Blue O'Clock

สตูดิโอผลิตและพัฒนาสื่อการเรียนรู้ด้านการลงทุน ธุรกิจ จิตวิทยาและการพัฒนาตนเอง อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

How to

4 แนวทางการลงทุน Bitcoin และ Cryptocurrency ให้รวยสไตล์ Michael Saylor

Michael Saylor ผู้ก่อตั้งบริษัท Microstrategy บริษัทมหาชนที่มี Bitcoin มากที่สุดในโลก ณ ขณะนี้ ที่มี Bitcoin ในครอบครองมากกว่า 100,000 BTC โดยในปี 2021 นี้ เขามีทรัพย์สินอยู่ที่ 2.3 พันล้านดอลล่าร์ฯ หรือราว ๆ 7.5 หมื่นล้านบาท เป็นมหาเศรษฐีอันดับที่ 1362 ของโลก

โดยในคอนเท้นต์นี้ Michael Saylor จะมาแชร์วิธีการคิดในการลงทุนใน Bitcoin และ Cryptocurrency ด้วยสูตร Magic 4 Quadrant Model

โดยเขาเริ่มต้นด้วยการบอกว่า Cryptocurrencies หรือเงินสกุลดิจิตอลส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นสกุลเงิน ซึ่งจริง ๆ แล้วเราควรใช้คำว่า crypto น่าจะเหมาะกว่า โดยตัดคำว่า currency หรือคำว่าสกุลเงินออกไปก่อน โดยเขาได้แบ่งประเภทของ crypto ออกเป็น 4 แบบด้วยกันก็คือ

ประเภทที่ 1 – Digital Property ทรัพย์สินดิจิตอล

Bitcoin คือ King of property คือราชาแห่งทรัพย์สินดิจิตอล มันถูกออกแบบมาให้มีความมั่นคง ทนทาน อยู่ยงคงกระพันนับร้อยปี โดยไอเดียในการลงทุนใน Bitcoin ของเขาก็คือ การนำเงินไปลงทุนใน Bitcoin สัก 1 ล้านดอลล่าร์ แล้วถือครองมันเอาไว้เป็นเวลานับร้อยปีหรือพันปีนับจากนี้

โดยเขาได้เปรียบเทียบกับอสังหาริมทรัพย์ โดยสมมติว่า ณ ตอนนี้คุณเป็นเจ้าของที่ดินสักบล็อกหนึ่งในเมือง London ที่ต้นตระกูลของคุณได้ซื้อมันเอาไว้ตั้งแต่ 300 ปีก่อน ซึ่งหากมีคนถามคุณว่า แล้วคุณจะขายที่ดินแห่งนี้เมื่อไหร่ คำตอบก็คือ ‘ไม่มีทางขายเด็ดขาด’ แล้วคุณมีความจำเป็นจะต้องขายหรือไม่ในอนาคตเพื่อนำมาใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน คำตอบก็คือ ‘ไม่จำเป็น’ เพราะคุณสามารถสร้างรายได้จากมันได้เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการปล่อยให้เช่าที่ดิน หรือถ้าไม่มีใครเช่า แล้วเงินขาดมือจริง ๆ คุณก็เอามันไปจำนองกับธนาคารเอาไว้แล้วถอนเงินสดออกมาใช้ มีเงินเมื่อไหร่ก็ค่อยไปโปะมัน

แล้วคำถามต่อมาก็คือ คุณสามารถทำแบบนี้ได้กี่ครั้ง ทำได้บ่อยแค่ไหน คำตอบก็คือ คุณสามารถทำแบบนี้ได้ตลอดไป ตราบใดที่คุณยังไม่ขายที่ดินแผนนี้ นั่นคือแนวคิดของคนฉลาดที่เรียกตัวเองว่า ‘Landlord’

โดยหน้าที่หลักของ Digital Property ก็คือเป็นแหล่งเก็บสะสมความมั่งคั่ง หรือที่เรียก ‘Store of value’

ประเภทที่ 2 – Digital Currency สกุลเงินดิจิตอล

Crypto ที่อยู่ในหมวดนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นพวก stablecoin หรือเงินที่มีค่าคงที่ โดยส่วนใหญ่จะมีราคาเท่ากันกับเงินสกุลดอลล่าร์ ยกตัวอย่างเช่น Tether(USDT), Dai(DAI), Circle(USDC) หรือแม้กระทั่ง diem ที่ Facebook กำลังผลักดันให้มันเป็นสกุลเงินของโลกนี้อยู่ รวมไปถึง CBDC : Central Bank Digital Currency ที่ทางรัฐบาลกลางโลกกำลังจะออกมาด้วย

