Blue O'Clock

สตูดิโอผลิตและพัฒนาสื่อการเรียนรู้ด้านการลงทุน ธุรกิจ จิตวิทยาและการพัฒนาตนเอง อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

How to

วิธีเปลี่ยนเงิน 1 ล้านแรก ให้กลายเป็น 1 พันล้าน by Mark Cuban

Mark Cuban นักธุรกิจ นักลงทุน เศรษฐีพันล้าน ที่ในปี 2022 นี้ เขามีทรัพย์สินอยู่ที่ $4,600 ล้านดอลล่าร์ฯ มหาเศรษฐีอันดับที่ 562 ของโลก

โดยสำหรับเนื้อหาในตอนนี้ ทาง Mark Cuban เขาจะมาแชร์ว่า เขาหาเงิน เก็บเงิน และใช้เงินล้านแรกอย่างไรให้กลายเป็นพันล้านในเวลาต่อมา

โดย Mark Cuban เขาได้เล่าย้อนกลับไปในวัยเด็กว่าเขาเกิดและเติบโตขึ้นมาในเมือง Pittsburgh รัฐ Pennsylvania ประเทศสหรัฐอเมริกา ในวันที่ 31 กรกฎาคม ปี 1958 ในครอบครัวชนชั้นกลาง ที่พ่อของเขามีอาชีพทำเบาะรถยนต์ และคุณแม่ก็รับจ๊อบทำงานกระจุ๊กกระจิ๊กทั่ว ๆ ไป

โดยเขาจำได้ว่า ตอนที่เขาอายุประมาณ 12 ปี ที่มีอยู่วันหนึ่ง เขาได้ขี่จักรยานไปขอเงินคุณพ่อ ที่กำลังตั้งวงเล่นโป๊กเกอร์กับเพื่อน ๆ อยู่ เพื่อซื้อรองเท้าผ้าใบใหม่สักคู่ ทั้งที่คู่ปัจจุบันก็ยังคงดีอยู่ คุณพ่อเดินมาหาเขาแล้วสอนเขาว่า รองเท้าที่ลูกใส่อยู่ก็ได้มาจากการทำงานที่พ่อออกไปทำงาน

ซึ่งถ้าในวันข้างหน้าลูกได้ทำงาน ลูกก็จะมีเงินไปซื้ออะไรก็ได้ตามที่ต้องการ

แล้วจู่ ๆ ก็มีเสียงเพื่อนของพ่อที่กำลังหน้าแดงก่ำแทรกพูดขึ้นมาว่า ” เฮ้! เจ้าหนู หลังบ้านฉันมีถุงขยะใส่อยู่ในลังใบใหม่อยู่หลายแพ็คเลย ทำไมนายไม่ลองเอาถุงขยะพวกนี้ไปขายให้กับเพื่อนบ้านในละแวกนี้ดูล่ะ แล้วนายก็จะได้มีตังค์ไปซื้อรองเท้าคู่ใหม่ไง “

ซึ่ง Mark เขาก็ได้กล่องลังที่บรรจุถุงใส่ขยะของเพื่อนพ่อมาในราคา $3 แล้วเขาก็เอาไปขายให้กับเพื่อนบ้านได้ในราคา $6 กำไรเนาะ ๆ 2 เท่า

โดยวิธีขายของเขาก็คือ เขาได้ทำการเดินไปเคาะที่ประตูของเพื่อนบ้าน แล้วพูดว่า

” คุณครับ ผมชื่อ Mark Cuban ปกติแล้วคุณใช้ถุงขยะภายในบ้านใช่ไหมครับ? ถ้าใช่ ผมมีข้อเสนอสุดพิเศษมานำเสนอก็คือ เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณมีความจำเป็นที่จะต้องใช้ถุงขยะเหล่านี้ คุณแค่ยกหูโทรศัพท์แล้วสามารถโทรหาผมได้ตลอดเวลา แล้วผมจะนำถุงขยะจากโกดังมาส่งคุณถึงที่หน้าบ้านเลย “

