Blue O'Clock

สตูดิโอผลิตและพัฒนาสื่อการเรียนรู้ด้านการลงทุน ธุรกิจ จิตวิทยาและการพัฒนาตนเอง อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

Bitcoin and Cryptocurrency

Bill Miller มหาเศรษฐีนักลงทุนทุ่มซื้อ Bitcoin ในพอร์ตกว่า 50%

Bill Miller คือนักลงทุนที่เน้นคุณค่า ที่เป็นเจ้าของและผู้จัดการกองทุนนามว่า Miller Value Partners ที่ก่อตั้งตั้งแต่ปี 1999 โดยตั้งขึ้นตั้งแต่สมัยที่ยังทำงานเป็นผู้จัดการกองทุนให้กับ Legg Mason ที่เขานั้นได้สร้างสถิติที่สามารถเอาชนะตลาด S&P 500 ได้ต่อเนื่องถึง 15 ปี นับตั้งแต่ปี 1991 – 2005 ที่สามารถสร้างผลกำไรอย่างเป็นกอบเป็นกำ

ในขณะที่การออกมาให้สัมภาษณ์ของ Bill Miller ในครั้งนี้นั้น เขายอมรับว่า สำหรับ portfolio ส่วนตัวของเขานั้น เขาได้ตัดสินใจนำทรัพย์สินจำนวนครึ่งหนึ่ง หรือจำนวน 50% ย้ายไปไว้ใน Bitcoin และนั่นคือเรื่องใหญ่ของวงการการลงทุนเป็นอย่างมาก เพราะทุกคนต่างรู้ดีว่า Bill Miller นั้นเป็นนักลงทุนแบบ Value Investor คือเป็นนักลงทุนแบบคุณค่า ซึ่งแนวคิดนี้ก็คือ การลงทุนอะไรบางอย่างที่น่าจะมีโอกาสเติบโตในระยะยาว ไม่ฉาบฉวย ไม่ซื้อ ๆ ขาย ๆ เพื่อเก๊งกำไรระยะสั้น

นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าเขากำลังมองเห็นอะไรจาก Bitcoin กันแน่

โดย Bill Miller ได้ให้สัมภาษณ์ผ่านทางรายการ WealthTrack เมื่อเดือนมกราคม ต้นปี 2022 ที่ผ่านมา โดยเขาได้เริ่มต้นพูดว่า

อย่างแรกเลยที่เขาตัดสินใจที่จะใช้พอร์ทโฟลิโส่วนตัวในการลงทุนใน bitcoin นั้น ก็เพราะ มันค่อนข้างจะขัดกับหลักการบางอย่างกับพอร์ทของบริษัทกองทุนก็เท่านั้นเอง

ซึ่งการที่เขาเริ่มให้ความสนใจในตัวของ Bitcoin นั้น เขาบอกว่า มันเริ่มต้นมาจากการที่เขาได้ไปงานสัมมนางานหนึ่งที่ผู้บรรยายได้พูดถึงเกี่ยวกับ bitcoin เมื่อปี 2014 โดยผู้บรรยายได้เริ่มต้นด้วยการถามผู้ชมผู้ฟังในห้องว่า มีใครบ้างที่มี bitcoin อยู่ในครอบครองบ้าง ซึ่งไม่มีใครยกมือขึ้นเลยสักคน ยกเว้นตัวของผู้บรรยายเพียงคนเดียว

ส่วนพอถามว่า มีใครบ้างที่รู้ว่า bitcoin มันคืออะไร? ก็มีคนยกมือบ้างประปราย โดยผู้บรรยายก็บอกว่า เขาไม่แปลกใจเลยที่ผู้คนในห้องประชุมนั้นไม่ได้ให้ความสนใจในตัวของ bitcoin นั่นก็เป็นเพราะ ผู้ชมทั้งหมดในห้องนั้น ล้วนแล้วแต่อาศัยอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกา ที่มีกฎระเบียบ มีรัฐบาลที่บริหารเงินอย่างเป็นระบบระเบียบ และมีอัตราค่าเงินเฟ้อที่ต่ำเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ และนอกจากนั้นก็ยังมีเศรษฐกิจที่เจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก

แต่ในขณะที่ผู้บรรยายเขาบอกว่า เขาอาศัยอยู่ในประเทศอาร์เจนตินา ต้นตระกูลของเขาอาศัยอยู่ในประเทศนี้มามากกว่า 150 ปี ซึ่งเท่าที่จำความได้ ในประเทศอาร์เจนตินานั้น ถูกกวาดล้างทรัพย์สินและความมั่งคั่งไปจากประชาชนไม่น้อยกว่า 4 ครั้ง พวกรัฐบาลได้ยึดทรัพย์สินจากประชาชนไป เช่น ถูกบังคับให้โอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินส่วนตัวไปเป็นของธนาคาร และนอกจากนั้นยังเกิด hiper inflation หรือเกิดภาวะเงินเฟ้ออย่างรุนแรง

และสิ่งเดียวที่รัฐบาลของพวกเขาไม่สามารถยึดมันไปจากเขาได้ก็คือ bitcoin ที่เป็น peer to peer network เป็นบัญชีแยกประเภท ที่ผู้คนสามารถส่งมูลค่าหากันได้อย่างอิสระ โดยที่ไม่ต้องขออนุญาตจากใคร และไม่มีใครสามารถยึดมันไปจากคุณได้ หากคุณไม่อนุญาต และการบันทึกการทำธุรกรรมทุกธุรกรรมจะถูกบันทึกให้เห็นแบบสาธารณะ และไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงข้อมูลมันได้

ดังนั้น การมี bitcoin เอาไว้ในครอบครองมันก็เหมือนกับการซื้อหลักประกัน กรมธรรม์ประกันภัย ให้กับตัวคุณเอง และที่สำคัญ รัฐบาลไม่สามารถยึด bitcoin ไปจากคุณได้

และเมื่อการบรรยายจบ ทาง Bill Miller ก็ได้ตัดสินใจที่จะลงทุนใน Bitcoin เข้าไว้ในพอร์ทตัวเองเป็นจำนวน 1% ของ portfolio การลงทุน เหตุผลก็เพราะตอนนั้นเขาได้รับคำแนะนำว่า การลงทุนใน Bitcoin ณ ตอนนั้น มันมีความเสี่ยงสูงมาก ที่เขาเข้าซื้อมันในราคา $200 ต่อ 1 BTC (ประมาณ 6,000 กว่าบาท)

และ Bill Miller ก็บอกว่า หลังจากนั้น เขาก็ได้เข้าซื้อเพิ่มเรื่อย ๆ จน Bitcoin มันมีราคาขึ้นไปอยู่ที่ราว ๆ $500 ต่อ 1 BTC เขาก็ได้ทำการหยุดซื้อและไม่ซื้อมันอีกเลย จนกระทั่งราคาของ Bitcoin ก็พุ่งขึ้นไปกว่า $69,000 ต่อ 1 BTC แล้วราคาของมันก็ร่วงลงกว่าครึ่ง เขาจึงเริ่มเข้าซื้อมันเข้าในพอร์ทการลงทุนเพิ่มอีกครั้ง โดยเขาได้ใช้สถิติต่าง ๆ เข้ามาช่วยในการตัดสินใจที่จะเข้าลงทุนเพิ่ม ตัวอย่างเช่น ตลอด 11 ปีย้อนหลังล่าสุดนั้น bitcoin มีอัตราการเติบโตอยู่ที่เฉลี่ยปีละ 170% แบบ compound หรือแบบทบดอกทบต้น แต่มันก็ไม่ได้การันตีกว่า มันจะโตแบบนี้ในทุก ๆ ปี เพราะมีอยู่ 3 ครั้งที่อัตราการเติบโตของ bitcoin น้อยกว่า 80% ต่อปี