โดยหน้าที่ของ Digital Currency ที่เป็น stable currency ที่มีมูลค่าคงที่ต่าง ๆ นั้น จะทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยนมูลค่าซึ่งกันและกัน ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้คนทั่วโลกกว่า 8 พันล้านคนต้องการสกุลเงินดิจิตอลเพื่อใช้ในการแปลกเปลี่ยนซื้อขาย

ประเภทที่ 3 – Digital Platform ระบบพื้นฐานดิจิตอล

Crypto ที่มีลักษณะเป็น platform ตัวอย่างเช่น Ethereum(ETH) ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นระบบพื้นฐาน ระบบปฏิบัติการที่สามารถให้ผู้คนมาสร้าง Dapp : Decentralized Application บนระบบ บนเทคโนโลยีของ Ethereum ได้อย่างเสรี ยกตัวอย่างเช่น Decentralized Exchanges, Insurance Companies, NFTs(Non-Fungible Token) หรืออย่างในวงการ DeFi : Decentralized Finance ที่เป็นวงการการเงินแบบกระจายศูนย์ ก็สามารถมาสร้างบน Ethetereum ได้

และเมื่อคุณลงทุนซื้อเหรียญ ETH มันก็คือการที่คุณได้รับ Asset Token เพื่อให้คุณได้ร่วมเป็นเจ้าของส่วนหนึ่งในระบบ Digital Platform ของ Ethereum

ประเภทที่ 4 – Decentralized Applications แอพพลิเคชั่นแบบกระจายศูนย์

หากคุณรู้จักกระดานเทรด crypto แบบ Centralized หรือแบบศูนย์รวมมีเจ้าของเป็นบริษัทต่าง ๆ เช่น Binance, Coinbase, Bitkub แต่ในขณะเดียวกันมันก็มีระบบกระดานเทรดแบบกระจายศูนย์ คือไม่มีเจ้าของเป็นตัวเป็นตน ให้ระบบและโค้ดดิ้งที่เขียนตามหลักคณิตศาสตร์ดำเนินการแบบอัตโนมัติ ยกตัวอย่าง Decentralized Exchange อย่าง Uniswap, PancakeSwap ไม่ก็ SushiSwap ซึ่งมันถูกสร้างขึ้นมาเพื่อทดแทนระบบเดิม ๆ อย่างในตลาดหุ้น NASDAQ ไม่ก็กระดาน Exchange แบบ Centralized

หรืออย่างตัวของ Binance เองที่เป็นระบบ Centralized Exchange ก็พยายามสร้าง Binance Smart Chain ขึ้นมาเพื่อที่จะสร้างระบบ Decentralized เพื่อให้ผู้อื่นเข้ามาร่วมสร้าง App บนบล็อกเชนด้วยเช่นกัน

และสมมติว่า วันนี้ถ้าผมให้เงินสดคุณเป็นมูลค่าหนึ่งพันล้านดอลล่าร์ฯ เพื่อการลงทุนใน Asset ใน London คุณก็สามารถแบ่งเงินลงทุนออกเป็น 4 ส่วน นั่นก็คือ

ส่วนที่ 1 – Buy the land? คุณจะนำเงินพันล้านนั้นไปซื้อที่ดินในลอนดอนก็ได้

ส่วนที่ 2 – Buy the British Pound? หรือคุณจะเงินพันล้านนั้นไปซื้อเพื่อแลกเปลี่ยนเป็นสกุลเงินปอนด์ของอังกฤษก็ได้

ส่วนที่ 3 – Buy the Building? หรือคุณจะนำเงินพันล้านนั้นไปซื้อสิ่งปลูกสร้างที่สร้างบนที่ดินนั้นอีกทีหนึ่งก็ได้

ส่วนที่ 4 – Buy British Companies? หรือคุณจะนำเงินพันล้านนั้นไปซื้อบริษัทสักแห่งหนึ่งที่ไปเช่าออฟฟิศบนสิ่งปลูกสร้างนั้นอีกทีหนึ่งก็ได้

ซึ่งคุณจะเห็นได้ว่า หลักการลงทุนบนอสังหาริมทรัพย์นั้น ก็สามารถนำมาเปรียบเทียบกับการลงทุนในตลาด crypto ได้เช่นกัน นั่นก็คือ

  • Land = Digital Property
  • British Pound = Digital Currency
  • Buildings = Digital Platforms
  • Companies = Decentralized Applications

ทีนี้เมื่อคุณรู้จักประเภทของการลงทุนในตลาด crypto แล้ว สิ่งที่คุณจำเป็นจะต้องรู้และทำความเข้าใจก่อนที่จะทำการลงทุนในตลาดนี้ก็คือ คุณจะต้องรู้ว่าการลงทุนในแต่ละประเภท มี upside, downside หรือมีโอกาสขึ้นหรือลงมากน้อยเพียงใด และมี risk หรือความเสี่ยงอย่างไรบ้าง เพราะทุกการลงทุนย่อมมีความเสี่ยงที่แตกต่างกันออกไป