ซึ่งนั่นก็ถือได้ว่า เป็นธุรกิจแรกของเขาเลยก็ว่าได้ และธุรกิจดังกล่าวก็น่าจะเป็นธุรกิจแรก ๆ ของโลกที่เปิดให้ลูกค้าสมัครสมาชิกเพื่อรับถุงขยะในทุก ๆ เดือน แบบส่งถึงหน้าบ้าน

และเมื่อเขาอยู่ในช่วงตอนมัธยมปลายของโรงเรียน เขาก็พบว่า บทเรียนที่สอนอยู่นั้น มันไม่ค่อยตรงกับความต้องการของเขาสักเท่าไหร่นัก เขาเลยจึงใช้เวลาในช่วงค่ำหลังเลิกเรียน มาเรียนภาคค่ำที่ University of Pittsburgh ซึ่ง ณ เวลานั้นเขามีอายุแค่เพียง 16 ปี

แล้วพอเขาอายุได้ 17 ปี เขาก็ทำการย้ายเข้าไปเรียนต่อที่ Indiana University แล้วในช่วงนี้นี่เองที่ตัวของเขาเริ่มต้นเข้าสู่เส้นทางการเป็นผู้ประกอบการแบบ Full-time จากจุด ๆ นั้น

โดยความคิดเกี่ยวกับการทำธุรกิจนั้น เขาไม่ได้เริ่มต้นด้วยเหตุผลที่เกี่ยวกับเงินเลย

ซึ่งโอเคแหละว่า เขาจะต้องหาเงินล้านให้จงได้

แต่เขาคิดในแง่ของ Time หรือเวลามากกว่า โดยเขาใช้เรื่องดังกล่าวเป็นแรงผลักดันให้ตัวของเขาเองนั้น ขับเคลื่อนไปข้างหน้า ด้วยความคิดที่ว่า เขาจะสามารถควบคุมโชคชะตาของตัวเองอย่างไรได้บ้าง เขาสามารถที่จะควบคุมเวลาของตัวเองได้อย่างไร

โดย Mark Cuban ได้เริ่มต้นก่อตั้งบริษัทแรกของตัวเองที่ชื่อว่า MicroSolutions ที่เป็นบริษัทให้คำปรึกษาเกี่ยวกับด้านเทคโนโลยี

จากนั้น บริษัทมันก็โตเอา ๆ จนกระทั่ง ในปี 1990 ตอนที่เขาอายุ 32 ปี เขาก็สามารถขายกิจการนี้ได้ไปในราคา $6 ล้านดอลล่าร์ฯ โดย แบ่งเงินที่ขายกิจการได้ออกเป็น 3 ส่วนหลัก ๆ ก็คือ

  • $1M สำหรับพนักงาน
  • $2 M สำหรับหุ้นส่วน
  • $2 M สำหรับตัวของเขา

ซึ่งสิ่งแรกที่เขาทำหลังจากได้เงินจากการขายกิจการได้ก็คือ เขาซื้อแพ็คเกจตั๋วเครื่องบิน American Airlines เพื่อท่องเที่ยวรอบโลกกับเพื่อนรู้ใจ จัดปาร์ตี้เต็มเหนี่ยวอย่างกับ Rock Stars

ซึ่งสิ่งที่อยู่นอกเหนือจากนั้น เขาไม่ได้ใช้เงินไปกับเรื่องอื่น ๆ เลย เพราะอย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้ว่า จุดประสงค์หลักของเขาไม่ใช่ตัวเงิน แต่เป็นการกำหนดเวลากับโชคชะตา และอิสระที่จะใช้ในชีวิต ในแบบที่เขาต้องการได้อย่างเต็มที่

ซึ่งอย่างบ้านหลังใหญ่ หรือรถซุปเปอร์คาร์นั้น เขาไม่สนใจที่จะซื้อพวกมันเลยแม้แต่น้อย เขาเลือกที่จะเก็บเงินเอาไว้ใช้ชีวิตอย่างอิสระ โดยที่ไม่ต้องทำงานหาเงินไปตลอดชีวิต มันดีกว่ากันเยอะเลย

