Blue O'Clock

สตูดิโอผลิตและพัฒนาสื่อการเรียนรู้ด้านการลงทุน ธุรกิจ จิตวิทยาและการพัฒนาตนเอง อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

How to

วิธีเปลี่ยนเงิน 3 แสน ให้กลายเป็น 1 ล้านล้านบาท by Warren Buffett

Warren Buffett เจ้าของฉายา “The Oracle of Omaha” พ่อมดแห่งโอมาฮ่า นักลงทุนแห่งเมือง Omaha ที่ ณ ปี 2021 เขามีทรัพย์สินอยู่ที่ 109,400 ล้านดอลล่าร์ฯ หรือราว ๆ 3.4 ล้านล้านบาท มหาเศรษฐีอันดับที่ 6 ของโลก

เมื่อปู่ ได้รับคำถามในงานประชุมใหญ่ประจำปี 2021 ของผู้ถือหุ้นในบริษัท Berkshire Hathaway ล่าสุด ว่า “คุณปู่ครับ ช่วยตอบผมหน่อยว่า ทำยังไงผมถึงจะหาเงินได้สัก 30,000 ล้านดอลล่าร์ฯ (ประมาณ 1 ล้านล้านบาท) ได้บ้างครับ”

ผู้คนในห้องประชุมถึงกับฮือฮากับคำถามนี้ไปตาม ๆ กัน ในใจคงคิดประมาณว่า แหม่พ่อหนุ่ม เอางั้นเลย

โดยปู่ก็ตอบสวนอย่างทันควันเลยว่า อันดับแรกสุด คุณต้องอายุน้อยซะก่อน ซึ่งถ้าถามปู่วันนี้ในวัย 90 ปี ที่เริ่มต้นจากศูนย์ ปู่ก็คงยากที่จะตอบได้เหมือนกัน

โอเค เข้าโหมดสาระกันต่อ

โดยปู่เริ่มต้นด้วยการเกริ่นนำก่อนว่า การสร้างสิ่งที่ใหญ่ มันก็เริ่มต้นมาจากสิ่งเล็ก ๆ ก่อน เฉกเช่นกับกฎของ snowball ที่หิมะก้อนใหญ่ก็เริ่มต้นจากหิมะก้อนเล็ก ๆ ที่กำลังกลิ้งลงมาจากเทือกเขา ซึ่งเทือกเขานั้นก็ต้องมีระยะทางที่ทอดยาวพอที่จะให้ก้อนหิมะค่อย ๆ พอกพูนจากก้อนเล็ก ๆ กลายเป็นก้อนใหญ่มหึมาได้ในที่สุด ซึ่งเปรียบได้กับการเริ่มต้นลงมือทำตั้งแต่อายุยังน้อยอยู่นั่นเอง และที่สำคัญไปกว่าอายุน้อยไม่แพ้กันนั่นก็คือ คุณจะต้องมีอายุอยู่จนถึงตอนแก่ได้ด้วย!

โดยปู่บอกว่าสิ่งที่เทียบเคียงกับหลักของ snowball ได้นั่นก็คือหลักการของดอกเบี้ยทบต้น ที่แม้คุณเริ่มต้นด้วยเงินทุนก้อนน้อย ๆ แต่พอวันเวลาผ่านไปนานขึ้น ด้วยพลังของดอกทบต้นก็สามารถเปลี่ยนจากเงินไม่กี่บาทให้กลายเป็นหลักล้านได้เช่นกัน

ซึ่งถ้าถามปู่ว่า จะเริ่มต้นจากศูนย์ยังไง ปู่ก็ตอบว่า เขาก็คงจะใช้วิธีการเดียวกันกับที่เขาสร้างฐานะขึ้นมาได้จนถึงทุกวันนี้ แม้ว่าจะเป็นหลักการและวิธีการที่เขาใช้เมื่อ 60-70 ปีที่แล้ว ที่เขาพึ่งเรียนจบระดับปริญญาตรี โดยสมมติว่ามีเงินเก็บสัก $10,000 ดอลล่าร์ฯ หรือประมาณ 3 แสนบาท สิ่งที่เขาจะทำทันทีหลังจากที่เรียนจบเลยก็คือ เขาจะนำเงินเก็บก้อนนี้ไปซื้อบริษัท โดยเริ่มต้นจากบริษัทเล็ก ๆ เนื่องจากจำนวนเงินที่จะนำไปลงทุนนั้นก็ไม่ได้มีมากมายอะไร ประกอบกับโอกาสในการที่บริษัทขนาดเล็กที่เติบโตเป็นบริษัทขนาดใหญ่ได้นั้น มันสามารถทำให้เงินทุนเพียงน้อยนิด สามารถเติบโตได้อีกหลายเท่า แถมบริษัทขนาดเล็กมักถูกผู้คนส่วนใหญ่มองข้ามศักยภาพของมัน