  • Land = High upside and little risk สมมติว่าจากนี้นับไปอีก 500 ปีข้างหน้า การลงทุนในที่ดินนั้นมีความเสี่ยงที่ต่ำแต่มีโอกาสเติบโตที่สูงมากในอนาคต
  • Buildings = Medium upside and medium risk ในขณะที่การลงทุนในสิ่งปลูกสร้างนั้น จะมีอายุในการลงทุนราว ๆ 50-100 ปี ซึ่งก็ถือว่าเป็นการลงทุนที่เติบโตกลาง ๆ และก็มีความเสี่ยงกลาง ๆ เช่นกัน
  • Companies = High upside and higher risk ในขณะที่การลงทุนในบริษัทที่ลอนดอนนั้น มีอายุเฉลี่ยประมาณ 100 ปีเท่านั้น นั่นก็เท่ากับว่า มันเป็นการลงทุนที่แม้จะมีโอกาสเติบโตอย่างสูง แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงสูงที่บริษัทนั้นจะเจ๊งได้เช่นเดียวกัน
  • Currencies = Low upside and high regulatory risk ส่วนการลงทุนในสกุลเงินนั้น ก็เปรียบเสมือนกับการลงทุนใน Digital Currencies ด้วยเช่นกัน เพราะค่าของมันจะต้องผูกติดอยู่กับเงิน backup ที่เป็นเงิน Fiat ของแต่ละสกุล ซึ่งเป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่า ค่าของเงินนับวันมูลค่าของมันมีแต่จะลดลง แถมยังมีความเสี่ยงสูงในด้านของกฏหมายของแต่ละประเทศที่มีความเข้มข้นที่แตกต่างกันไปอีกด้วย

โดยคำถามต่อมาก็คือ ทรัพย์สินการเงินใดที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก ณ ขณะนี้

อันดับที่ 1 – เงินสกุลดอลล่าร์

อันดับที่ 2 – เงินสกุลยูโร

และอันดับที่ 3 – บิตคอยน์

ซึ่งในบรรดา Top 3 ที่ว่ามานั้น มีเพียงแต่ตัวเดียวเท่านั้นที่จะมีมูลค่าสูงขึ้นเรื่อย ๆ ในอนาคต นั่นก็คือ Bitcoin สาเหตุนั้นก็เป็นเพราะ ตราบใดที่รัฐบาลยังคงปริ้นท์เงินดอลล่าร์ออกมาอย่างมหาศาลอยู่เรื่อย ๆ มันก็จะทำให้เงินดอลล่าร์นั้นด้อยค่าลงทุกวัน ๆ

ซึ่งตัวของ Michael Saylor เองนั้นเขาก็เริ่มมองหาแล้วว่า มี Asset ใดบ้างที่เหมาะที่จะเป็นแหล่งสะสมความมั่งคั่งของเขา เขาก็มองทั้งการลงทุนในบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Apple และ Google หรือแม้กระทั่งการลงทุนในเหรียญ crypto อื่น ๆ ซึ่งเขาก็มองว่ามันได้รับความนิยมน้อยมากเมื่อเทียบกับ Bitcoin ที่มีปริมาณการซื้อขายแลกเปลี่ยนกันสูงที่สุดในโลก และเป็นเหรียญแรกที่ประสบความสำเร็จในวงกว้างขนาดนี้ นั่นมันทำให้ Bitcoin มีความแข็งแกร่งในตลาด crypto เป็นอย่างมาก

และหากคุณกำลังคิดที่จะเดิมพันกับ Asset สักอย่างที่ไม่ได้ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของใครและต้องการมองหาแหล่งสะสมความมั่งคั่งหรือ Store of Value แล้วล่ะก็ ดอลล่าร์ก็ไม่ใช่ ยูโรก็ไม่ใช่ ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะลงทุนใน Bitcoin นั่นเอง


กระดานซื้อขายแลกเปลี่ยน Bitcoin & Cryptocurrency

อันดับ 1 ของไทย คนส่วนใหญ่นึงถึง Bitkub

อันดับ 1 ของโลก คนส่วนใหญ่นึกถึง Binance


*หมายเหตุ: นี่ไม่ใช่ content แนะนำในการลงทุนใด ๆ เป็นเพียงข้อมูลฐานทั่วไปเท่านั้น โดยนักลงทุนควรศึกษาเพิ่มเติมด้วยตนเองก่อนที่จะตัดสินใจลงทุนใด ๆ ด้วยตัวของท่านเอง

Resources