นแค่เรื่องที่ผู้คนบนโลกออนไลน์พูดถึงกันก็เท่านั้นเอง

ซึ่งหลังจากที่ CZ เขาได้ Tweet ไปนั้น หลังจากนั้นราว ๆ 24 ชั่วโมง ทาง Sam Bankman-Fried (SBF) นั้น ก็ได้โทรหาเขา ซึ่งตอนแรก CZ เขาคิดว่า Sam จะโทรมาคุยเรื่อง Over-the-counter (OTC) คือ การซื้อขายหลักทรัพย์นอกตลาดหลักทรัพย์ คือการซื้อขายแบบไม่เป็นทางการ ผ่านการเจรจาต่อรองกันทางโทรศัพท์ ไม่ได้กำหนดช่วงเวลาการติดต่อซื้อขายที่แน่นอนและไม่มีศูนย์กลางการจับคู่ซื้อขาย

หรือโทรมาเพื่อหารือเรื่องการทำให้คำวิจารณ์เชิงลบหายไปบนโลกออนไลน์ เพื่อที่จะได้เรียกความเชื่อมั่นจากคนในตลาดคริปโตฯ กลับมาได้อีกครั้ง นั่นคือสิ่งที่ CZ เขาคิดว่า Sam จะคุยเรื่องเหล่านี้กับเขา

แต่ Sam กลับบอก CZ ว่า FTX มีปัญหาที่ใหญ่กว่าเรื่องนี้อีก โดย Sam บอกว่าเขาต้องการปกป้องไม่ให้เหล่าบรรดา Users ได้รับความเสียหาย ซึ่งในท้ายที่สุดเราก็ได้ตกลงกันว่าจะยื่นเรื่องเข้าซื้อกิจการ แต่ CZ เขาบอกว่า เขาไม่สามารถพูดถึงรายละเอียดภายในข้อตกลงเหล่านั้นให้คนอื่นฟังได้

และเมื่อทางฝ่ายตรวจสอบกิจการหลังบ้าน ไปตรวจสอบ FTX แล้วนั้น ทาง CZ เขาก็พบว่าจากมุมมองของเขา ข้อตกลงหลาย ๆ อย่างดูไม่สมเหตุสมผลจากหลายแง่มุม และเมื่อมองในเชิงการเงินแล้วมันมีช่องโหว่ที่ใหญ่พอสมควร

ส่วนในรายชื่อ Users ใหม่ส่วนใหญ่นั้น ก็เป็นลูกค้าของ Binance อยู่แล้ว และ Binance ก็มีจำนวนผู้ใช้งานมากกว่า FTX อยู่แล้ว

และหากมองจากแง่มุมของเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์ของ Binance แล้วนั้น ก็มีอย่างที่ FTX มีหมดแล้ว ไม่มีเทคโนโลยีอะไรใหม่ไปกว่า Binance

ซึ่งความตั้งใจแต่แรกเดิมทีของ CZ นั้น คือการช่วยเหลือผู้ใช้งาน ช่วยเหลือ users เป็นหลัก

แต่ในเวลาต่อมาก็มีข่าวออกมาว่าทาง FTX ได้มีการนำทุนของผู้ใช้งานไปใช้ในทางที่ผิด และมีการสอบสวนของหน่วยงานสหรัฐอเมริกาเข้ามาเกี่ยวข้อง CZ เขาก็เลยคิดว่าจะยุ่งเกี่ยวกับ FTX ไม่ได้อีกแล้ว เพราะอาจจะโดนร่างแหไปด้วยได้

ดังนั้นเมื่อ CZ เขาเข้าใจแล้วว่าไม่ควรไปยุ่งเกี่ยวกับ FTX แล้วนั้น เขาก็ต้องทำการประกาศออกไปโดยเร็วที่สุด เพราะหากจะประกาศเรื่องแบบนี้ก็ต้องทำอย่างรวดเร็ว ซึ่งนี่เป็นหนึ่งในหลักการการทำธุกิจของเขาว่า ถ้า ‘Say No’ ต้อง ‘Quick No’ เรื่องนี้จะได้ไม่ต้องลากยาว และเพื่อที่จะลบล้างความเคลือบแคลงใจ และความสงสัยจากผู้คนวงการคริปโตฯ นี้

