Blue O'Clock

สตูดิโอผลิตและพัฒนาสื่อการเรียนรู้ด้านการลงทุน ธุรกิจ จิตวิทยาและการพัฒนาตนเอง อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

How to

ผมไม่ได้อยากรวย ผมแค่ไม่อยากจน by Robert Herjavec มหาเศรษฐีจากรายการ Shark Tank

Robert Herjavec คือมหาเศรษฐีที่สร้างฐานะขึ้นมาด้วยลำแข้งของตนเอง จากการที่เขาได้สร้างบริษัทที่เกี่ยวกับ Internet Security Company ที่เป็นบริษัทรักษาความปลอดภัยระบบอินเตอร์เน็ตที่เขาได้ก่อตั้งเมื่อปี 1990 จนกระทั่งในปี 2000 AT&T ได้ติดต่อขอเข้าซื้อกิจการไปในราคากว่า $30 ล้านดอลล่าร์ฯ หรือราว ๆ กว่า 900 ล้านบาท สู่การเป็นนักลงทุนในรายการ Shark Tank โดยในปัจจุบันเขามีทรัพย์สินอยู่ที่ $200 ล้านดอลล่าร์ หรือราว ๆ 6,000 ล้านบาท

Robert Herjavec เริ่มต้นด้วยประโยคที่ว่า “คุณอยากทำเงินได้เยอะ ๆ” “คุณอยากประสบความสำเร็จอย่างสูงในชีวิตอย่างนั้นเหรอ?” งั้นผมจะเล่าเรื่องราวของผมให้คุณฟังว่า ผมทำได้อย่างไร

แว่บแรกในหัวตั้งแต่ผมยังจำความได้ตั้งแต่ตอนที่ผมยังเด็กอยู่ ผมไม่เคยคิดเลยว่าผมอยากเป็นคนรวย แต่ผมแค่ไม่อยากเป็นคนจนก็เท่านั้นเอง

ซึ่งเส้นทางการประสบความสำเร็จของเขา มันเริ่มเมื่อประมาณช่วงปี 1990 ที่เขาได้เริ่มต้นเข้าสู่เส้นทางการเป็นผู้ประกอบการ โดยเริ่มต้นจากศูนย์ ที่มีแค่เพียงตัวของเขาที่มาพร้อมกับวิสัยทัศน์ และพนักงานในออฟฟิศอีก 2 คน ผ่านไป 10 ปี สู่การเป็นบริษัทที่มีพนักงานมากกว่า 250 คน และสามารถทำรายได้มาก $150 ล้านดอลล่าร์ฯ หรือกว่า 4,500 ล้านบาทต่อปี

ซึ่งตอนแรกสุด เขามีเพียงแค่วิสัยทัศน์ว่า เรื่องของการรักษาความปลอดภัยบนโลกอินเตอร์เน็ตจะกลายมาเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่งยวดในทศวรรษที่ 20 ซึ่งเขาได้เริ่มต้นมันตั้งแต่เนิ่น ๆ ในทศวรรษที่ 19 และจากแค่วิสัยทัศน์มันก็กลายเป็นจริงขึ้นมาตามที่เขาคาดการณ์เอาไว้ และทำให้ในปี 2000 ทางบริษัท AT&T ที่เป็นบริษัทข้ามชาติด้านโทรคมนาคมของสหรัฐอเมริกา ก็ได้ติดต่อขอเข้าซื้อกิจการของเขาไปในมูลค่ากว่า $30 ล้านดอล่าร์ฯ หรือกว่า 900 ล้านบาท

โดยเขาได้เล่าย้อนกลับไปในวัยเด็กของเขาเมื่อตอนอายุได้ 8 ขวบ ว่าเขาเป็นหนึ่งในครอบครัวที่ได้อพยพจากประเทศ Croatia มายังประเทศ Canada โดยทรัพย์สินเพียงอย่างเดียวที่มีติดตัวพวกเขามาก็คือเสื้อผ้ากับเครื่องนุ่งห่มเท่านั้น แถมพ่อและแม่ของเขายังพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลยสักกะนิด ซึ่งนั่นมันทำให้ผมจำเป็นจะต้องพยายามอ่านและเขียนภาษาอังกฤษให้ได้ เพราะตอนนั้นพ่อของเขาได้หาซื้อบ้านหลังเล็ก ๆ เพื่ออยู่อาศัย ซึ่งเขาก็ต้องอ่านสัญญาการเช่าซื้อบ้านให้พ่อและแม่ของเขาฟัง เพราะไม่เช่นนั้นแล้วครอบครัวเขาอาจถูกเอาเปรียบจากสัญญาฉบับนั้นก็เป็นได้

