Blue O'Clock

สตูดิโอผลิตและพัฒนาสื่อการเรียนรู้ด้านการลงทุน ธุรกิจ จิตวิทยาและการพัฒนาตนเอง อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

THE CEO STORY

ประวัติ Lynda Weinman ผู้ก่อตั้ง Lynda.com โรงเรียนออนไลน์หมื่นล้าน

หากพูดถึง Lynda Weinman หลายคนอาจจะไม่ค่อยคุ้นเคยกันสักเท่าไหร่นัก และหากบอกว่า เขาคือผู้ก่อตั้งเว็บไซต์โรงเรียนออนไลน์อย่าง Lynda.com ที่สอนเกี่ยวกับ ธุรกิจ, ซอร์ฟแวร์, เทคโนโลยี และกราฟฟิคดีไซน์ ก็อาจจะยังนึกไม่ออกอยู่ดี

แต่หากบอกว่า เมื่อช่วงเดือนเมษายน ปี 2015 เว็บไซต์โซเชียลยักษ์ใหญ่ที่เกี่ยวกับด้านธุรกิจและประวัติการทำงานศูนย์รวม Professional มืออาชีพอย่าง LinkedIn ได้เข้าซื้อเว็บไซต์ Lynda.com ไปในราคา 1.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือเกือบ ๆ 5 หมื่นล้านบาท แล้วล่ะก็ คงจะเริ่มเตะหูเตะตาใครหลาย ๆ คนแล้วว่า คุณป้าที่หน้าตาบ้าน ๆ ดูแล้ว ไม่น่าจะทันในยุคเทคโนโลยีคนนี้นั้น สามารถสร้างเว็บไซต์โรงเรียนออนไลน์ให้เติบโตขนาดนี้ได้อย่างไร โดยที่ช่วงแรกในการทำเงินร้อยล้านแรกนั้น ไม่พึ่งเงินจากนักลงทุนเลยด้วยซ้ำไป

และนี่ก็คือ เรื่องราวของ Lynda Weinman ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ Lynda.com ที่เริ่มต้นจากการจดเช่าโดเมนเนม Lynda.com เพียง 35 ดอลล่าร์ฯ

หากกล่าวถึง Lynda.com นั้น ประกอบไปด้วยผู้ร่วมก่อตั้งด้วยกันสองคนก็คือ Lynda Weinman และ Bruce Heavin ซึ่งเป็นสามี คู่ชีวิตของ Lynda นี่เอง

Lynda Susan Weinman เกิดเมื่อวันที่ 24 มกราคม ปี 1955 ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา เธอเติบโตมาในครอบครัวที่แตกแยก เพราะพ่อและแม่ของเธอนั้นหย่าร้างและแยกกันอยู่ตั้งแต่เธอยังเด็ก

หลังจากที่เธอจบการศึกษาในคณะมนุษยศาสตร์ ที่ The Evergreen State College ในเมือง Olympia รัฐ Washington ได้ปีกว่า ๆ เธอก็ได้เริ่มต้นเส้นทางนักธุรกิจด้วยการเปิดร้านค้าปลีก ขายของทั่วไปอยู่ด้วยกันสองร้านก็คือ Vertigo on Melrose และ Vertigo on Sunset ที่ Los Angeles แต่ก็ต้องปิดกิจการไปในปี 1982 หรือเรียกง่าย ๆ ว่าเจ๊งนั่นเอง

ต่อมาเธอก็ค้นหางานในฝันเจอ เมื่อเธอได้มีโอกาสทำงานในฐานะฟรีแลนซ์ในตำแหน่งทำแอนิเมชั่นและสเปเชียลเอฟเฟกต์ ให้กับภาพยนตร์ชื่อดังอย่างเช่น RoboCop 2 (1990), Bill & Ted’s Excellent Adventure (1989) และ Star Trek V: The Final Frontier (1989)