ดังนั้น ในระหว่างที่ดีลของ Binance กับ FTX ไม่ชัดเจน ก็จะสังเกตได้ว่ามันส่งผลให้ราคาของเหรียญต่าง ๆ ในตลาด crypto ตกต่ำลง เพราะผู้คนในตลาดรู้สึกถึงความไม่แน่นอน ฉะนั้นความไม่แน่นอนจึงแย่กว่าข่าวร้าย

และเมื่อข่าวออกมา เมื่อทุกคนรู้เรื่อง ทาง Binance จึงประกาศออกไปให้เร็วที่สุด และหลังการประกาศของเขาก็พยายามทำตัวให้เงียบมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เขาไม่ไปขึ้นทีวี ไม่ให้สัมภาษณ์ตามสื่อต่าง ๆ ซึ่งนั่นก็เป็นการวางแผนล่วงหน้าเอาไว้หลายสัปดาห์ที่แล้ว เพื่อที่เขาจะบินมาให้สัมภาษณ์ที่งานนี้เป็นงานแรกเลยหลังจากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว

เรียกความเชื่อมั่นในตลาด Crypto กลับคืนมา

ต่อมาพิธีกรได้ถามว่า หลังจากที่ CZ พูดว่าอุตสาหกรรมคริปโตฯ นั้นได้ถดถอยล้าหลังมาสองถึงสามปี จากการล่มสลายของ FTX นั้น ในฐานะที่คุณเป็นบุคคลในวงการธุรกิจนี้ คุณจะทำอะไรและอย่างไรบ้าง เพื่อเรียกความน่าเชื่อถือกลับมาสู่อุตสาหกรรมคริปโตฯ

โดย CZ ตอบว่า ในฐานะที่ Binance เป็นหนึ่งในผู้เล่นที่ใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรมนี้ ควรที่จะต้องทำตัวให้เป็นแบบอย่าง โดยสิ่งแรกเลยที่ Binance ต้องทำเลยก็คือ การทำงานของ Binance จะต้องโปร่งใสมากยิ่งขึ้นไปอีก ความหมายก็คือว่า เขาจะต้องทำทุกอย่างที่จะเสริมสร้างความโปร่งใสของตัว Binance ให้ผู้คนได้เห็น เช่น proof-of-reserves ซึ่งก็อาจต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์หน่อย

โดยก่อนอื่นเลยทาง Binance ควรที่จะต้องเปิดเผย cold wallet addresses ของ Binance ทั้งหมด หรือก็คือที่อยู่ของกระเป๋าที่ใช้เก็บเหรียญต่าง ๆ ซึ่งก็เป็นสิ่งที่เปิดเผยให้สาธารณะได้ดูอยู่แล้ว โดยทาง Binance ก็รวบรวมและปล่อยออกสู่สาธารณะไปเมื่อวานนี้ จำนวนเหรียญใน 6 อันดับแรกที่มี Volume สูงที่สุด ซึ่งก็คือกว่า 80% ถึง 90% ของเงินทุนจาก users

ซึ่งตอนนี้ทุกคนก็จะสามารถเห็นได้ภายในหนึ่งหน้าเว็บเพจว่า address ของ cold wallet ทั้งหมดของ Binance คืออะไรบ้าง นั่นก็คือสิ่งที่ Binance พยายามทำทุกอย่างเพื่อเพิ่มและเสริมสร้างความโปร่งใสให้แก่แพลตฟอร์ม

และนอกจากนี้ ทาง CZ เขาก็อยากจะให้ความรู้กับผู้ออกกฎ ผู้ควบคุมกฎ ที่มีอำนาจที่กระจายตัวอยู่ทั่วโลก ได้เข้าใจในเรื่องของวิธีการตรวจสอบกระดานเทรด crypto ที่ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของ KYC และ AML ซึ่งโอเคแหละว่าเรื่องเหล่านี้ก็สำคัญเช่นกัน

แต่เขาอยากเสริมเรื่องการตรวจสอบ cold wallets ที่ใช้เก็บเหรียญ crypto ต่าง ๆ , การตรวจสอบบาลานซ์ของทางบัญชี, วิธีการตรวจสอบการบันทึกการทำธุรกรรม และวิธีการใช้งานเครื่องมือ monitoring ในการตรวจสอบสิ่งต่าง ๆ ของ Exchange

ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นกระบวนการที่ภายในที่ Binance กำลังทำอยู่แล้ว และตอนนี้ก็มีการทำบัญชีแบบ real-time ซึ่งระบบจะสามารถแจ้งเตือนได้แบบ real-time เมื่อมีบัญชีที่ผิดปกติ

และเรื่องเหล่านี้แหละ คือสิ่งที่ Exchange หรือกระดานเทรดคริปโตฯ ควรทำเพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมนี้ในระยะยาว ซึ่งมันจะส่งผลให้อุตสาหกรรมนี้พัฒนาไปอย่าง healthy มากขึ้น

ตลาด Crypto กับ Regulator ผู้คุมกฎ

พิธีกรได้ถามต่อว่า Regulator ผู้คุมกฎเนี่ย ควรมีหรือไม่ควรมี และพวกเขาควรสวมบทบาทอย่างไร ในอุตสาหกรรมคริปโตฯ

และคอนเซ็ปของ crypto ที่บอกว่า คนรุ่นใหม่นั้น สามารถเป็นเจ้าของธนาคารได้ด้วยตนเอง จากการถือครอง digital asset นั้น คุณมีความคิดเห็นเป็นอย่างไร?

โดย CZ ตอบว่า มีสองหัวข้อที่ควรพูดถึงเกี่ยวกับเรื่องนี้

โดยเขาคิดว่าพวกเรายังคงต้องการ Regulator อยู่ และคิดว่าสังคมของเรายังไม่ได้พัฒนาไปไกลถึงขั้นสามารถดำรงอยู่ได้โดยไม่มีกฎเกณฑ์ได้ ซึ่ง ณ เวลานี้การมีกฎไว้จะดีกว่า ดังนั้นจึงควรมี Regulator

แต่เขาก็ไม่ได้หมายความว่ากฎทุกกฎจะดีหมดนะครับ เพราะมันมีทั้งกฎที่ดีและไม่ดีอยู่ปะปนกันไป ดังนั้นกฎแต่ละข้อจึงควรต้องมีเหตุมีผล

มาพูดถึงฝั่งของ Regulator หรือผู้คุมกฎกันก่อน

ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเกิดหากมีกฎที่ต้องการที่จะแบนเหรียญ crypto กฎประเภทนี้ไม่ดีอยู่แล้ว หรือหากมีกฎออกมาว่าให้เจ้าของเหรียญแต่ละเหรียญทำอะไรก็ได้ตามใจชอบ นี่ก็ไม่ดีเช่นกัน เพราะในวงการนี้ยังคงมีพวกที่ชอบหลอกลวง และจะส่งผลให้เป็นการเพิ่มจำนวนคนขี้โกงเข้ามาในอุตสาหกรรมนี้มากขึ้น และจะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างมากมายตามมา

ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องหาจุดสมดุลระหว่างกลางให้ได้ ซึ่งเรื่องดังกล่าวมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

ต่อมา มาพูดถึงฝั่งของเหรียญ crypto กันบ้าง

เรื่องที่ผู้คนสามารถเก็บทรัพย์สินของตนและเป็นเสมือนเจ้าของธนาคารให้กับตัวเองได้นั้น ตัวของ CZ เขาคิดว่า ในอนาคต ในด้านเทคโนโลยีนั้น เราทำได้แน่ แต่ ณ ตอนนี้มันยังเป็นเรื่องที่ยากอยู่ เทคโนโลยีนี้มีอยู่ แต่มันไม่ง่ายต่อการเข้าถึงใช้งาน มันยังไม่ง่ายพอสำหรับบุคคลทั่วไปที่จะเซฟ private keys หรือรหัสผ่าน เอาไว้หลาย ๆ copies หรือเก็บรหัสสำรองเอาไว้เป็น backup อย่างเช่น ถ้ากรณีที่ users ทำคอมพิวเตอร์หาย หรือ hardware wallet หรือกระเป๋าใส่เหรียญคริปโตฯ หาย ก็ยังสามารถกู้คืนกลับมาได้ ซึ่งเรื่องเหล่านี้ยังคงยากสำหรับคนทั่ว ๆ ไปอยู่