ซึ่งต่อมาเขาก็เข้าลงทุนในตลาดหุ้น ที่ทำให้เขาได้เงินเป็นกอบเป็นกำ ซึ่งทำให้มูลค่าเงินของเขาเพิ่มขึ้นมากกว่า $20 ล้านดอลล่าร์ฯ ซึ่งแค่นั้นมันก็เป็นชีวิตที่โคตรจะดีมาก ๆ อยู่แล้ว

จนอยู่มาวันหนึ่งในช่วงปี 1995 Todd Wagner เพื่อนที่เรียนช่วงวิทยาลัยมาด้วยกัน ก็นั่งคุยกันเกี่ยวกับเรื่องของการมาของอินเตอร์เน็ตในยุคเริ่มต้น ที่พวกเขามีไอเดียว่า จะสามารถฟังรายการเกี่ยวกับบาสเก็ตบอลในรัฐ Indiana อย่างไรได้บ้าง

ซึ่งมันก็ทำให้พวกเราร่วมกันก่อตั้งเว็บไซต์ที่ชื่อ AudioNet ขึ้นมา ที่มันมีแต่เสียง แต่ในเวลาไม่นานมันก็ถึงเทรนด์การมาของวีดีโอออนไลน์ พวกเขาจึงเปลี่ยนบริษัทเป็น broadcast.com แทน

ซึ่งทำให้พวกเขากลายเป็นเจ้าแรก ๆ ที่เข้าสู่วงการบริษัทที่ทำเกี่ยวกับการสตรีมมิ่งวีดีโอออนไลน์ ทำให้ต่อมาในวันที่ 18 กรกฎาคม ปี 1998 บริษัทของเขาก็ทำการ IPO เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ กลายเป็นบริษัทมหาชน ที่ราคาหุ้น ณ วันที่เปิดตัวมีมูลค่าสูงขึ้น $62.75 ต่อหุ้น ซึ่งส่งผลให้เขามีทรัพย์สินขึ้นมากกว่า $300 ล้านดอลล่าร์ฯ

ซึ่งเขาก็คิดเล่น ๆ ว่า ถ้าราคาหุ้นขึ้นอีกแค่เพียง 3 เด้ง เท่านั้น เขาก็จะกลายเป็น Billionaire หรือเศรษฐีพันล้านในทันที

โดย ณ เวลานั้น บริษัทของเขาก็กลายเป็นสื่อเว็บท่าที่ใหญ่ที่สุดในโลกอินเตอร์เน็ต ซึ่งทำให้ในช่วงปี 1999 เขาได้รับข้อเสนอการเข้าซื้อกิจการจากบริษัท Yahoo! จึงส่งผลให้ราคาหุ้นบริษัทของเขาขึ้นไปอีก 3 เท่า

และนั่นก็ทำให้เขากลายเป็น Billionaire ครั้งแรกได้ในที่สุด

จากนั้น เขาก็ทำการขายบริษัท broadcast.com โดยแลกกับหุ้นของบริษัท Yahoo! ที่ ณ เวลานั้น เขาได้บทเรียนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต ที่ทำให้การเป็น Billionaire หรือเศรษฐีพันล้านของเขาต้องจบลงภายในเวลาอันรวดเร็ว เพราะผ่านมาจากนั้นอีกแค่เพียง 3 เดือน ตลาดหุ้นของสหรัฐฯ ก็ได้พังลง จากเหตุการณ์ dotcom bubble

ที่ทำให้ตัวของเขานั้น ได้บทเรียนว่า ความโลภของเขานั้น ทำให้เขาต้องสูญเสียมูลค่าไปนับพันล้านจากการที่คิดเอาเองว่า ราคาหุ้นมันจะขึ้นไปเรื่อย ๆ โดยราคาไม่น่าจะตกลงมา

โอเค หลังจากที่ผ่านมาเขาได้พูดถึงเกี่ยวกับวิธีการที่เขาทำเงินและเก็บเงินกันมาแล้ว ทีนี้มาพูดถึงวิธีการใช้จ่ายเงินในไสตล์ของเขากันบ้าง