ต่อมาเธอได้มีโอกาสเข้าไปเป็นคุณครูที่สอนในวิชาเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ โดยเน้นที่การใช้เอฟเฟคท์และแอนิเมชั่นต่าง ๆ เป็นหลัก โดยเธอได้มีโอกาสเข้าไปสอนในสถานบันที่มีชื่อเสียงต่าง ๆ เช่น  Art Center College of Design ที่เมือง Pasadena รัฐ California (1989 – 1996), UCLA, American Film Institute และ San Francisco State University โดยเธอสอนในวิชา computer graphics, animation, interactive design, และ motion graphics

และหลังจากที่เธอพยายามเสาะหาหนังสือและข้อมูลที่น่าจะเป็นประโยชน์แก่นักเรียนของเธอ ซึ่งเมื่อเธอได้เข้าไปค้นหาข้อมูลภายในห้องสมุดก็พบว่า หนังสือเกี่ยวกับเรื่องของการออกแบบเว็บไซต์ในสมัยนั้น มันอ่านยากมาก ขนาดเธอที่เป็นผู้เชี่ยวชาญยังต้องใช้เวลาทำความเข้าใจสักพักใหญ่ ๆ ถึงจะสามารถเข้าใจเนื้อหาได้ ดังนั้นถ้าเป็นคนทั่ว ๆ ไปที่พึ่งเริ่มต้นศึกษาแล้วล่ะก็ไปไม่รอดแน่ ๆ นั่นมันทำให้เธอได้รับแรงบันดาลใจในการเขียนหนังสือที่ชื่อ designing web graphics ในภาษาง่าย ๆ ที่ผู้เริ่มต้นก็สามารถเข้าใจได้ และในเวลาต่อมามันได้กลายเป็นหนังสือขายดีในปี 1995 ทำให้เธอเริ่มเป็นที่รู้จักและยอมรับจากคนในวงการกราฟฟิคมากยิ่งขึ้น

ในปี 1995 เดียวกันนี้นี่เองที่เธอได้จดทะเบียนเช่าโดเมน Lynda.com ขึ้นมา ซึ่งเธอได้ไอเดียมาจากการที่เธอได้รับอีเมลฉบับหนึ่งที่ชื่อ debbie@debbie.com ซึ่งเธอคิดว่ามันจำได้ง่ายโดยเฉพาะเวลาที่ใช้ในการติดต่อกับกลุ่มนักเรียนของเธอ เธอก็เลยนำชื่อตัวเองมาใช้เป็นชื่อเว็บไซต์ และเธอกับสามีก็ได้ร่วมกันจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลในอีก 2 ปีถัดมาคือ ในปี 1997 ที่เมือง Ojai รัฐ California

ซึ่งจะว่าไปแล้ว เว็บไซต์ Lynda.com นั้น เริ่มแรกเดิมที มันไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้เป็นเว็บไซต์โรงเรียนออนไลน์ด้วยซ้ำไป เพราะเธอสร้างมันขึ้นมา เพื่อต้องการให้เป็นแหล่งรวมข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องของกราฟฟิคดีไซน์ต่าง ๆ สำหรับนักเรียนของเธอ ที่เข้ามาหาข้อมูล ซึ่งคุณคงจะพอนึกภาพออกว่า ในยุคที่ทั้ง Google และ Youtube ยังไม่ถือกำเนิดขึ้น การหาข้อมูลนั้นหาได้เฉพาะในห้องสมุดและหนังสือ

และหลังจากที่หนังสือสอนการออกแบบเว็บไซต์ของเธอวางจำหน่าย ต่อมาเว็บไซต์ก็ได้กลายเป็นเว็บไซต์ตัวอย่างสำหรับเนื้อหาในหนังสือของเธอ และใช้เป็นช่องทางหนึ่งในการโปรโมทหนังสือ และหนังสือของเธอได้รับความนิยมเป็นอย่างสูง