หรือสมมติว่าเกิดกรณีที่เลวร้ายที่สุดอย่างเช่น เราเสียชีวิต เราไม่อยู่ในโลกนี้แล้ว แล้วเราจะส่งต่อมรดกของเราอย่างไร ซึ่งเทคโนโลยี ณ ตอนนี้เรามีเทคโนโลยีที่สามารถทำแบบนั้นได้ แต่มันไม่ง่ายเลย เพราะผู้คนกว่าร้อย 99 นั้น ยังไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร และผู้คนกว่าร้อยละ 99 นั้นอาจยังไม่รู้วิธีการเข้ารหัสสำรองอย่างปลอดภัยด้วยซ้ำไป ณ ขณะนี้

ดังนั้นเราจึงต้องจำเป็นที่จะต้องทำให้เครื่องมือเหล่านี้ใช้งานได้ง่ายขึ้น โดยที่ยังคงความปลอดภัยสูงอยู่ ซึ่งในท้ายที่สุดแล้วผู้คนจำนวนมากก็จะเข้าถึงวิธีการเก็บรักษา crypto ได้ง่ายขึ้น

แต่สำหรับตอนนี้เวลานี้ คุณจะเห็นได้ว่าผู้คนส่วนใหญ่สบายใจที่จะใช้ Email กับ Password และเมื่อไหร่ก็ตามที่พวกเขาลืมรหัส พวกเขาก็จะทำการโทรหา call center เพื่อขอความช่วยเหลือ

และนอกจากนั้น เราก็มักจะพบเห็นได้ในหลาย ๆ เคส ที่เมื่อเจ้าของกระเป๋า crypto เสียชีวิต เหล่าบรรดาญาติ ๆ ก็จะต้องทำการถือใบรับรองมาแสดงและรอการตรวจสอบราว ๆ 1 เดือน เพื่อให้ทีมงานตรวจสอบให้แน่ใจว่าบุคคลดังกล่าวได้สียชีวิตไปแล้วจริง ๆ จากนั้นจึงจะมอบมรดกให้กับญาติของเขา

เพราะฉะนั้นในตอนนี้สำหรับคนธรรมดาส่วนใหญ่การแลกเปลี่ยน crypto ผ่าน Centralized Exchange หรือผ่านกระเทรดที่เป็นตัวกลางแบบรวมศูนย์นั้นไปก่อนในช่วงนี้นั้นจะทำได้ง่ายกว่าถึงแม้ว่าจะต้องผ่านการยืนยันตนด้วยระบบ KYC และ AML ซึ่งการยืนยันดังกล่าวก็ยังคงเป็นเรื่องที่ยุ่งยากอยู่

ดังนั้นเราจึงต้องค่อย ๆ ปรับปรุงและพัฒนากระบวนการต่าง ๆ ในอุตสาหกรรมนี้ให้ค่อย ๆ เปลี่ยนทีละเล็กทีละน้อย ไม่ใช่จู่ ๆ ก็จะเปลี่ยนอย่างรวดเร็วและข้าม Step ไปในเรื่องใหญ่ ๆ เลย

บทบาทของ Regulator ที่ควรจะเป็น

ต่อมาทางพิธีกรก็ได้ถามกับ CZ ว่า คุณคิดว่า Regulator ควรมีบทบาทอย่างไรบ้างในอุตสาหกรรมคริปโตฯ นี่นอกเหนือจากเรื่องของการยืนยันตนด้วย KYC และ AML?

โดย CZ ตอบว่า หลังจากที่เกิดเหตุการณ์ล่มสลายของ FTX แน่นอนว่าสิ่งที่ Regulator จะหันมาให้ความสนใจมากขึ้นก็คือ การสามารถตรวจสอบยอดเงิน จำนวนเหรียญต่าง ๆ ที่อยู่ในบัญชีของกระเทรด นั่นคือสิ่งที่ CZ เขาคิดว่าน่าทาง Regulator จะให้ความสำคัญในช่วงนี้

ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องที่พวกเขาจะทำแบบนั้น และพวกเราก็ควรที่จะเรียนรู้จากข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นในตลาดคริปโตฯ