1st Big purchase – Private Jet

ซึ่งอย่างที่บอกไปตอนแรกว่า ตัวของเขานั้น ให้ความสำคัญและให้คุณค่าในเรื่องของ ‘เวลา’ เป็นอย่างมาก

ดังนั้น สิ่งแรกที่เขาทำการซื้อในทันทีที่เป็นเศรษฐีพันล้านก็คือ การซื้อ Gulfstream G5 เครื่องบินเจ็ตส่วนตัว

โดยเขาได้ทำการค้นหาข้อมูลบนเว็บไซต์ เกี่ยวกับเจ้า Gulfstream G5 แล้วทำการส่งอีเมลหาบริษัทดังกล่าว เพื่อนัดทดลองการนั่งเครื่องบินส่วนตัว ซึ่งเป็นครั้งแรกในชีวิตของเขาที่เคยได้นั่งเครื่องบินเจ็ตส่วนตัวแบบนี้ เขาถึงกับอุทานออกมาว่า “นี่มันโคตรเจ๋ง ๆ สุด ๆ ไปเลย ฟินฝุด ๆ”

ซึ่งเขาบอกได้คำเดียวว่า หลังจากโดนของเข้าไป เขาก็ตัดสินใจได้ในแทบจะทันทีเลยว่า เขาต้องซื้อเจ้านี่ให้จงได้

โดยในเวลาหลังจากนั้นไม่กี่วัน เขาก็ได้ส่งอีเมลหาบริษัท เพื่อขอซื้อเจ้า Gulfstream G5 ในราคา$40 ล้านดอลล่าร์ฯ ที่ถือได้ว่าเป็นการซื้อของออนไลน์ที่มีมูลค่าสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของโลกอินเตอร์เน็ตจนถึงทุกวันนี้ (แหม่ซื้อขายกันเป็นขนมกันเลยทีเดียว)

ซึ่งนั่นมันก็ตรงกับจุดประสงค์หลักตั้งแต่แรกของตัวเขาที่บอกตัวเองว่า ‘เวลา’ คือสิ่งล้ำค่าที่ชุดในชีวิตของคนเรา และมนุษย์เรานั้นก็ไม่สามารถครอบครองเวลาชีวิตนั้นได้ด้วย แต่สิ่งที่เขาสามารถทำได้ดีที่สุดเกี่ยวกับเรื่องของเวลาก็คือ การประหยัดเวลาให้ได้มากที่สุด ในการเดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ ซึ่งเขาบอกได้คำเดียวว่า “มันโคตรจะเจ๋งเลยไอ้เจ้า Gulfstream G5 เนี่ย”

2nd Big purchase – Sport Team

สิ่งที่สองที่เข้าทำการใช้จ่ายเงินก้อนใหญ่ก็คือ การใช้เงินจำนวนกว่า $285 ล้านดอลล่าร์ฯ เข้าซื้อทีมบาสเก็ตบอล NBA ที่ชื่อว่า Dallas Mavericks ที่ตัวของเขานั้นเป็นแฟนตัวยงขอทีมนี้เลยก็ว่าได้

ซึ่งที่มาของการเข้าซื้อ Dallas Mavericks นั้นก็คือ หลังจากที่เขาซื้อตั๋วเข้าไปดูทีมลงเล่นเกมแรก ก็พบว่า บรรยากาศในสนามมันหงอยเหงามาก ตั๋วก็ขายไม่หมด คนเชียร์ก็โหรงเหรง ซึ่งมันทำให้นักกีฬาในทีมก็ไม่ค่อยหึกเหิม ทั้ง ๆ ที่ลงแข่งในบ้านตัวเองแท้ ๆ

มันทำให้เขาคันไม้คันมือเป็นอย่างมาก เพราะตัวของเขาคิดว่า เขาสามารถทำได้ดีกว่านี้ ก็เลยซื้อทีมมันซะเลยก็แล้วกัน