ดังนั้นเขาจึงมองว่า มันมีความผันผวนที่สูงเอามาก ๆ และมีความเสี่ยงเป็นอย่างยิ่งในการลงทุนใน bitcoin โดยเพาะคนที่เล่นแบบ Leverage ที่สามารถยืมเงินลงทุนหลายสิบเท่าหลายร้อยเท่าจาก Exchange หรือกระดานเทรดมาใช้ในการซื้อขายเพื่อเก็งกำไร ซึ่งหากคุณทำกำไรได้ก็จะได้หลายเท่าตัว แต่หากขาดทุน พอร์ทคุณระเบิดและสูญเงินต้นทั้งหมดได้ภายในพริบตา

โดยส่วนตัวของ Bill Miller นั้น เขาก็บอกว่า เขาได้เข้าซื้ออยู่ที่ราคาแถว ๆ $30,000 ต่อ 1 BTC เพราะเขาเล็งเห็นว่า เหมือนเขาได้ซื้อของ Sales จากราคาสูงสุดที่ราคาถูกลงกว่าครึ่ง และนอกจากนั้นเขายังเล็งเห็นว่า ณ ปัจจุบันมันมีผู้คนจำนวนมากที่เข้ามาซื้อขายในตลาด bitcoin และมีเม็ดเงินจากสถาบันการเงินต่าง ๆ เริ่มไหลเข้าสู่ตลาด bitcoin อย่างมหาศาล

ดังนั้นเขาจึงมองว่า เขาจะซื้อ bitcoin สะสมไว้ในพอร์ทส่วนตัวของเขาจนมีมูลค่า 50% ของ พอร์ทการลงทุน และแม้ว่าอัตราการเติบโตของ bitcoin จะร่วงลงน้อยกว่า 80% ต่อปี เขาก็ยังยืนยันที่จะเข้าซื้อได้ทุกราคา ได้ทุกครั้งที่ราคาของ bitcoin มันร่วงลง

และนอกจากนั้น เขาก็ยังลงทุนในด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ bitcoin อีก เช่น ลงทุนในกองทุนที่เกี่ยวกับบริษัทเหมืองขุด bitcoin ที่ชื่อว่า Stronghold Digital

แต่ก็มีอีกหลายคนที่ยังไม่เชื่อมั่นใน bitcoin เพราะหลายคนก็บอกว่า ค่าเงินของประเทศฉันก็ดูมีสเถียรภาพดี เราไม่ได้อาศัยอยู่ในอาร์เจนตินาสักกะหน่อย ทำไมเราต้องทุ่มเงินกว่าครึ่งไปลงใน bitcoin เพื่อเป็นหลักประกันหรือกรมธรรม์อะไรนั่นด้วยกันล่ะ

แล้วถ้ามีคนใหม่ ๆ สร้างเหรียญที่เหมือนกับ bitcoin แบบเป๊ะ ๆ ขึ้นมาล่ะ มันจะเป็นยังไง

โดยทาง Bill Miller ก็ได้ให้ความเห็นว่า สำหรับเขาแล้ว ตอนนี้เขานับให้ Bitcoin นั้นคือ Digital Gold หรือทองคำติจิตอลเลย ซึ่งทองคำนั้น ได้ถูกมนุษย์ยอมรับมานานกว่า 5,000 ปีแล้วว่า มันเป็น Store of Value มันเป็นแหล่งเก็บสะสมมูลค่าและความมั่งคั่งของคนเราได้ แต่พอย้อนกลับไปในปี 1933 ในสมัยที่ Franklin D. Roosevelt เป็นประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา เขาได้ออกคำสั่งให้ยึดทองคำจากประชาชนเข้ามาเป็นของธนาคาร โดยให้ประชาชนนำทองคำที่เก็บเอาไว้นั้น นำมาแลกเปลี่ยนเป็นเงินดอลล่าร์ฯ ซึ่งถ้าหากใครไม่ยอมนำทองคำมาแลกจะต้องติดคุก นั่นทำให้ทาง Bill Miller นั้นมองว่า ทองคำก็ถูกรัฐบาลยึดได้ แต่รัฐบาลไม่สามารถยึด Bitcoin ได้

และตราบใดที่คุณยังสามารถเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตได้อยู่ คุณก็สามารถส่ง bitcoin ไปยังที่ใดบนโลกใบนี้ก็ได้ในทันทีด้วยค่าธรรมเนียมที่ถูกเอามาก ๆ