ในช่วงปิดเทอมฤดูใบไม้ผลิ Bruce Heavin สามีของเธอ ก็มีไอเดียหนึ่งผุดขึ้นมาว่า จะทดสอบลองเปิดคลาสเรียนสอนออกแบบเว็บไซต์ดูสักครั้ง โดยใช้เงินเก็บจากค่าลิขสิทธิ์หนังสือจำนวน 20,000 เหรียญฯ ในการติดต่อเช่าห้องแลปคอมพิวเตอร์ของโรงเรียนในช่วงปิดเทอม แล้วลองแปะโฆษณาบนเว็บไซต์ Lynda.com ดูว่า จะมีนักเรียนเข้ามาสมัครลงเรียนหรือไม่ ซึ่งปรากฏว่า คลาสนี้ถูกจองเต็มอย่างรวดเร็วโดยมีนักเรียนลงทะเบียนเรียนทั้งปี และนอกจากนั้นยังได้เปิดโลกทัศน์ของ Lynda และ Bruce อีกด้วยว่า นอกจากจะมีนักเรียนต่างรัฐเข้ามาเรียนกับเธอแล้ว นอกจากนั้นยังมีนักเรียนที่บินมาไกลจากประเทศออสเตรีย บินตรงเพื่อมาเข้าเรียนการออกแบบเว็บไซต์กับเธออีกด้วย

4 ปีถัดมา จนกระทั่งกิจการดำเนินมาถึงปี 2001 Lynda.com กลายเป็นบริษัทที่มีพนักงานกว่า 35 คน ที่สามารถทำรายได้รวมแล้วกว่า 3.5 ล้านเหรียญฯ หรือราว ๆ กว่า 100 ล้านบาท แต่แล้วในปีนี้นี่เอง ที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่ที่เรารู้จักกันในชื่อ dot-com crash หรือภาวะเศรษฐกิจฟองสบู่ดอตคอมแตก ซึ่งธุรกิจที่เป็นไอทีและเทคโนโลยีรวมไปถึงเว็บไซต์ต่าง ๆ เจ๊งกันระนาว เพราะมีมูลค่าในตลาดหุ้นสูงกว่าความเป็นจริง อีกทั้งยังมีเหตุการณ์ 9/11 ที่มีผู้ก่อการร้ายจี้เครื่องบินโดยสารและปฏิบัติการพลีชีพพุ่งชนตึกแฝดเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์

และแน่นอนว่า ธุรกิจของ Lynda.com เองก็รับผลกระทบจากเหตุการณ์นี้ไปเต็ม ๆ เธอกับสามี จึงจำใจต้องลดขนาดขององค์กรโดยการ Layoff พนักงานเกืบทั้งหมด ซึ่งเหลืออยู่เพียง 9 คน รวมไปถึงก็ต้องยกเลิกสัญญาเช่าสถานที่ที่ใช้เป็นโรงเรียนสอนออกแบบเว็บไซต์ของเธอลงด้วย

ต่อมาในปี 2002 เพื่อแก้วิกฤตจากการที่ไม่มีแม้เงินจะเช่าสถานที่ให้นักเรียนมาเรียน เธอจึงเริ่มบันทึกเทปวีดีโอและให้นักเรียนเข้าเรียนผ่านบนเว็บไซต์ Lynda.com โดยเธอได้ไอเดียในการเก็บเงินแบบเป็นรายเดือนมาจากเว็บไซต์ดูหนังออนไลน์ ซึ่งเธอได้นำมาใช้กับ Lynda.com โดยในช่วงแรกนั้น เธอเก็บค่าบริการจากนักเรียนเดือนละ 25 ดอลล่าร์ฯ ซึ่งในยุคนั้นมันยังเป็นโมเดลธุรกิจที่ใหม่อยู่มาก ทำให้แทบไม่มีคนมาสมัครเรียนกับเธอเลย ซึ่งถือได้ว่า เป็นยุคมืดของ Lynda.com เลยก็ว่าได้ ว่าธุรกิจจะอยู่หรือไป