ซึ่งวันแรกสุดของการทำงาน ที่นำโต๊ะนั่งทำงานส่วนตัวของเขานั้น ย้ายไปไว้กลางห้องของทีมขาย ที่มีอยู่ราว ๆ 8-9 คน พร้อมกับสมุดรายชื่อเบอร์โทรศัพท์ แล้วก็กระดาษรายชื่อลูกค้าเก่าที่พิมพ์ออกมาจากคอมพิวเตอร์อีกตั้งใหญ่

จากนั้น เขาก็ไปพูดพร่ำทำเพลง เขาเริ่มต้นยกหูโทรศัพท์เพื่อโทรขายบัตรเข้าชม แล้วก็พูดว่า

“สวัสดีครับคุณผู้หญิง ผมทราบมาว่า คุณเคยซื้อตั๋วเข้าชมแข่งขันจากทีม Dallas Mavericks มาก่อนหน้านี้เมื่อนานมาแล้ว ซึ่งผมไม่อยากให้คุณผู้หญิงพลาดรับชมเกมนัดแรกในปีนี้ ที่มีราคาไม่ถึง $8 ถูกกว่าค่าอาหารของครอบครัวที่ใช้จ่ายภายในร้าน McDonald’s กับโค้กซะอีก”

ซึ่งนั่นก็คือวิธีที่เขาใช้ในการปฏิบัติต่อพนักงาน เพราะถ้าหากเขาต้องการร้องขอให้พนักงานทำอะไร เขาจะทำเป็นตัวอย่างให้ดูก่อนเลย ไม่ใส่แค่พูด แต่ทำให้ดูเลย

ซึ่งภายในออฟฟิศของเขานั้น ก็มีสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ อย่างครบครันให้กับพนักงานในออฟฟิศ ที่นอกจากจะมีของกินซับพอร์ทอย่างมากมายแล้ว ยังมี TV มีเครื่องเล่นเกม PlayStation ให้เล่น และสิ่งอื่น ๆ ที่มากมาย ที่ทำให้พนักงานของเขารู้สึกว่า เมื่อมาทำงานที่นี่ จะทำงานที่เต็มไปด้วยความสุข สนุกสนาน

แถมเขายังอัพเกรดสนามแข่งในบ้าน ให้มันยิ่งใหญ่ เร้าใจ ปลุกไฟ ทั้งกองเชียร์และนักกีฬา เพื่อให้พวกเขารู้สึกหึกเหิมและได้เปรียบในเชิงที่การลงแข่งขันในฐานะที่เป็นเจ้าบ้าน ซึ่งมันส่งผลให้นักกีฬามีโอกาสชนะสูงขึ้น และเขาในฐานะที่เป็นเจ้าของทีมก็ทำทุกอย่างเพื่อให้องค์กรประสบความสำเร็จ

นั่นคือสิ่งที่เขาใช้ความชอบส่วนตัว ปรับใช้กับทีมงาน ในการทำสิ่งต่าง ๆ ในธุรกิจก้าวไปสู่ความสำเร็จนสไตล์ของเขานั่นเอง

3rd Big purchase – Home

วันหนึ่งเขาได้รับการติดต่อจากหุ้นส่วนที่เคยทำบริษัท MicroSolutions ด้วยกัน นั่นก็คือ Martin Woodall มาหาเขา ที่กำลังก่อสร้างบ้านในฝันหลังใหญ่ ที่เขาใช้เวลากว่า 3 ปีในการสร้างบ้านหลังดังกล่าว และหมดเงินค่าก่อสร้างไปแล้วกว่า $25 ล้านดอลล่าร์ฯ แถมบ้านหลังดังกล่าวก็กำลังจะถูกแบงค์ยึด เพราะในช่วงที่เริ่มต้นก่อสร้างนั้น ตลาดหุ้นยังสวยหรูอยู่ และพอสร้างไปได้แค่เพียง 8 เดือน หลังจากที่ขายบริษัทได้ ต่อมาตลาดหุ้นก็พังลง มันจึงทำให้สิ่งต่าง ๆ ย่ำแย่ไปหมด ไม่พ้นแม้แต่หุ้นส่วนของเขา ที่ไม่ยอมขายหุ้นทิ้ง