แต่ผู้คนหลายต่อหลายคนก็ยังเคลือบแคลงใจในการค้นหามูลค่าที่แท้จริงของ bitcoin ซึ่งอย่าง Warren Buffett เองนั้น ก็ออกมาบอกว่า bitcoin มันไม่สามารถหามูลค่าที่แท้จริงในตัวมันเองได้ มันไม่ปันผลใด ๆ มันไม่มีผลผลิตใด ๆ ออกมาจากตัวมันเลย

ซึ่ง Bill Miller ก็บอกว่า bitcoin มันเป็นเทคโนโลยีที่ใหม่เอามาก ๆ แต่มันเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีใครทำแบบนี้ได้มาก่อนในตลอดประวัตศาสตร์ของมนุษยชาติที่มีการถูกบันทึกมา

ดังนั้นทาง Bill Miller จึงเริ่มค้นหาว่า แล้วเราจะระบุมูลค่าที่จริงของ bitcoin อย่างไรได้บ้าง

โดยเขาได้ยกตัวอย่างจากการซื้อขายของสะสมอย่างการ์ดเบสบอล Mickey Mantle ที่ซื้อขายกันอยู่ที่ราคา $5.5 ล้านดอลล่าร์ หรือกว่า 180 ล้านบาท นั้น ว่าทำไมกระดาษแข็งธรรมดา ๆ ใบหนึ่ง ที่สามารถปลอมแปลงได้ง่ายเอามาก ๆ นั้น ผู้คนถึงยอมจ่ายเงินจำนวนมหาศาลไปกับมัน หรือภาพวาดของ Picasso นั้น ทำไมถึงมีมูลค่าหลายล้านที่ผู้คนยอมจ่ายให้ภาพวาดภาพหนึ่ง

ดังนั้น Bill Miller เขาจึงย้อนกลับมาที่พื้นฐานอย่างหลักอุปทานอุปสงค์ หรือ demand และ supply

โดยเขาบอกว่า Bitcoin เป็นสิ่งเดียว ที่จำนวน supply มันไม่ได้รับผลกระทบเมื่อมีจำนวน demand ที่เพิ่มขึ้น หรือแปลได้ง่าย ๆ ก็คือ ปกติแล้ว เวลาที่มี demand หรือความต้องการจากผู้ซื้อที่เยอะขึ้น ทางผู้ผลิตสินค้าก็มักจะเพิ่มจำนวน supply หรือเพิ่มจำนวการผลิตที่สูงขึ้นตามไปด้วย และเมื่อเพิ่มจำนวน supply ไปสักระยะหนึ่งจนมันมีสินค้าล้นตลาด สิ่งนั้นก็จะเริ่มมีมูลค่าลดลง เพราะจำนวน supply มันเกินกว่าความต้องการหรือ demand ที่มีอยู่ หรือพูดสั้น ๆ ก็คือ อะไรก็ตามที่สามารถเพิ่มจำนวน supply ได้ ในท้ายที่สุดสิ่งนั้นก็จะเริ่มด้อยค่าลง

แต่ในขณะที่ Bitcoin นั้น ถูกกำหนดมาตั้งแต่แรกเลยว่า สามารถมีจำนวนได้แค่ไม่เกิน 21 ล้านเหรียญ BTC เท่านั้น ไม่สามารถผลิตไปได้มากกว่านี้

ในขณะที่ทองคำ หาก ณ วันนี้มันมีราคา 30,000 บาท หากราคาของมันพุ่งเป็น 300,000 บาท ทางเหมืองขุดทองคำ ก็จะต้องเร่งขุดหาทองคำกันยกใหญ่เพื่อขนมาขายอย่างแน่นอน

แต่ในขณะที่ bitcoin นั้น ต่อให้วันนี้มันจะมีมูลค่าเหรียญละล้านบาทหรือสิบล้านบาท จำนวน supply ของ bitcoin นั้นก็จะมีแค่ 21 ล้านเหรียญ BTC ดังเดิมและตลอดไป ไม่สามารถเพิ่มเกินไปกว่านี้ได้