และพอในช่วงที่เขาอายุประมาณ 17-18 ปี เขาก็เริ่มคิดได้ว่าทำไมครอบครัวของเขายังยากจนอยู่ ทั้ง ๆ ที่วันเวลาก็ได้ผ่านไปกว่า 10 ปีแล้ว แล้วเขาจะทำอย่างไรได้บ้างเพื่อให้ครอบครัวของเขาหลุดพ้นจากความยากจนนี้ได้

ซึ่งพอเขาตัดสินใจแล้วว่า เขาอยากจะหลุดพ้นจากความจนนี้ เขาก็เริ่มต้นจากการคำนวณตัวเลขคร่าว ๆ แล้วว่า ถ้าอยากจะซื้อบ้านใหม่ในย่านดี ๆ สักหลังแบบที่คนทั่วไปที่เขามีกัน เขาจะต้องใช้เงินเท่าไหร่ และพอเขาคำนวณออกมาแล้วก็พบว่า มันต้องใช้เงินก้อนใหญ่มาก ไม่ว่าจะเป็นค่าดาวน์บ้าน ค่าภาษีที่ต้องจ่าย ค่าดำเนินการโอนทรัพย์สิน ค่าเฟอร์นิเจอร์ภายในบ้าน ซึ่งการที่จะมีเงินก้อนใหญ่ขนาดนั้นได้ มันเป็นเรื่องที่ยากเอามาก ๆ โดยเฉพาะในแถบทวีปอเมริกาเหนือที่มีค่าครองชีพที่สูงเอามาก ๆ

เขาจึงตัดสินใจตั้งแต่นั้นว่า เขาไม่อยากที่จะเป็นคนจน คนชนชั้นกลางค่อนไปทางจน หรือแค่เพียงคนชนชั้นกลางอีกต่อไป เขาจะต้องทำบางสิ่งบางอย่างที่ยอดเยี่ยมกว่าค่าเฉลี่ยของคนอื่น ๆ ทั่วไป ซึ่งที่เขาบอกแบบนั้นก็เพราะ คนรอบตัวที่เขาได้ผ่านพบเจอในชีวิตมานั้น คนที่ทำบางสิ่งบางอย่างได้ยอดเยี่ยมมักจะมีความเป็นอยู่มีฐานะที่ดีกันหมด ซึ่งสิ่งที่พวกเขามีเหมือน ๆ กันก็คือ พวกเขาโฟกัสที่การทำอย่างใดอย่างหนึ่งให้มันเก่งขั้นเทพไปเลย

โดยเขามักจะชอบยกตัวอย่างจากนักกีฬาอเมริกันฟุตบอลคนหนึ่งที่ชื่อว่า Peyton Manning ที่เขาได้รับค่าเหนื่อยราว ๆ ปีละ $10 ล้านดอลล่าร์ฯ หรือกว่า 300 ล้านบาทต่อปี ซึ่งค่าเหนื่อยที่เขาได้รับนั้น ไม่ได้จ่ายเพื่อให้เขาวิ่งไปพุ่งชนคนอื่น ไม่ได้จ้างให้เขามาเล่นเกมรับ ไม่ได้จ้างให้เขามาเตะลูกสวย ๆ แต่เป็นการจ้างให้เขามาทำหน้าที่เพียงหนึ่งเดียวนั่นก็คือการเป็น Quarterback ที่ถือได้ว่าเป็นหัวใจสำคัญหลักที่จะเป็นผู้ชี้เป็นชี้ตายในสนามเลยว่าเกมนี้จะแพ้หรือชนะ