ซึ่งอันที่จริงสัปดาห์ก่อนหน้านี้ พวก Regulator ยังให้ความสนใจในเรื่องกู้เงินอยู่เลย เพราะตอนนั้นบริษัทสินเชื่อหลายแห่งก็กำลังมีปัญหารุมเร้าอย่างมากมาย แต่ด้วยเหตุที่ FTX ล่มสลาย ก็ทำให้ความสนใจของผู้คนตกไปอยู่ในเรื่องของการแสดงความโปร่งใสว่า Asset ของผู้ใช้งานยังคงอยู่ในกระเป๋าของพวกเขาอย่างครบถ้วน ดังนั้นในช่วงนี้ทาง Regulator ก็เน้นที่เรื่องนี้เป็นหลัก

และสำหรับในอนาคต CZ เขาก็คิดว่าก็มีอีกหลายเรื่องเลยทีเดียวที่จะต้องโฟกัส เช่น ความปลอดภัยของ wallet หรือกระเป๋าที่ใช้เก็บ crypto, ต่อมาคือเรื่องของความปลอดภัยในการทำธุรกรรมที่มีรายการขนาดใหญ่, ต่อมาก็คือเรื่องของวิธีการรับมือกับความขัดแย้งของผู้บริโภค

แต่เรื่องต่อไป CZ เขาคิดว่าทาง Regulator น่าจะให้ความสำคัญในเรื่องของ Security เรื่องความปลอดภัยของทรัพย์สินของผู้ใช้งานอย่างแน่นอน

เมื่อ Crypto ถูกสถานะให้กลายเป็น Asset Class

พิธีกรได้พูดว่า ณ ปัจจุบัน crypto ก็ได้ถูกยอมรับว่าเป็นAsset class ประเภทหนึ่งที่เป็นสินทรัพย์ในการลงทุนแล้ว เขาจึงอยากถาม CZ ถึงบทบาทของ Binance ในฐานะที่เป็น CEO ของบริษัท ว่ามีความคิดอย่างไรกับเรื่องนี้?

โดย CZ ตอบว่า สำหรับ Binance จะมีอยู่หลากหลายบทบาท ตัวหลัก ๆ ก็คือการเป็น Centralized Exchange คือทำหน้าที่เป็นกระเทรดแบบรวมศูนย์ ที่เป็น platform ในการแลกเปลี่ยน ซื้อขาย crypto โดยเพิ่มสภาพคล่องให้กับตลาดนี้ และ CZ เขามองว่าทาง Binance จะต้องจัดสรรโครงสร้างพื้นฐานเพื่อให้ผู้คนทั่วไปสามารถเข้าถึง crypto ได้ง่าย

ฉะนั้น Binance ควรต้องคงความเป็นกลาง, คงความปลอดภัยสูง, ตอบสนองความต้องการผู้ใช้ และง่ายต่อการใช้งาน และ Binance ก็จะต้อปกป้องผู้ใช้งานให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ นั่นก็คือบทบาทของเขาและ Binance ในฐานะที่เป็น Centralized Exchange

ส่วนบทบาทของเขาและ Binance ในฝั่งของ Investor หรือนักลงทุนนั้น ยังมีการลงทุนเป็นจำนวนมากไปที่โครงการ DeFi – Decentralized Finance ต่าง ๆ อย่างมากมาย และก็ได้ลงทุนไปกว่า 150 โครงการแล้ว ซึ่งผลลัพธ์ของ portfolio ก็ออกมาดูดีมากเลยทีเดียว

ส่วนใหญ่ทาง Binance จะรับบทเป็นนักลงทุนรายย่อยให้กับโครงการ โดยจะไม่พยายามควบคุมพวกเขา และบางโครงการทาง Binance ไม่ได้เป็นหุ้นส่วน ไม่มีโทเคนมาเกี่ยวข้องเลยด้วยซ้ำ

หลายโปรเจคทาง Binance ทำเพียงให้เงินทุนกับพวกเขาและให้พวกเขานำไปใช้ให้เกิดประโยชน์

เพราะการที่ CZ เขาทำแบบนี้ได้ ก็เพราะเขาเคยได้รับคำแนะนำจากหัวหน้าอาวุโสท่านหนึ่ง เมื่อช่วงเริ่มก่อตั้งใหม่ของ Google โดยท่านบอกว่าที่ Google นั้น มีโปรเจคที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานหลายอย่างที่อยู่เบื้องหลังของอุตสาหกรรม ที่ผู้คนทั่วไปไม่รู้จักซะด้วยซ้ำ แต่ Google มีให้ใช้งานฟรี