จนกระทั่งมีนักเรียนสมัครเรียนเป็นจำนวน 1,000 คนแรก แม้จะมาอย่างช้า ๆ แต่นั่น มันก็เพียงพอที่จะทำให้ธุรกิจของ Lynda.com ลืมตาอ้าปากขึ้นมาได้ในที่สุด ซึ่งเท่าที่เธอศึกษาโมเดลธุรกิจจากเว็บไซต์ดูหนังออนไลน์ก็พบว่า ในช่วงแรกนั้นมันจะค่อย ๆ เติบโต แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป รายได้ของพวกเขาก็เพิ่มทวีคุณเป็น 2 เท่าในทุก ๆ ปี โดยในปี 2004 เว็บไซต์ Lynda.com ก็มีคอร์สเรียนมากกว่า 100 คอร์ส

จนกระทั่งในปี 2006 ธุรกิจของเธอ ก็เติบโตขึ้นจากเดิมเป็น 10 เท่า โดยมีนักเรียนลงทะเบียนเรียนแล้วกว่า 100,000 คน และ Lynda ก็เฉลิมฉลองความสำเร็จในครั้งนี้ โดยการพาพนักงานในบริษัทรวมไปถึงครอบครัวของพนักงานรวมแล้วกว่า 150 ชีวิต ยกแผงกันไปเที่ยวที่ Disneyland แบบสนุกสุดเหวี่ยงกันเลยทีเดียว

ซึ่งเคล็ดลับที่ใช้ในการบริหารงานกับคนในองค์กรก็คือ การปฏิบัติต่อพนักงานเสมือนว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน ซึ่งพนักงานทั้ง 150 คนนั้น Lynda สามารถจำชื่อพนักงานของเธอได้ทุกคน

และเคล็ดลับอีกข้อที่น่าสนใจก็คือ ในเมื่อโลกปัจจุบันมี Content ฟรีเยอะแยะอย่างมากมายที่สามารถหาได้ตาม Google หรือ Youtube ได้แบบฟรี ๆ แต่เพราะเหตุใดผู้คนจึงได้ลงทะเบียนเรียนกับทาง Lynda.com ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจากเดือนสู่เดือน จากปีสู่ปี

ซึ่ง Lynda Weinman ได้อธิบายว่า

ข้อที่ 1 – Lynda.com เริ่มต้นธุรกิจเมื่อตอนที่แทบจะไม่มีคู่แข่งเลย สังเกตได้จากการที่มีนักเรียนบินไกลมาจากประเทศออสเตรียเพื่อมาลงเรียนกับเธอ ตอนที่เธอยังสอนในห้องเรียนอยู่

ข้อที่ 2 – เธอมีชื่อเสียงก่อนเปิดตัวธุรกิจ เนื่องจากก่อนหน้าที่เธอจะสร้าง Lynda.com เธอเป็นที่รู้จักจากหนังสือที่เธอเขียนขึ้นมาที่ชื่อ Designing Web Graphics และยอดขายก็ขายดีอย่างถล่มถลาย จนทำให้เธอรู้จักในวงกว้างของนักอ่านและตัดสินใจที่จะมาลงเรียนบนเว็บไซต์ Lynda.com ในเวลาต่อมานั่นเอง

ข้อที่ 3 – เกิดการตลาดแบบปากต่อปากขึ้น ซึ่งเป็นการตลาดที่ทรงพลังที่สุดในบรรดาการตลาดแทบทุกชนิด เพราะนอกจากจะไม่ต้องเสียเงินในการทำการตลาดแล้ว คนที่ขายสินค้าให้เธอก็คือลูกค้าของเธอนั่นเอง เพราะเมื่อลูกค้าของเธอพึงพอใจเนื้อหาในคอร์สเรียนเป็นอย่างมาก ลูกค้าก็จะเริ่มบอกต่อเพื่อน ๆ ที่รู้จักกันโดยแนะนำให้มาลงเรียนบนเว็บไซต์ Lynda.com และสิ่งที่จะทำให้เกิดการตลาดแบบ Word of mouth ก็คือ การโฟกัสไปที่การสร้างสินค้าที่ดี ซึ่งในทีนี้ก็คือ การที่ Lynda โฟกัสในเรื่องของคุณภาพของเนื้อหาในคอร์สเรียนให้ออกมาดีที่สุดนั่นเอง