ดังนั้นหากมีความต้องการใน bitcoin เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในทุก ๆ ปี แต่ในขณะที่จำนวน bitcoin นั้นหายากขึ้นเรื่อย ๆ มันก็เป็นธรรมดาที่ราคาของมันจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เพราะตามหลักเศรษฐศาสตร์อะไรก็ตามที่มีผู้คนต้องการเยอะแต่จำนวนสิ่งนั้นมีน้อย สิ่งนั้นมันจะมีราคาที่สูงขึ้นเป็นธรรมดา

ดังนั้นส่วนตัวของ Bill Miller นั้น เขาเชื่อว่า เรากำลังอยู่ในช่วง Bitcoin Bull หรืออยูในช่วงตลาดกระทิงอยู่ มันมีโอกาสโตขึ้นอีก 10 เท่า 50 เท่า หรือมากกว่านั้น ใครจะไปรู้ (ซู้ดดดดดดดด!!!) ซึ่งหลายคนอาจจะบอกว่า ก็แน่ล่ะสิ คุณถือ bitcoin เอาไว้เยอะนี่ ก็ต้องบอกว่าเป็นตลาดขาขึ้นเป็นธรรมดา

Bill Miller ก็ตอบว่า ใช่ เขาถือเอาไว้เยอะ แต่ส่วนตัวเขานั้น เขาบอกว่า ที่จริงเขาเป็นผู้เฝ้าสังเกตุการณ์ในวงการเทคโนโลโยซะมากกว่า ยกตัวอย่างเช่น ในวันแรก ๆ ของการของโลกอินเตอร์เน็ตคุณก็ไม่รู้หรอกว่า มันจะสามารถใช้ทำอะไรได้บ้าง หรือย้อนกลับไปในยุคที่โลกของเรานั้นเปลี่ยนจากรถม้าเป็นรถยนต์เครื่องสันดาบ สมัยแรกนั้นผู้คนยังออกกฎว่ารถยนต์คือสิ่งอันตรายอยู่เลย หรืออย่างยุคนี้ที่รถยนต์ที่ใช้น้ำมันในการขับเคลื่อน กำลังจะเปลี่ยนไปเป็นรถยนต์ไฟฟ้านั้น ตอนแรกหลายคนก็บอกว่า มันเป็นไปไม่ได้หรอก

ซึ่งทาง Bill Miller เองเขาก็มองว่า Bitcoin คือเทคโนโลยีใหม่ที่จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงระบบการเงินของโลกใบนี้เช่นกัน ดังนั้นเขาเลยมองว่า เรายังอยู่ในยุคเริ่มต้นของ bitcoin อยู่ ที่มันยังมีศักยภาพในการเติบโตได้อีกอย่างมหาศาล

ส่วนพอร์ทการลงทุนส่วนตัวอีก 50% ที่เหลือนั้น Bill Miller เขาก็บอกว่า เขาลงใน Amazon.com เกือบจะทั้งหมด

ส่วนที่ Bill Miller บอกว่า เขามองว่า Bitcoin เปรียบเสมือนเป็นหลักประกันเป็นกรมธรรม์เพื่อป้องกันความเสี่ยงนั้น เขาก็ได้ยกตัวอย่างว่า ถ้าเราสมมติให้บริษัท bitcoin คือบริษัทประกันภัย ที่มีจำนวนหุ้นอยู่ที่ 21 ล้านหุ้น และในทุก ๆ วันที่ฉันตื่นขึ้นมา