ดังนั้นเขาจึงแนะนำให้ CZ เขาลองสร้างเครื่องมือให้ผู้คนได้นำเครื่องมือต่าง ๆ ไปใช้ เพื่อเป็นประโยชน์ในระบบนิเวศของอุตสาหกรรมนี้ ซึ่งนี่ก็เป็นเป้าหมาย และหลักปรัชญาของ Binance ที่ตัวของ CZ เองนั้น เขาพยายามที่จะเรียนรู้และทำตามจากคำแนะนำดังกล่าว

Trend ในอนาคตของวงการ crypto

พิธีกรถาม CZ ว่า ในปี 2023 ที่กำลังจะมาถึงนี้ คุณคิดว่าจะมี trend อะไรเกิดขึ้นบ้าง?

โดยทาง CZ ก็ตอบว่า เขาก็ไม่รู้เหมือนกัน (555+) เพราะอย่างเมื่อตอนต้นปี 2021 เขาก็ไม่นึกว่า NFT หรือ Gam-Fi จะมาแรง

หรืออย่างเมื่อต้นปีของ 2020 เขาก็นึกไม่ถึงว่า DeFi จะมาแรง

หรือเมื่อต้นปี 2017 เขาก็นึกไม่ถึงว่าเรื่องของ ICO – Initial Coin Offering การระดมทุนแบบดิจิทัล นั้นจะมาแรง

ฉะนั้นการทำนายอนาคตเป็นเรื่องที่ยากมาก สิ่งที่เขาทำจึงเป็นการเฝ้าดูว่ามีอะไรที่กำลังมาแรงเกิดขึ้นบ้าง แล้วจากนั้นก็เข้าไปผลักดัน ไปสนับสนุนในเรื่องดังกล่าวดู

ยกตัวอย่างเช่น ในตอนนี้ ตัวของเขาเองนั้นยังไม่เข้าใจในเรื่องของ Metaverse สักเท่าไหร่นัก และเชื่อว่าหลายคนก็ยังไม่ค่อยเข้าใจในเรื่องนี้เช่นกัน แต่หากมี platform ใดที่มาแรงและสามารถดึงดูดผู้ใช้งานเข้าไปได้อย่างมหาศาล ตัวของ CZ นั้นเขาก็จะเข้าไปสนับสนุนโครงการดังกล่าวเช่น ช่วยในเรื่องของเงินทุน หรือเพิ่มสภาพคล่องให้กับเหรียญ Token ที่ platform นั้นสร้างขึ้นมา

ดังนั้นแทนที่จะคาดเดา trend เขาเลือกที่จะเฝ้าดูเทรนด์แล้วค่อยไปสนับสนุนในภายหลังซะมากกว่า

อุตสาหกรรม crypto จะฟื้นหรือไม่?

พิธีกรได้ถามว่า หลังจากที่ FTX ล่มสลายนั้น ผู้คนในตลาดนี้จะเข็ดขยาดหวาดกลัวที่จะเข้ามาเล่นในตลาดนี้เลยหรือไม่อย่างไร?

โดย CZ เขาคิดว่านวัตกรรมเป็นสิ่งที่วัดได้ยาก แต่ส่วนตัวของเขาก็คิดว่า ก็จะยังคงมีผู้สร้างนวัตกรรมส่วนใหญ่ก็ยังคงสร้างต่อไป

และเป็นโอกาสอันดีที่ Exchange กระดานเทรดรายเล็ก จะได้ผงาดขึ้นมา เพราะผู้เล่นรายใหญ่ได้หายไปแล้วรายหนึ่ง และอาจมีผู้คนอีกมากที่อยากสร้าง Exchange ขึ้นมาก็ได้

ส่วนระบบนิเวศของ Solana ก็ถูกผลกระทบจากการล่มสลายของ FTX แม้ว่าจะส่งผลให้ดูแย่ลง ดังนั้นเขาก็เลยคิดว่าผู้พัฒนาหรือ developer หลายคนคงอาจอยากย้ายไปหา blockchain ใหม่ ซึ่ง Binance blockchain ก็เป็นหนึ่งตัวเลือกดังกล่าว

