Blue O'Clock

สตูดิโอผลิตและพัฒนาสื่อการเรียนรู้ด้านการลงทุน ธุรกิจ จิตวิทยาและการพัฒนาตนเอง อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

How to

ฮาวทูรวย How To Get Rich by Naval Ravikant EP.5 ตอน เรียนรู้อย่างไรให้รวย

Naval เชื่อว่าการอ่านคือรากฐานสำคัญในการเรียนรู้ ซึ่งคนที่ร่ำรวยและประสบความสำเร็จทุกคนที่เขารู้จักนั้น ทุกคนต่างเป็นนักอ่านกันแทบทั้งสิ้น ดังคำกล่าวที่ว่า “คนอ่านหนังสือไม่ได้รวยทุกคน แต่คนรวยทุกคนล้วนแล้วแต่อ่านหนังสือ” ดังนั้นการที่คุณจะพัฒนาตนเอง ก็ให้คุณเริ่มต้นที่สร้างนิสัยรักการอ่านให้กับตนเองซะก่อน “Read What You Love Until You Love to Read.” โดยให้เริ่มต้นจากการอ่านในสิ่งที่คุณรัก จนกระทั่งคุณหลงรักในการอ่าน

ซึ่งโดยส่วนตัวของ Naval เองนั้นเขาบอกว่าการอ่านเพื่อเรียนรู้และพัฒนาตนเอง คือหนทางที่ดีที่สุด เร็วที่สุดสำหรับตัวเขา เหตุผลเพราะ เขาสามารถพัฒนาการอ่านอย่างรวดเร็วได้ค่อนข้างดี และแม้ว่าตัวเขาเองจะทำ Podcast ซึ่งแม้ว่าเราจะสามารถกดเร่งสปีดคลิปให้เร็วขึ้น 2 เท่า 3 เท่า ได้ก็ตาม แต่มันยากที่ย้อนกลับไปดูและทำไฮท์ไลท์ในส่วนเนื้อหาที่มีความสำคัญ ในขณะที่หนังสือนั้น สามารถทำได้ง่ายและสามารถทำได้อย่างรวดเร็ว

โดยให้คุณฝึกการอ่านจนกว่ามันจะกลายเป็น Habit หรือเป็นอุปนิสัยในการรักการอ่าน ซึ่งแน่ล่ะว่าการอ่านสำหรับหลายคนที่พึ่งเริ่มต้นนั้น มันเป็นเรื่องที่น่าเบื่อหน่าย อ่านแปบเดียวเดี๋ยวก็ง่วงหงาวหาวนอน ดังนั้นทาง Naval ก็แนะนำว่าให้คุณลองเริ่มต้นอ่านจากนิยายที่อ่านง่าย ๆ ก่อน แล้วสเต็ปถัดไปก็ค่อยเป็นนิยายวิทยาศาสตร์ ต่อไปก็เป็นหนังสือวิชาการวิทยาศาสตร์ แล้วคุณก็อาจจะต่อยอดจนเรียนจบสาขาวิทยาศาสตร์ ซึ่งกระบวนการเหล่านี้ให้มันดำเนินไปตามธรรมชาติของตัวคุณเอง ตามสิ่งที่คุณสนใจ

แต่ก็ต้องระวังว่า หนังสือในโลกนี้นั้นมีอยู่เยอะแยะเต็มไปหมด และแน่นอนว่าหนังสือที่ไม่มีประโยชน์ก็มีอยู่เยอะเช่นเดียวกัน ดังนั้นหากคุณไม่เลือกสิ่งที่จะอ่าน คุณก็จะสูญเสียเวลาไปโดยใช่เหตุ ดังนั้น การที่จะทำให้ตัวเรากรองได้ว่า หนังสือเล่มไหนเป็นเล่มที่ควรค่าแก่การอ่านหรือไม่นั้น ให้คุณเริ่มต้นที่หนังสือที่พูดถึงเรื่อง Basic สุด ๆ เรื่องที่เป็นความรู้พื้นฐานสำคัญในหมวดหมู่นั้น ๆ

ยกตัวอย่างเช่น หากคุณต้องการอ่านหนังสือเกี่ยวกับเรื่องของ Business คุณก็เริ่มต้นจากการอ่านหนังสือเกี่ยวกับการทำงานของระบบเศรษฐศาสตร์ของโลกนี้เสียก่อน

หรือถ้าหากคุณจะอ่านหนังสือเกี่ยวกับควอนตัมฟิสิกส์ขั้นสูง ก็ให้คุณเริ่มต้นจากหนังสือพื้นฐานของฟิสิกส์เสียก่อน