  • ฉันก็ไม่อยากเจอเหตุการณ์แบบในปี 1933 ที่จู่ ๆ ทางรัฐบาลสหรัฐฯ ก็สั่งริบทองคำจากประชาชน
  • หรืออย่างในประเทศอัฟกานิสสถานที่จู่ ๆ ก็ถอนตัวออกจาการโอนเงินของระบบ Western Union ทำให้คุณไม่สามารถหาเงินได้ แล้วจะเอาเงินที่ไหนใช้ นั่นแสดงให้เห็นถึงคราวซวยที่เกิดวิกฤตทางการเงินอย่างร้ายแรง
  • หรืออย่างประเทศเลบานอนที่เกิดการล่มสลายของสกุล Lira อย่างสิ้นเชิง
  • หรืออย่างประเทศเวเนซุเอลา ที่ทางรัฐบาลบริหารเงินล้มเหลว จนค่าเงินล่มสลาย เกิด hyper Inflation เงินเฟ้ออย่างรุนแรง
  • หรืออย่างตอนเกิดการแพร่ระบาดของไวรัส ทาง FED หรือทางธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้ shutdown หรือปิดระบบการเงิน ที่ยากต่อการที่จะเข้าถึงเงินสด และส่งผลกระทบต่อพันธบัตรรัฐบาล และหลักทรัพย์ สินทรัพย์หลาย ๆ อย่างที่รัฐบาลได้ backup หรืออุ้มเอาไว้นั้น ก็เกิดปัญหากันหมด ดังนั้นวิธีเดียวที่จะป้องกันไม่ให้เศรษฐกิจล่มสลายเป็นโดมิโน พวกเขาจึงต้องปริ้นท์เงินดอลล่าร์ฯ ออกมาเพิ่มมาก 25% ของจำนวน supply ทั้งหมดที่เคยปริ้นท์มาเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เศรษฐกิจล่มสลายเฉกเช่นเดียวกับในปี 2008 ที่เกิดวิกฤตซับไพรม์หรือวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์

และในช่วงหลังเกิดวิกฤตซับไพรม์ในปี 2008 ต่อมา Bitcoin ก็ถือกำเนิดขึ้นในปี 2009 ซึ่งจะเห็นได้ว่าการเกิดวิกฤตทางการเงินดังกล่าว มันไม่สามารถแทรกแซง bitcoin ได้เลย มันก็ยังคงดำเนินต่อไปของมันอยู่เรื่อย ๆ

ดังนั้น Bill Miller ก็แนะนำว่า หากคุณกำลังมองว่ากรมธรรม์ประกันภัยสำหรับรองรับวิกฤตทางการเงิน คุณก็ควรซื้อ bitcoin เก็บเอาไว้บ้าง หรือไม่ก็พยายามเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของอุตสาหกรรมนี้

ซึ่งคำถามต่อมาก็คือ แล้วทำไมหลักประกันไม่ควรเป็นทองคำกันล่ะ?

เหตุผลง่าย ๆ ก็เพราะ หากเขาลงทุนในทองคำ จำนวน 5 cents หรือประมาณ 1.5 บาท หากเขาลงทุนในทองคำ เงินก้อนนี้จะเติบโตเป็น $1,850(ประมาณ 61,050 บาท) ในระยะเวลาประมาณ 5,000 ปี แต่หากเขานำเงินจำนวนเดียวกันนี้ไปลงทุนใน bitcoin มันจะเติบโตเป็น $57,000(ประมาณ 1,881,000 บาท) ภายในระยะเวลาเพียง 10 ปีเท่านั้น เหตุผลอะไรที่เขาจะลงทุนในทองคำกันอีกล่ะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตลอด 10 ปีที่ผ่านมาล่าสุดนี้ ราคาของทองคำมีแต่จะร่วงลง ในขณะที่ bitcoin ในช่วง 10 ปีล่าสุดนี้ เป็น Asset หรือเป็นทรัพย์สินที่มีอัตราการเติบโตที่ดีในโลก


กระดานซื้อขายแลกเปลี่ยน Bitcoin & Cryptocurrency

อันดับ 1 ของไทย คนส่วนใหญ่นึงถึง Bitkub

อันดับ 1 ของโลก คนส่วนใหญ่นึกถึง Binance


*หมายเหตุ : คอนเท้นต์นี้ไม่ใช่การแนะนำในการลงทุน เป็นการจัดทำเพื่อเป็นกรณีศึกษาจาก Raoul Pal เท่านั้น ผู้ลงทุนควรศึกษาและตัดสินใจลงทุนด้วยตัวท่านเอง

Resources