แต่ผู้ที่อยู่ใกล้กับระบบนิเวศของ FTX ก็จะโดนผลกระทบมากหน่อย ฟื้นตัวได้ช้ากว่าเจ้าอื่น ๆ แต่ก็จะเกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ แต่โดยรวม ๆ แล้วเทคโนโลยีก็ยังคงอยู่ อินเทอร์เน็ตยังคงอยู่ และ blockchain ก็จะยังอยู่ ในท้ายที่สุดอุตสาหกรรมนี้ก็จะฝื้นตัวกลับมาได้

และผู้เล่นใหม่ที่จะเข้ามาแทนที่ก็จะแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมด้วย ซึ่งก็จะส่งเสริมการแข่งขันในอุตสาหกรรมนี้ขึ้นไปอีก ซึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี

CZ ฝากข้อคิดถึงเหล่าบรรดาผู้ประกอบการ

พิธีกรได้ถามคำถามสุดท้ายสำหรับวันนี้ว่า อยากให้ CZ ฝากข้อคิดที่เขาอยากส่งต่อให้กับเหล่าบรรดาผู้ประกอบการเพื่อนำไปปรับใช้

โดย CZ พูดว่า เขาคิดว่า นักธุรกิจไม่ว่าจะในอุตสาหกรรมไหน ก็มักจะมีกระบวนการอยู่สองสามขั้นตอนที่จะส่งผลให้ประสบความสำเร็จได้ นั่นก็คือ

ขั้นที่ 1 – Product Market Fit หาผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับตลาด

โดยเมื่อคุณมีไอเดีย และคุณได้ทดลองทำเพื่อดูว่าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมันมั่นคงหรือไม่ หรือมันสามารถดึงดูดให้ผู้คนเข้ามาเป็นผู้ใช้งาน และผู้ใช้งานก็บอกต่อและดึงคนอื่น ๆ เข้ามาใช้งานร่วมกันกับพวกเขาได้ ซึ่งถ้าหากคุณทำได้แบบนี้แล้ว ถ้าเช่นนั้นคุณก็มีผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมและสามารถเข้ากับตลาดได้แล้ว

หรือหากคุณสามารถทำกำไร หรือสามารถทำให้ธุรกิจเติบโตได้ หากคุณทำได้ นั่นก็เท่ากับว่าคุณเจอผลิตภัณฑ์ที่ใช่ แต่ก่อนหน้านั้น ตอนที่คุณยังอยู่ในขั้นตอนทดลอง คุณควรทดลองด้วยเงินทุนในจำนวนน้อยเสียก่อน

ขั้นที่ 2 – Scaling Phase ขยายผล

และเมื่อผลิตภัณฑ์เข้าที่เข้าทางแล้ว เมื่อนั้นคุณจึงจะเริ่มทุ่มทุนเพื่อขยายผลได้ โดยในขั้นตอนนี้คือการมุ่งขยายกิจการเป็นหลัก คุณจะมีรายได้เพิ่มขึ้น และสามารถทำการตลาดได้มากขึ้น และคุณจะสามารถเริ่มมองหา blockchain เพื่อเปล่อยเหรียญ หรือโทเคน เพราะเนื่องจากคุณมีผลิตภัณฑ์ที่เข้ากับตลาดได้แล้ว ดังนั้นโอกาสที่คุณจะล้มเหลวก็จะลดน้อยลงเป็นอย่างมาก

ขั้นที่ 3 – Maturing Phase ระยะการเติบโต

และเมื่อคุณเริ่มปล่อยโทเคน การที่จะเปลี่ยน business model จะไม่ง่ายแล้วทีนี้ เพราะทุกครั้งที่คุณเปลี่ยนแปลง business model ราคาโทเคนของคุณจะขึ้นลงไม่นิ่ง ราคาเหรียญจะแกว่งมาก และผู้ใช้ก็จะบ่นกร่นด่าคุณ

และเมื่อเราเติบโตไปถึงจุด ๆ หนึ่ง ผู้มีอำนาจก็จะเริ่มเข้ามามองหาการควบคุม ซึ่งตัวของ CZ เขาคิดว่านี่คือสามระยะหลักจากมุมมองของเขา

และเขาคิดว่าการใช้ blockchain crypto นั้นมันเป็นเครื่องมือที่ดีมากสำหรับการเร่งการเติบโตในระยะที่สอง แต่ไม่แนะนำให้ใช้มันสำหรับระยะแรกของการเริ่มต้นทำธุรกิจ

Resources