ดังนั้น ไม่มีใครหรอกที่อยากจะจ่ายเงินมากระดับนี้ให้กับคนระดับทั่ว ๆ ไป หรือแค่เพียงเพราะทำได้แค่โอเค เพราะโลกนี้ไม่ได้ให้รางวัลกับคนธรรมดา ๆ หรือเป็นแค่เพียงค่าเฉลี่ยของคนทั่ว ๆ ไป เพราะโลกนี้จะให้รางวัลแก่คนเจ๋งคนพิเศษกว่าคนอื่น ๆ เท่านั้น

และหน้าที่ของคุณก็คือ การค้นหาว่าตัวคุณสามารถทำเรื่องใดได้ดีกว่าคนอื่นและคุณก็สามารถที่จะพัฒนาสิ่งนั้นให้ยอดเยี่ยมและโคตรเจ๋งกว่าคนอื่น

ดังนั้นจงอย่าพยายามไปพัฒนาในสิ่งที่คุณไม่ถนัดหรือทำได้ไม่ค่อยดี เพราะต่อให้คุณพยายามมากแค่ไหน มันก็สู้กับคนที่เกิดมาเพื่อสิ่งนั้นหรือที่คนที่มาพร้อมกับพรสววรค์ เพราะคนที่มีพรสวรรค์ในเรื่องนั้น ๆ พวกเขาก็จะเพิ่มพรแสวงเข้าไปอีก ซึ่งต่อให้คุณพยายามมากเท่าไหร่ก็สู้เขาไม่ได้อยู่ดี ดังนั้นจงหาพรสวรรค์ของตัวเองให้เจอ แล้วใส่พรแสวงแบบเต็มพิกัด จะทำให้คุณเป็นเลิศในสิ่งนั้นอย่างโดดเด่นได้

และเมื่อพูดถึงความสำเร็จ พูดถึงการทำธุรกิจหรือการเป็นผู้ประกอบการ ผู้คนส่วนใหญ่มักเห็นเฉพาะในด้านที่สวยงาม เห็นในตอนที่มันสำเร็จแล้ว เพราะใคร ๆ ก็อยากพูดถึงแต่ในด้านดี ๆ กันทั้งนั้น

ซึ่งตัวเขาก็มักจะพูดอยู่กับคนอื่น ๆ เสมอว่า มันง่ายมากในการที่จะเป็นผู้ประกอบการในช่วงเวลาที่สดใส มันง่ายมากเมื่อตอนที่ธุรกิจของคุณมีกระแสเงินสดอย่างมหาศาล มันง่ายมากเมื่อตอนที่ผู้คนรักในธุรกิจของคุณ และมันง่ายมากเมื่อธุรกิจมันราบรื่นและปราศจากปัญหาใด ๆ ณ ขณะนั้น

แต่ในขณะที่เมื่อลูกค้ารายใหญ่ของคุณได้เลิกใช้บริการจากบริษัทคุณทำให้คุณศูนย์เสียรายได้ก้อนใหญ่ไป หรือในขณะที่คุณมีเงินสดหมุนไม่พอใช้ หรือในขณะที่เกิดปัญหากับธุรกิจแต่คนที่บ้านคุณไม่มีใครเข้าใจ

ซึ่งการที่จะเป็นผู้ประกอบการที่ดีได้นั้นมันคือการที่สามารถโฟกัสและจดจ่ออยู่กับการแก้ปัญหาปัญหาที่เกิดขึ้นโดยยังคงมีพลังเปี่ยมล้นในการที่จะก้าวข้ามและผ่านปัญหาเหล่านั้นไปให้ได้

ซึ่งการเป็นผู้ประกอบการที่ดีมันไม่ได้วัดกันตอนที่บริษัทกำลังประสบความสำเร็จและไปได้ดี

แต่ผู้ประกอบการที่ดีคือผู้ที่สามารถซึมซับหรือดูดซับกับความล้มเหลวได้เป็นอย่างดี ไม่ใช่จมปรักอยู่กับความล้มเหลว ซึ่งความผิดพลาดความล้มเหลวหลายต่อหลายครั้งมันทำให้ผู้ประกอบการหลายคน ไม่อยากตื่นขึ้นมาในเช้าวันรุ่งขึ้น แต่ในขณะที่ผู้ประกอบการที่ดีนั้น พวกเขาจะลุกขึ้นมาเพื่อเตรียมเผชิญกับปัญหา ลุกขึ้นมาเพื่อกระตุ้นทีมงาน ให้ผ่านพ้นปัญหาเหล่านั้นไปด้วยกันจนกว่าจะแก้ปัญหาเหล่านั้นได้

