Blue O'Clock

สตูดิโอผลิตและพัฒนาสื่อการเรียนรู้ด้านการลงทุน ธุรกิจ จิตวิทยาและการพัฒนาตนเอง อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

Bitcoin and Cryptocurrency

วิธีลงทุน Bitcoin ให้รวย สไตล์ Anthony Pompliano EP.4 ตอน เสรีภาพทางการเงิน

Anthony Pompliano เขาได้ไอเดียในการซื้อ Bitcoin ที่มีจุดเริ่มต้นมาจากเรื่องของ Purchasing Power หรืออำนาจในการซื้อเพิ่มขึ้นเมื่อเขาหันมาถือ bitcoin ในขณะที่อำนาจในการซื้อลดลงเมื่อเขาถือเงินดอลล่าร์หรือเงิน fiat โดยหากพูดในภาพรวม ๆ แล้วมันก็คือเรื่องของ Finance เรื่องของการเงิน นั่นเอง

แต่อันที่จริงแล้ว เขากำลังมองหาสิ่งที่สามารถกักเก็บมูลค่าเอาไว้ได้อยู่โดยเฉพาะสิ่งที่สามารถกักเก็บมูลค่าของเวลาในชีวิตของเขา โดยเขามองว่าตัวของ Money นั้นคือหน่วย ๆ หนึ่งที่สามารถเซฟเวลาของเราเก็บเอาไว้ได้

ซึ่งคอนเซ็ปต์นี้มันอาจจะดูนอกกรอบไปสักนิด แต่ Pomp เขาก็พยายามอธิบายว่า ทุกวันนี้เราทำงานไปเพื่ออะไร ก็เพื่อให้ได้รับมาซึ่งเงิน หรือที่หลายคนมักคุณกับประโยคที่ว่า เวลาเป็นเงินเป็นทอง เพราะเราต้องเอาเวลาของเราไปทำงาน ไปทำประโยชน์ให้กับผู้อื่น ไปสร้าง Asset บางอย่างให้มันเติบโตเพื่อให้เงินงอกเงย สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ต้องแลกด้วยเวลาของเรา

ซึ่งถ้าหากเรามีเงินเยอะ ๆ เราก็สามารถใช้เงินเป็นเครื่องช่วยทุ่นแรงเพื่อให้เรามีเวลาเหลือเพิ่มมากขึ้น แต่หากเรามีเงินน้อย เราก็ต้องใช้เวลาของเราให้มากขึ้นเพื่อไปแลกกับเงิน ดังนั้น Pomp เขาจึงมองว่า Money คือหน่วยหนึ่งของเวลา

และเมื่อเขาใช้คอนเซ็ปต์นี้ แล้วลองนำมาเปรียบเทียบการทำงานในชีวิตจริง เช่น สมมติว่าวันนี้เขาต้องใช้เวลา 1 ชั่วโมงในการทำงานให้เสร็จ ซึ่งเขาจะได้รับค่าเหนื่อยเป็นจำนวน $10 แล้วจากนั้นเขาก็นำเงินนี้ไปฝากธนาคารเอาไว้ แล้วก็พบว่าในอนาคตอีกสิบปีข้างหน้าเขาต้องใช้เวลาในการทำงานถึง 2 ชั่วโมง แต่กลับได้รับผลตอบแทน $10 เท่าเดิม ซึ่งกลายเป็นว่า ใช้เวลาเยอะขึ้น แต่ได้ผลตอบแทนที่น้อยลง ซึ่งพอยิ่งคิดแบบนี้ก็จะพบว่า ยิ่งเราแก่ตัวลงเราก็ยิ่งต้องทำงานหนักขึ้นในขณะที่ร่างกายนั้นก็ไม่ได้ฟิตแบบเมื่อตอนที่ยังหนุ่ม ๆ อยู่ แถมยังพบว่าเงินที่ฝากธนาคารเอาไว้ยังซื้อของได้น้อยลงอีก มันทำให้เขาคิดได้ว่า ถ้าหากเรานำเงินเหล่านี้ไปลงทุนใน Asset บางอย่างที่ในระยะยาวมันเพิ่ม Purchasing Power หรือเพิ่มอำนาจในการจับจ่ายใช้สอยได้มากยิ่งขึ้นก็จะดีมาก เพราะในอนาคตเจ้าเงิน $10 ของเขาที่ฝากเอาไว้ในทรัพย์สินดังกล่าวมันจะเติบโตขึ้น นั่นจึงทำให้ในอนาคตเขาสามารถที่จะพักผ่อนหรือหยุดทำงานได้สัก 2-3 ชั่วโมง จากเงินลงทุนใน Asset นั้น ๆ ที่มันเติบโต