โดยหากคุณมีความรู้พื้นฐานที่ดี โดยเฉพาะในหมวดของ คณิตศาสตร์(mathematics) ฟิสิกส์(physics) และวิทยาศาสตร์(sciences) ติดตัวแล้วนั้น ไม่ว่าจะเป็นหนังสือเล่มไหนคุณก็สามารถลุยได้หมด

ต่อมาปัญหาที่เรามักจะเจอในห้องเรียนก็คือ หากเรามีพื้นฐานในเรื่องนั้น ๆ ไม่แน่นพอ เช่นในวิชาคณิตศาสตร์ พอเวลาอาจารย์สอนก็จะเริ่มมีสมการและสูตรเยอะแยะเต็มไปหมด พอเราตามเนื้อหาไม่ทัน สุดท้ายเราก็จะถูกทิ้งเอาไว้ด้านหลัง ได้แต่เพียงจดสูตรตามบนกระดานดำ โดยที่ไม่ได้เข้าใจที่มาที่ไปของสมการดังกล่าว ในขณะที่อาจารย์นั้นมีพื้นฐานที่แน่นอยู่แล้ว ทำให้เวลาที่อธิบายสูตรสมการต่าง ๆ พวกเขาก็ไม่จำเป็นที่จะต้องมานั่งอธิบายเบสิค

ยกตัวอย่างให้เห็นภาพว่า อย่างตึกระฟ้า พวกสูตรสมการต่าง ๆ ที่อยู่บนหอคอยนั้น มันจะไม่มีประโยชน์เลย หากตึกนั้นมีพื้นฐานโครงสร้างของตึกที่ไม่ดีพอ

ดังนั้นการที่เราท่องจำสูตรสมการต่าง ๆ มันก็จะไม่มีประโยชน์อะไรเลย หากเราไม่มีความรู้พื้นฐานในเรื่องดังกล่าว แต่ในขณะที่หากเรามีพื้นฐานมีเบสิคที่แน่นแล้ว ต่อให้คุณเจอหนังสือเล่มไหนคุณก็อ่านได้หมด สามารถซึมซับได้ และสามารถพิจารณาได้ว่า เนื้อหาในหนังสือเล่มใดที่มีเนื้อหาที่ถูกต้องหรือเล่มใดมีเนื้อหาที่ผิดเพี้ยนไป และข้อดีในยุคนี้ก็คือ คุณสามารถเข้าถึงเนื้อหาดี ๆ ผ่านโลกอินเตอร์เน็ต ที่มีเนื้อหาให้คุณเสพย์มากกว่าหอสมุดแห่งชาติซะอีก

ซึ่งวิธีการศึกษาตามธรรมชาติของมนุษย์เรานั้น จริง ๆ แล้ว เราควรเรียนรู้แบบเด็ก ที่เด็ก ๆ นั้น เวลาที่พวกเขากำลังเรียนรู้อะไรบางอย่าง พวกเขาก็จะเริ่มต้นจากการถามนู่นนี่นั่นคืออะไรเต็มไปหมด ในขณะที่ระบบการศึกษานั้นกลับไม่ค่อยเปิดโอกาสให้นักเรียนนักศึกษาได้ถามมากนัก เพราะเน้นไปที่การออกคำสั่งให้ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ กฎระเบียบของโรงเรียนซะมากกว่า เพื่อที่เวลาเรียนจบแล้ว ก็จะได้เข้าไปเป็นแรงงานในระบบที่ต้องปฏิบัติตามคำสั่งของโรงงาน โดยไม่ค่อยได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์สักเท่าไหร่นัก

โดย Naval บอกว่า การที่จะมีพื้นฐานที่ดีได้นั้น เราก็จำเป็นที่จะต้องเรียนรู้เรื่องของตรรกะ(Logic) หลักคิด วิธีคิด บวกกับหลักของคณิตศาสตร์ จะทำให้เราสามารถเข้าใจหลักคิดและวิธีการในเรื่องพื้นฐานของวิทยาศาสตร์ได้ และเมื่อคุณเข้าใจกระบวนการและหลักการของวิทยาศาสตร์ได้ คุณก็จะสามารถวิเคราะห์และแยกแยะได้ว่า ข้อมูลใดเป็นจริงข้อมูลใดเป็นเท็จ ในระหว่างที่คุณกำลังอ่านหนังสือเล่มนั้นอยู่