ข้อที่ 4 – ชนะคู่แข่งออฟไลน์แบบไม่เห็นฝุ่น ในด้านของราคาและความสะดวกสบาย ซึ่ง Lynda มองว่า นอกจาก Youtube ที่มีวีดีโอให้ดูฟรีแล้ว เธอก็ไม่เห็นคู่แข่งคนไหนที่ทำออนไลน์เลย ซึ่งการที่เริ่มต้นทำออนไลน์เป็นเจ้าแรก ๆ และเลือกเฉพาะหัวข้อที่เป็น Nich Market หรือเฉพาะทางมาก ๆ อย่างออกแบบเว็บไซต์นั้น เมื่อลูกค้าเปรียบเทียบกับโรงเรียนเจ้าอื่น ๆ ที่มีแต่การสอนแบบต้องเดินทางไปเรียนในห้องเรียน ที่มีข้อจำกัดเรื่องของสถานที่และเวลาเรียน แถมเมื่อคำนวณค่าใช้จ่ายดูแล้ว การเรียนบนเว็บไซต์ Lynda.com ก็ดูเข้าท่า เพราะนอกจากจะไม่ต้องเสียเงินและเวลาในการเดินทางแล้ว ยังสามารถกลับมาดูย้อนหลังได้ตลอด ตราบใดที่ยังคงจ่ายค่าสมาชิกรายเดือนอยู่

ข้อที่ 5 – คอร์สเรียนถูกสร้างจากผู้เชี่ยวชาญตัวท็อป ๆ ในสาขานั้น ๆ ซึ่งนั่นมันทำให้ผู้เรียน เลือกลงทะเบียนเรียนกับ Lynda.com แทนที่จะไปวัดดวงกับการเรียนฟรีบน Youtube ที่มีทั้งดีและไม่ดีปะปนกันไป แต่หากเรียนบน Lynda.com ก็มั่นใจได้เลยว่า มีแต่ผู้เชี่ยวชาญตัวท็อป ๆ ในวงการที่มีตัวตนและผลงานที่รับรองแล้วว่า เรียนไปได้เรื่องอย่างแน่นอน

ข้อที่ 6 – Lynda.com มีโปรโมชั่นให้ทดลองเรียนฟรีเยอะแยะมากมาย ซึ่งเสมือนกับว่า เป็นคอร์สที่ให้นักเรียนได้ลองเรียนลองชิมก่อนว่า คุณภาพของคอร์สเรียนนั้นได้ตรงตามที่ต้องการหรือไม่ และหากต้องการไปต่อ ก็สมัครลงทะเบียนเรียนแบบรายเดือน โดยไม่มีข้อผูกมัดใด ๆ

ต่อมาในปี 2008 จากเดิมที่มีคอร์สสอนเฉพาะการออกแบบและดีไซน์เว็บไซต์ Lynda.com ก็ได้เริ่มขยายหมวดหมู่เพิ่มเติมขึ้นมาคือ creative, artist และ entrepreneur

และหลังจากที่ Lynda.com ดำเนินกิจการไปได้ 18 ปี จนกระทั่งในเดือนมกราคม ปี 2013 Lynda.com ก็ได้รับเงินลงทุนจาก Venture Capital หรือกลุ่มนักลงทุนอย่าง Accel Partners และ Spectrum Equity เป็นจำนวนกว่า 103 ล้านเหรียญฯ หรือราว ๆ กว่า 3 พันล้านบาท ในการขยายกิจการอย่างรวดเร็ว จนมีพนักงานประจำกว่า 500 คน และมีคุณครูในสังกัดอีกกว่า 140 คน โดยตกลงส่วนแบ่งกับครูผู้สอนเป็นแบบ sharing revenue model หรือแบ่งจากยอดขายตามสัดส่วนที่ตกลงกันเอาไว้ โดยในช่วงแรกนั้น Lynda.com โฟกัสหัวข้อการสอนในหมวดหมู่ของ software และ teacnology ซะส่วนใหญ่ เพราะตัวของผู้ก่อตั้งเองนั้น มีพื้นฐานมาจากการทำแอนิเมชั่นและสเปเชี่ยลเอฟเฟคท์มานั่นเอง