โดยปู่ได้เน้นย้ำว่า “การซื้อบริษัท” คือหนทางเดียวที่จะทำให้เงินงอกเงยอย่างมหาศาลได้ ซึ่งการซื้อบริษัทในที่นี้ปู่ไม่ได้หมายถึงว่าให้ซื้อทั้งบริษัท เพราะโลกของเรานั้น การที่จะเป็นเจ้าของบริษัทได้ เราสามารถลงทุนผ่านสิ่งที่เรียกว่าตลาดหุ้น โดยเราสามารถแบ่งเงินจำนวนเล็กน้อย เพื่อซื้อหุ้นบริษัทนั้น ๆ ก็เท่ากับว่า ตัวเราก็ได้เป็นเจ้าของร่วมกับบริษัทนั้นแล้วไปโดยปริยาย โดยจะต้องซื้อในราคาที่ดี และที่สำคัญคือ จะต้องเป็นบริษัทที่มีพื้นฐานธุรกิจที่ดีด้วย

และปู่ก็คอนเฟิร์มว่า วิธีการนี้ มันจะเวิร์คไปอีกเป็นร้อยปีนับจากนี้ หลักการนี้มันก็ยังคงใช้ได้อยู่ เพราะเอาจริง ๆ แค่รุ่นปู่รุ่นเดียวก็เกือบร้อยปีเข้าไปแล้ว มันก็ยังคงสร้างความมั่งคั่งให้กับปู่ได้อยู่

ประเด็นต่อมาคือ ปู่ใช้หลักของ “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” โดยปู่บอกว่า ไม่มีหรอกที่ จู่ ๆ จะมีคนมาบอกว่า ให้ลงทุนธุรกิจนั้นสิ ลงทุนธุรกิจนี้สิ อีกสิบปีมันจะเป็นบริษัทมหาชนแน่ ๆ ลงทุนวันนี้เป็นเศรษฐีในวันหน้า (ซึ่งถ้าใครมาชักชวนหรือเคลมอะไรประมาณนี้ ให้ระวังไว้ก่อนเลยว่า คุณอาจกำลังคุยอยู่กับมิจฉาชีพก็เป็นได้)

ดังนั้น คุณจำเป็นที่จะต้อง “ทำการบ้านอย่างหนัก” เพื่อค้นหาธุรกิจที่ดีและมีศักยภาพ โดยปู่ได้ยกตัวอย่างจากการที่เข้าไปลงทุนในบริษัท GEICO ในยุคแรก ๆ จนตอนนี้กลายเป็นบริษัทประกันภัยรถยนต์อันดับ 2 ของอเมริกา โดยข้อดีของธุรกิจประเภทนี้ก็คือ หลังจากที่ขายประกันให้กับลูกค้าได้แล้ว เงินมันจะมากองอยู่ที่บริษัท โดยยังไม่ต้องจ่ายค่าสินไหมจนกว่าลูกค้าจะเกิดอุบัติเหตุ ซึ่งทำให้บริษัทมีเงินสดอย่างมหาศาล ทำให้ในระหว่างนี้ ทางบริษัทก็สามารถนำเงินไปลงทุนในด้านต่าง ๆ ที่ให้ผลตอบแทนสูงได้

และด้วยเหตุนี้ GEICO จึงกลายเป็นแหล่งเงินทุนที่สำคัญ ให้บริษัท Berkshire Hathaway ของปู่ มีเงินไปลงทุนในบริษัทอื่น ๆ อีกเยอะแยะมากมาย

ซึ่งเมื่อปู่นึกย้อนกลับไปในช่วงแรก ๆ ที่ค้นพบโอกาสในการลงทุนในบริษัทนี้ หลังจากที่ค้นคว้าหาข้อมูล วิจัยและทำการบ้านอย่างหนัก เขาค่อนข้างมั่นใจว่า มันคือหนึ่งในการลงทุนที่ยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่เคยมีมา ณ เวลานั้น แต่พอกลับมาคุยกับคนอื่น ๆ รอบตัวเขา กลับไม่มีใครเข้าใจในสิ่งที่เขาพยายามจะสื่อ

ดังนั้นจงเชื่อมั่นในตนเอง เพราะถ้าหากคุณไปเชื่อคนอื่น ก็คงมีแต่บอกว่า อย่าไปลงทุนมันเลย ไม่เวิร์คหรอก บริษัทนั้นไม่น่าเติบโตได้ ไม่เห็นจะมีอนาคตตรงไหนเลย (เพราะอย่าลืมว่า หากย้อนเวลาไปหลายสิบปีก่อนหน้านี้ จำนวนรถยนต์บนท้องถนนยังไม่มากมายเท่าในปัจจุบัน ลูกค้าที่มีตังค์พอจะซื้อรถยนต์ได้ส่วนใหญ่ก็คนมีตังค์เท่านั้นแหละ หารู้ไม่พอมาถึงยุคปัจจุบันตลาดรถยนต์เติบโตอย่างมหาศาล ส่งผลให้ธุรกิจประกันก็เติบโตอย่างมหาศาลด้วยเช่นกัน ปู่มองขาดจริง ๆ)

ดังนั้น เราจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา และเราจะต้องรู้ว่าเรารู้อะไรและไม่รู้อะไรบ้าง แล้วให้เราลงทุนในขอบเขตที่เรารู้จักมันเป็นอย่างดีเท่านั้น

Resources