และคนที่ร่ำรวยทุกคนต่างรู้ดีว่า เวลามีค่ามากแค่ไหน ดังนั้นพวกเขาจึงใช้เงินในการซื้อเวลาให้กับตัวเองได้ เช่น ใช้เงินเพื่อจ้างคนอื่น ๆ เข้ามาช่วยทำงาน หรือนำเงินไปลงทุนใน Asset ที่มีผลตอบแทนกลับคืนมา

ซึ่ง Bitcoin ก็คือหนึ่งใน Asset ที่มีการเติบโตมาตลอดในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมา โดยมันสามารถรักษา Purchasing Power หรือรักษาอำนาจในการจับจ่ายใช้สอยไม่ให้ลดลงได้ ทำให้การลงทุนใน Bitcoin นั้น สามารถช่วยซื้อเวลา ส่งผลให้เมื่อวันเวลาผ่านไปเราก็สามารถลดชั่วโมงในการทำงาน โดยที่ไม่ต้องทำงานหนักไปตลอดได้

ในส่วนต่อมาที่ Bitcoin สามารถให้ได้ก็คือ เรื่องของการเพิ่มอำนาจอธิปไตยทางการเงินในระดับส่วนบุคคลให้มีมากยิ่งขึ้น ซึ่งจากตัวอย่างที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ที่ได้ยกตัวอย่างในเรื่องของการกดเงินจากตู้ ATM นั้น หากเรามีเงินเหลือน้อยกว่าขั้นต่ำที่ทางธนาคารกำหนดเอาไว้ก็จะไม่สามารถถอนเงินนั้นออกมาใช้ได้

โดยมีคำกล่าวนึงจากเพื่อนของเขาเคยกล่าวเอาไว้ว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณฝากเงินไว้ในบัญชีธนาคาร เงินนั้นจะไม่ใช่ของคุณอีกต่อไป ยกตัวอย่างจากเหตุการณ์ในประเทศไซปรัส(Cyprus) ที่รัฐบาลล้มเหลวในเรื่องของการเงิน แล้วธนาคารก็ออกนโยบายว่า จะจัดเก็บภาษีเงินฝากเป็นจำนวน 9.9% หากบัญชีธนาคารใดมีเงินฝากเกินกว่า 100,000 ยูโร ก็จะถูกทางธนาคารไซปรัสยึดเงินไปดื้อ ๆ เลย ก็เพราะเงินนั้นมันอยู่ที่พวกเขาแล้วนั่นเอง

ดังนั้นเราจึงจำเป็นที่จะต้องเริ่มตระหนักแล้วว่า อย่างน้อยสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนคนทั่วธรรมดา ๆ ทั่วไปนั้น ควรจะได้รับสิทธิ์ในการปกป้องและรักษาทรัพย์สิน รักษาความมั่งคั่งได้ด้วยตนเอง ซึ่งถ้าหากคุณยังยืนยันที่จะเก็บเงินไว้ในรูปแบบของ Fiat แต่เปลี่ยนจากฝากธนาคารมาฝังไว้ในสวนหลังบ้านแล้วล่ะก็ มันก็ยังคงมีโอกาสสูงที่คุณอาจจะถูกปล้นได้หากคุณเก็บเงินจำนวนมากเอาไว้ในบ้านของคุณ ซึ่งหากไม่ต้องการโดนใครมาบุกรุกก็ต้องใช้งบประมาณอย่างมากในการยกระดับการป้องกันเพื่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน

แต่ในขณะที่ Bitcoin นั้นสามารถมอบอำนาจอธิปไตยให้กับระดับปัจเจกบุคคลทั่วไปที่สามารถถือครองและรักษาความปลอดภัยเอาไว้บนเทคโนโลยี blockchain ที่ไม่มีใครสามารถยึดมันไปจากคุณได้ตราบใดที่มีคุณคนเดียวที่รู้ Private Key หรือกุญแจส่วนตัว