ดังนั้น Martin จึงคุยกับ Mark ว่า ถ้านายอยากได้บ้านหลังนี้ ในราคา $12.5 ล้านดอลล่าร์ฯ หรือราคาแค่ครึ่งเดียวของราคาสร้างจริงแล้วนั้น มีข้อแม้เดียวคือ ถ้านายจ่ายสดภายในวันนี้

ทั้ง ๆ ที่บ้านหลังดังกล่าว ตัวของ Mark Cuban เองนั้น เขาไม่เคยเห็นบ้านจริงมาก่อนซะด้วยซ้ำ เห็นแค่ภาพบางภาพเท่านั้นเอง แถมยังไม่เคยไปเยือนบ้านหลังดังกล่าวเลยแม้แต่ครั้งเดียว

แต่ Mark Cuban นั้น ก็ตอบตกลงซื้อในทันที เพราะอะไรน่ะหรือ? ก็เพราะเขาคือ Billionaire ยังไงล่ะ เงินแค่นี้จิ๊บจ๊อย

ซึ่งเขาก็ได้บทเรียนราคาแพงจากเหตุการณ์ดังกล่าวว่า ถ้าเงินไปซื้อบ้านตั้งแต่แรกที่เขาขายกิจการได้นั้น เขาอาจจะต้องสูญเสียเงินหลายสิบล้านดอลล่าร์ไปแบบเปล่า ๆ

แต่ในขณะที่ตัวของเขานั้น กลับได้บ้านหลังใหญ่ ใหม่เอี่ยม สุดหรู มาในราคาเพียงแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น ซึ่งบ้านหลังดังกล่าว เขาก็ใช้ในการเลี้ยงลูกของเขาทั้งสามคนให้เติบโตขึ้นมา และอาศัยอยู่จนถึงทุกวันนี้ มันเป็นบ้านที่เจ๋งโคตร ๆ

และนี่คือบทเรียนส่งท้ายที่ Mark Cuban อยากฝากไว้หากคุณต้องการเป็น Millionaire เป็นเศรษฐีเงินล้าน คุณต้องทำ 3 สิ่งนี้ให้สำเร็จเสียก่อน

Rule #1 – Find somthing you can be good at and then be great at it

หาสิ่งที่คุณสามารถทำได้ดี และสามารถต่อยอดสิ่งนั้นให้เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้

Rule #2 – You have to know how to sell

เมื่อคุณทำสิ่งนั้นได้ดีและยอดเยี่ยมแล้วนั้น เป็นก็เป็นธรรมดาที่สินค้าหรือบริการดังกล่าวจะเป็นที่ต้องการของผู้อื่น แต่คุณก็ต้องทำการขายมันออกไปให้ได้ด้วย ซึ่งถ้าหากคุณไม่อยากขายเอง ก็จำเป็นที่จะต้องหาคนมาอยู่ในตำแหน่งนี้ ที่ถือได้ว่าเป็นตำแหน่งที่สำคัญ

Rule #3 – Be curious and always be learning

เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างแน่นอนในธุรกิจก็คือความไม่แน่นอน ซึ่งในโลกของธุรกิจนั้น มันมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ทุก ๆ วัน ดังนั้น ความรู้ที่คุณเรียนรู้มาเมื่อวาน อาจจะใช้ไม่ได้ผลกับวันนี้หรือวันพรุ่งนี้แล้วก็เป็นได้

และเมื่อคุณสามารถทำ 3 สิ่งที่ว่าได้เป็นอย่างดีแล้ว คุณมีความรู้ ความเข้าใจในเรื่องดังกล่าวดีกว่าใคร ๆ คุณมีความสามารถในการขายสิ่งนั้นได้ดีกว่าใคร ๆ คุณมีสินค้าและบริการที่ยอดเยี่ยมกว่าใคร ๆ แล้ว

นั่นแหละ คือเวลาเริ่มต้นในการสร้างบริษัท เพื่อควบคุมและกำหนดโชคชะตาชีวิตของคุณด้วยตัวคุณเอง

Resources