แต่การที่จะกลายเป็นผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงได้นั้น มันเป็นเส้นทางที่ค่อนข้างโดดเดี่ยวเดียวดาย เหตุที่เป็นแบบนั้นก็เพราะ มีน้อยคนมากที่ขึ้นไปถึง ณ จุด ๆ นั้น ยิ่งคุณประสบความสำเร็จมากเท่าไหร่ก็ยิ่งมีเพื่อนในระดับเลเวลเดียวกันที่คุยกันรู้เรื่องน้อยลงมากเท่านั้น

ซึ่งนั่นมันทำให้เขามักจะมองหาคนที่ยิ่งใหญ่และเคยไปอยู่ ณ จุด ๆ นั้นมาก่อน ยกตัวอย่างเช่น Warren Avis ผู้ก่อตั้งธุรกิจให้เช่ารถ Avis เขาก็เคยไปทำงานและเรียนรู้กับบริษัท Holding company ของ Avis ซึ่งเขาได้เรียนรู้อะไรหลาย ๆ อย่างมาก ๆ

หรือแม้กระทั่งในรายการ Shark Tank รายการที่เขากับเพื่อนนักลงทุนหลายคนมองหาธุรกิจที่ดีเพื่อลงทุน ซึ่งเขาก็ได้เรียนรู้จากกรรมการในรายการร่วมด้วยกันอย่างเช่น Mark Cuban หรืออย่าง Daymond John

และคนที่เขาเคารพยกย่องและทำให้เขาได้บทเรียนที่ล้ำค่ามากที่สุดในชีวิตก็คือพ่อของเขาเอง ที่เขาไม่เคยเห็นความกล้าหาญใดที่ยิ่งใหญ่ไปกว่าคุณพ่อของเขามาก่อนเลย ความกล้าหาญนั่นก็คือ พ่อของเขาสามารถเสียสละได้ทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อปูทางและมอบโอกาสให้เขาก้าวไปสู่เส้นทางความสำเร็จ

เมื่อตอนที่พ่ออายุได้ 37 ปี เขาตัดสินใจพาครอบครัวอพยพจากประเทศคอมมิวนิสต์ ทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อข้ามน้ำข้ามทะเลข้ามพรมแดนพร้อมกับประเป๋าเสื้อผ้าหนึ่งใบเพื่อไปหาโอกาสในดินแดนแห่งใหม่ ที่เขาพูดภาษาแห่งนั้นไม่ได้เลยสักคำซะด้วยซ้ำ แถมยังมีเงินติดกระเป๋าแค่เพียง $20 ดอลล่าร์หรือประมาณ 600 บาท

ซึ่งกว่าเขาจะเรียนรู้บทเรียนนี้จากคุณพ่อก็เมื่อตอนเขาโตแล้วถึงจะคิดได้ว่า คุณพ่อของเขานั้นมีความกล้าหาญและความเสียสละมากเพียงใด

และเมื่อเขาเติบโตขึ้น อายุมากขึ้น เขาก็ได้เรียนรู้บทเรียนหนึ่งที่ล้ำค่าอย่างมาก ข้อแรกนั่นก็คือ จงอย่าโอดโอยคร่ำครวญเป็นอันขาด เพราะไม่มีใครแคร์คุณหรอก

และข้อสอง สิ่งที่คุณสมควรได้รับมากที่สุดในชีวิตก็คือโอกาส ซึ่งเมื่อไหร่ก็ตามที่มีโอกาสผ่านเข้ามาในชีวิตของคุณ หน้าที่ของคุณก็คือ จะต้องคว้าโอกาสนั้นเอาไว้ให้จงได้ เลิกบ่น เลิกคร่ำครวญ แล้วจงใช้โอกาสที่ได้รับมานั้นไปให้สุดทาง

และพ่อของเขาก็ได้มอบโอกาสนั้นให้แก่เขา และเขาก็ใช้โอกาสที่ได้รับมานั้นอย่างเต็มที่และไปจนสุดทาง

I didn’t want to be rich. I just didn’t want to be poor.

ผมไม่ได้อยากรวย ผมแค่ไม่อยากจน

– Robert Herjavec –

Resources