แต่ก็โอเคแหละว่า ในประเทศที่เจริญแล้ว ก็คงไม่ได้กังวลในเรื่องนี้อะไรมากมายสักเท่าไหร่นัก ส่วนใหญ่ก็ยังคงเลือกฝากเงินสดไว้ในธนาคาร แล้วเวลาจะใช้เงินก็สมัครบัตรเดบิต บัตร ATM ไปกดตามตู้หรือไม่ก็โอนผ่านแอพธนาคารเอาก็ง่ายดี สะดวกดี ไม่ต้องวุ่นวายอะไรกับการรักษาความปลอดภัยหรือไม่ได้กังวลอะไรกับอำนาจอธิปตง อธิปไตย อะไรสักเท่าไหร่นัก

แต่ในขณะที่ประเทศที่กำลังพัฒนาอยู่นั้น นี่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่มาก ยกตัวอย่างเช่น อย่างในประเทศเวเนซูเอลา ที่เกิดค่าเงินเฟ้ออย่างรุนแรง ทำให้ประชาชนภายในประเทศต่างดิ้นรนที่จะออกนอกประเทศเพื่อไปแสวงหาโอกาสทางการเงินที่ดีกว่าในประเทศอื่น ๆ นั้นกลับไม่สามารถทำได้ นั่นก็เป็นเพราะ หากจะเดินทางออกนอกประเทศ ผ่านด่านตรวจคนออกนอกประเทศ ไม่ว่าจะเป็นทางเท้า รถยนต์ รถไฟ สนามบิน สิ่งที่พวกเขาจะโดนเมื่อถึงด่านตรวจก็คือ การถูกยึดทรัพย์สมบัติส่วนตัว เช่นหากคุณขนเงินสด ขนทองคำ ใส่กระเป๋าเดินทางที่เยอะเกินกว่าที่รัฐกำหนดเอาไว้ คุณก็จะต้องถูกยึดทรัพย์สินนั้น ๆ โดยรัฐบาล นี่แสดงให้เห็นถึงว่า ประชาชนคนทั่วไปไม่มีอำนาจอธิปไตยในการปกป้องเงินและทรัพย์สินของตนเองได้เลย มันไม่มีความปลอดภัยเลย ในขณะที่ Bitcoin นั้นมีการเข้ารหัสด้วย cryptography ที่เป็นระบบรักษาความปลอดภัยที่สูงมาก ซึ่งมันควรจะเป็นพื้นฐานในการรักษาความปลอดภัยทางด้านการเงินให้กับคนทั่วโลกที่ควรได้รับสิทธิขั้นพื้นฐานในเรื่องของการเงินที่อนุญาตให้ผู้คนสามารถรักษาทรัพย์สินได้ด้วยตัวเอง

ซึ่งก็โอเคแหละว่า ในประเทศที่พัฒนาแล้วมันมีทางเลือกในการโอนเงินหลากหลายช่องทางมาก ไม่ว่าจะเป็นธนาคาร แอพการเงินต่าง ๆ แต่ถ้าให้พูดกันจริง ๆ แล้วนั้น ทางรัฐบาลนึกอยากจะแบนบัญชีธนาคารใครก็สามารถทำได้ในทันที เช่น จู่ ๆ รัฐบาลบอกคุณว่า ทางเจ้าหน้าที่สงสัยว่าคุณอาจจะเกี่ยวข้องกับอาชญากรรม จึงจะทำการล็อคบัญชีเงินฝากของคุณห้ามไม่ให้ทำธุรกรรมทางการเงินต่าง ๆ จนกว่าจะเสร็จสิ้นกระบวนการการสอบสวน ซึ่งถ้าคุณโดนแบบนี้คุณก็คงเกิดอาการเหวอไปสักพักกันเลยทีเดียว ก็โอเคแหละว่ามันไม่ได้เกิดขึ้นกับทุกคน อาจไม่บ่อย แต่รัฐบาลสามารถสั่งการแบบนี้ได้ แม้ว่าคุณจะบริสุทธิ์ผุดผ่องไม่ได้ทำความผิดอะไรใด ๆ ก็ตามที

หรือในอนาคตทางรัฐบาลออกนโยบายว่า หากประชาชนคนใดไม่ยอมทำงานทำการให้ถือว่าเป็นคนไม่ดี และบัญชีธนาคารของคนไม่ดีก็จะไม่สามารถรับส่งเงินได้อีกต่อไป ซึ่งโอเคแหละว่าตัวอย่างอาจจะดูสุดโต่งไปหน่อย แต่อย่างที่บอกรัฐบาลมีอำนาจมากพอที่จะทำแบบนั้น