ถัดมาอีกเพียง 2 ปี ในวันที่ 14 มกราคม ปี 2015 Lynda.com ก็ได้ประกาศระดมทุนอีกครั้ง เป็นจำนวนเงินกว่า 186 ล้านเหรียญฯ หรือราว ๆ 6 พันล้านบาท โดยได้เงินจากกลุ่มนักลงทุน TPG Capital เข้ามาเสริมในครั้งนี้

โดย Lynda.com ได้ซื้อกิจการ video2brain บริษัทสัญชาติออสเตรีย ที่เป็นเว็บไซต์โรงเรียนออนไลน์ที่สอนเกี่ยวกับ web design และ programming โดยรองรับถึง 4 ภาษาด้วยกัน คือ ภาษาเยอรมัน, ภาษาฝรั่งเศส, ภาษาสเปน และภาษาอังกฤษ

และนอกจากนั้น Lynda.com ยังได้เข้าซื้อกิจการของ Compilr ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพที่สร้างแพลตฟอร์มให้คนมาเรียนรู้การเขียนโค้ดดิ้งและโปรแกรมมิ่งบนคลาวน์ผ่านเว็บบราวเซอร์ ซึ่งจุดประสงค์ก็คือ ต้องการให้มาพัฒนาในส่วนของการรองรับ User และคอร์สวีดีโอจำนวนมากบน Lynda.com นั่นเอง

ถัดจากนั้นไปอีกเพียงไม่ถึง 3 เดือน ในวันที่ 7 เมษายน ปี 2015 นี้นี่เอง ที่ LinkedIn ได้ยื่นเสนอเข้าซื้อกิจการของ Lynda.com ในราคา 1.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือเกือบ ๆ 5 หมื่นล้านบาท โดยดำเนินการแล้วเสร็จในวันที่ 14 พฤษภาคม หลังจากนั้นเธอก็ได้ลาออกจากบริษัท แต่ยังคงถือหุ้น Lynda.com เอาไว้อยู่ จนกระทั่งในวันที่ 13 มิถุนายน ปี 2016 บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Microsoft ก็เสนอซื้อกิจการของ LinkedIn ไปในราคา 26 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือราว ๆ 8 แสนล้านบาท โดยปิดดีลแล้วเสร็จในวันที่ 8 ธันวาคม ปี 2016 และตั้งแต่ปี 2017 เป็นต้นมา Lynda.com ก็ได้รวมเข้ากับระบบเว็บไซต์ LinkedIn Learning ซึ่งปัจจุบันได้ให้บริการแก่องค์กรต่าง ๆ ทั่วโลกกว่า 10,000 บริษัท โดยมีคอร์สเรียนกว่า 7,000 คอร์สเลยทีเดียว

Lynda Weinman ในวัย 64 ปี ซึ่งในปี 2017 เธอได้ถูกจัดอันดับให้เป็นเศรษฐินีชาวอเมริกาที่สร้างฐานะขึ้นมาด้วยตนเอง เป็นลำดับที่ 55 โดยมีทรัพย์สินอยู่ที่ 280 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือราว ๆ 9 พันล้านบาท

และนี่ก็คือเรื่องราวความสำเร็จในชั่ว (20 ปี) ข้ามคืน ที่ทำให้เธอกลายเป็นเศรษฐีพันล้าน

Lynda Weinman เคยกล่าวเอาไว้ว่า

“Making money is something you need to do for a living, but the drive to build something of value is much more powerful.”

หมายถึง การทำเงินนั้นเป็นสิ่งจำเป็นที่คุณต้องทำเพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง แต่การที่สร้างคุณค่าอะไรสักอย่างหนึ่งขึ้นมาบนโลกใบนี้นั้น มันมีพลังมากกว่าเงินตราเสียอีก

– Lynda Weinman – ผู้ก่อตั้ง Lynda.com

 

Resources