และแม้ว่าการอ่านหนังสือในช่วงแรก ๆ มันออกจะช้าไปสักหน่อย แต่เมื่อคุณเริ่มอ่านเกี่ยวกับเรื่องนั้น ๆ ไปสัก 30 เล่ม 50 เล่มแล้วล่ะก็ มันก็จะลื่นไหลไปอย่างรวดเร็ว ดังที่ Bruce Lee เคยกล่าวเอาไว้ว่า “I fear not the man who has practiced 10,000 kicks once, but I fear the man who has practiced one kick 10,000 times.” โดย Naval ให้ความหมายว่า อ่านหนังสือหมื่นหมวดหมู่ ไม่เท่าอ่านหมวดหมู่เดียวหมื่นครั้ง เพราะมันจะทำให้เรา มีข้อมูลแทบจะทุกด้านของเรื่องนั้น ๆ จนมีความเชี่ยวชาญในระดับสูง

และทักษะที่ถือว่าเป็นทักษะที่จำเป็นที่จะต้องเรียนรู้ในโลกยุคปัจจุบัน จะมีอยู่ด้วยกัน 5 ทักษะดังนี้

1 Reading (การอ่าน)

2 Writing/Speaking/Communication (การสื่อสาร)

3 Arithmetic/Mathematics (คณิตศาสตร์)

4 Persuasion (การโน้มน้าว)

5 Computer Programming (การเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์)

ซึ่งทักษะดังกล่าว เมื่อพัฒนาแล้ว เราสามารถใช้พลัง Leverage จากมันได้แบบฟรี ๆ คือทำน้อยแต่ได้มาก ยกตัวอย่างเช่น หากคุณมีทักษะการสื่อสารที่ดี บวกเข้ากับทักษะการโน้มน้าวและการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ตัวคุณเพียงคนเดียว ก็สามารถเข้าถึงผู้คนนับพันล้านคนทั่วโลกโดยมีต้นทุนแทบจะเป็นศูนย์

ส่วนการเรียนรู้เรื่องการทำธุรกิจแค่ภายในห้องเรียนอย่างมากเราก็ได้จะได้เรียนรู้แค่เพียง Case Study หรือกรณีศึกษาจากธุรกิจต่าง ๆ แต่นั่น Naval บอกว่า มันเป็นเศษเสี้ยวอันน้อยนิดมากที่จะมีผลในการทำธุรกิจ จนกว่าตัวคุณจะลงไปเล่นในสนามจริง ๆ อย่าอ่านหรือท่องตำรามาเพียงอย่างเดียว แต่จงเรียนรู้ผ่านการลงมือทำ (Learning by doing)

เขายกตัวอย่างว่า หากคุณจะเล่นเกมสักเกมให้เก่ง คุณไม่สามารถเก่งได้เพียงแค่อ่านจากตำรา คุณต้องลงเล่นเกมจริง ๆ ด้วย เพราะต่อให้คุณรู้ทฤษฎีหรือกฎการเล่นเกมนั้น ๆ ดีแค่ไหนก็ตาม แต่ถ้าไม่สามารถเอาไปใช้ในสนามจริงได้ มันก็เท่านั้น

แต่ต้องระวังว่า จำนวนชั่วโมงนั้นก็ไม่ได้การันตีว่าคุณจะเก่งขึ้น หากสิ่งที่คุณทำนั้น มันเป็นเรื่องจำเจ ซ้ำซาก และไม่ค่อยส่งผลต่อการเติบโตของธุรกิจสักเท่าไหร่ เช่นการ เปิดร้านค้าปลีก ตื่นขึ้นมาคุณก็จัดเรียงของ เช็คสต็อค เช็คสินค้า รับของ ส่งของ สั่งซื้อสินค้ามาไว้ในคงคลัง ต่อให้คุณทำมันเป็นพันเป็นหมื่นชั่วโมง มันก็อาจจะไม่มีอะไรดีขึ้น แต่ถ้าหากคุณตื่นขึ้นมาในวันใหม่ แล้วลองทำการตลาดแบบใหม่ ๆ ดู ถ้าการตลาดแบบที่ 1 ไม่ได้ผล ก็ลองแบบ 2 แบบที่ 3 ไปเรื่อย ๆ จนถึงจุด ๆ หนึ่งคุณจะมีความรู้แบบก้าวกระโดด เพราะคุณได้ทดลองทำในสิ่งใหม่ ๆ แต่เป็นการทำ Marketing เพียงเรื่องเดียว คุณวนเวียนกับเรื่องของ Marketing นับพันนับหมื่นชั่วโมง จนคุณมีความเชี่ยวชาญในการทำการตลาดอย่างยอดเยี่ยมที่ส่งผลให้ธุรกิจของคุณเติบโตอย่างมหาศาล

แล้วก็จบกันไปกับ Episode ที่ 5 แล้วพบกันในตอนต่อไปครับ

Resources