แต่เดี๋ยวก็มีคนแย้งขึ้นมาอีกแหละว่า ก็ในเมื่อคุณไม่ได้ทำความผิด คุณจะกลัวการถูกตรวจสอบทำไม? หรือที่คุณไม่อยากถูกตรวจสอบเพราะคุณมีเงินผิดกฎหมายในครอบครองใช่หรือไม่? กำลังฟอกเงินหรืออย่างไร? ซึ่งจากเคสก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้ทำผิดกฎหมายอะไร แต่ก็ยังโดนรัฐคุกคามได้ในทันทีหากพวกเขาอยากจะกระทำกับคุณ อย่างกรณีที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วอย่างเช่น เมื่อมีประเด็นทางการเมืองแล้วมีอยู่คนหนึ่งที่คอยวิจารณ์รัฐบาลอยู่เรื่อย ก็เคยถูกสั่งระงับบัญชีธนาคารไม่ให้ทำธรกรรมใด ๆ ก็เคยเกิดขึ้นมาแล้ว

หรืออย่างเคสล่าสุดในปี 2021 ที่เกิดขึ้นจาก paypal ที่มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายการใช้งานในแพลตฟอร์ม ที่บังคับให้ใครก็ตามที่เปิดบัญชีบุคคลทั่วไปถูกบังคับให้ไปเปลี่ยนเป็นบัญชีธุรกิจให้หมด ไม่เช่นนั้นแล้วจะใช้รับเงินถอนเงินไม่ได้ ทำให้ฟรีแลนซ์ทั่วโลกที่มักทำในนามบุคคลธรรมดานั้นได้รับผลกระทบในการรับเงินส่งเงินออนไลน์ ทั้ง ๆ ที่เหล่าบรรดาฟรีแลนซ์ไม่ได้ทำผิดอะไรเลย

ดังนั้นประเด็นที่ Pomp ต้องการจะสื่อมันก็คือเรื่องของการปกป้องและรักษามูลค่าความมั่งคั่งในด้านการเงินนั้นควรเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์

ดังนั้นคำถามที่ Pomp ได้ถามกับตัวเองก็คือ ตัวของเขาอยากเสี่ยงที่จะต้องเกี่ยวข้องกับระบบการเงินแบบนี้หรือไม่? ซึ่งแม้ว่าในสหรัฐฯ กรณีแบบนี้อาจไม่มีทางเกิดขึ้นหรือเกิดขึ้นได้ยาก แต่มันสามารถเกิดขึ้นได้

และถ้าหากมองในมุมของนักลงทุนที่เก่ง ๆ ทั่วโลกก็จะพบว่า พวกเขาไม่ต้องการความเสี่ยงจากการลงทุน ซึ่งการถือเงินสดในบริษัท 100% นั้นเป็นเรื่องที่เสี่ยงมาก ดังนั้นนักลงทุนที่เก่ง ๆ ไม่มีใครที่เก็บเงินสดเอาไว้เป็นสัดส่วนที่สูงมากขนาดนั้นอย่างแน่นอน

ซึ่งหลักการการกระจายความเสี่ยงนั้น ก็สามารถปรับใช้ได้กับคนทุกกลุ่ม ดังคำที่ว่า อย่าใส่ไข่ทั้งหมดไว้ในตะกร้าใบเดียว ยกตัวอย่างเช่น หากคุณทำ Content คุณก็คงไม่เสี่ยงที่จะทำบนแพลตฟอร์มใดแพลตฟอร์มหนึ่งเพียงอย่างเดียว เพราะการมีหลาย ๆ แพลตฟอร์มดูจะปลอดภัยกว่า

หรืออย่างคนที่มีเงินฝากในธนาคารเยอะ ๆ ก็คงไม่อยากเสี่ยงฝากเงินทั้งหมดไว้กับธนาคารที่ใดที่หนึ่งอยู่เจ้าเดียวบัญชีเดียว เพราะมันเสี่ยงเกินไปหากธนาคารนั้นมีปัญหา มันจะดีกว่าหากกระจายไปตามบัญชีธนาคารหลาย ๆ เจ้า หรือหากลงทุนใน Asset ก็ไม่ควรลงทุนในทรัพย์สินใดทรัพย์สินหนึ่งแบบร้อยเปอร์เซ็นต์

อีกกรณีหนึ่งที่เกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้งก็คือการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ ซึ่งทำให้ประชาชนในประเทศนั้น ๆ ถูกแบนทั้งประเทศ โดยไม่สนว่าใครจะเป็นคนดีหรือคนไม่ดี แต่ก็โดนแบนหมด

ส่วนคนทำผิดกฎหมาย ไม่ว่าเงินจะอยู่ในรูปแบบไหน พวกเขาก็ทำผิดกฎหมายได้ทั้งนั้นแหละ ไม่ว่าเงินจะอยู่ในรูปของแบงค์ดอลล่าร์, บัญชีธนาคารที่เอาไว้ใช้ฟอกเงิน หรือจะใช้ bitcoin หรือ crypto ในการทำธุรกรรมที่ผิดกฎหมาย พวกเขาก็ทำได้ทั้งนั้น แต่อย่าลืมว่าการทำธุรกรรมบนโลก blockchain นั้น ทุกครั้งที่เกิดการทำธุรกรรมขึ้น มันจะถูกบันทึกลงบนโลกออนไลน์ที่ผู้คนทั่วโลกสามารถเห็นได้ว่า เงินจากกระเป๋าบัญชีไหนกำลังเคลื่อนย้ายไปยังบัญชีใด ถ้าลองเอาคอนเซ็ปต์นี้ไปถามกับพวกอาชญากรแล้วล่ะก็ พวกเขาก็คงไม่แฮปปี้สักเท่าไหร่ หากการทำธรกรรมที่ผิดกฎหมายของพวกเขากำลังมีชาวเน็ตคอยเฝ้ามองอยู่ ดังนั้นจะดีกว่าถ้าหันไปใช้เงินสดอย่างเงินดอลล่าร์ในการค้าขายสิ่งของผิดกฎหมายน่าจะปลอดภัยกว่า เพราะมันติดตามได้ยากกว่าเยอะ โดยเคยมีรายงานระบุว่า เหล่าบรรดาอาชญากรนั้นได้มีการนำเงิน fiat ไปใช้ในทางที่ผิดกฎหมายมากถึง $2 Trillion ต่อปี ซึ่งนั่นมันมากกว่าเม็ดเงินทั้งหมดทั้งตลาด crypto ซะอีก

ดังนั้นการมาของ Bitcoin สำหรับผู้ที่ยอมรับมันแต่เนิ่น ๆ นั้น ก็จะกลายเป็นผู้ที่ได้รับผลประโยชน์มากที่สุดมากกว่าคนอื่น ๆ ที่เข้ามาทีหลัง

ก็โอเคแหละว่า โดยธรรมชาติของมนุษย์นั้นมักกลัวการเปลี่ยนแปลง โดยสามารถดูได้จากยุคแรกของการมาอินเตอร์เน็ต ที่ใครก็ตามบนโลกใบนี้ก็สามารถเข้าร่วม Network นี้ได้ ทำให้คนในยุคแรกสุดก็มักจะพูดว่า อินเตอร์เน็ตมันน่ากลัว อย่าไปยุ่งกับมันเลย มันไม่มีใครคอยควบคุม แดนเถื่อนชัด ๆ ในขณะคนที่กระโดดเข้าสู่โลกอินเตอร์เน็ตก่อนใคร พวกเขาเหล่านั้นก็กลับได้รับผลประโยชน์ไปแบบเต็ม ๆ

และเช่นเดียวกัน ในยุคนี้ การมาของ bitcoin นั้น มันเป็นระบบ Open Payment System คือเป็นระบบการเงินแบบเปิด ที่มันเป็นคอนเซ็ปต์ที่ตรงข้ามกับโลกการเงินในแบบดั้งเดิมที่เรารู้จัก ที่เป็นระบบเปิดที่อนุญาตให้ใครก็ตามบนโลกใบนี้สามารถเข้าร่วม Network นี้ได้ โดยสามารถส่งมูลค่าหาใครก็ได้บนโลกใบนี้โดยที่ไม่ต้องขออนุญาตจากใคร มันมอบเสรีภาพในการตัดสินใจทางการเงินให้กับตัวคุณแบบร้อยเปอร์เซ็นต์

แล้วมาติดตามกันต่อใน Episode ถัดไปนะครับ


กระดานซื้อขายแลกเปลี่ยน Bitcoin & Cryptocurrency

อันดับ 1 ของไทย คนส่วนใหญ่นึงถึง Bitkub

อันดับ 1 ของโลก คนส่วนใหญ่นึกถึง Binance


*หมายเหตุ : คอนเท้นต์นี้ไม่ใช่การแนะนำในการลงทุน เป็นการจัดทำเพื่อเป็นกรณีศึกษาจาก Raoul Pal เท่านั้น ผู้ลงทุนควรศึกษาและตัดสินใจลงทุนด้วยตัวท่านเอง

Resources

Image credit