Blue O'Clock

สตูดิโอผลิตและพัฒนาสื่อการเรียนรู้ด้านการลงทุน ธุรกิจ จิตวิทยาและการพัฒนาตนเอง อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

Bitcoin and CryptocurrencyHow to

รวยด้วย Bitcoin by Michael Saylor ในงาน BTC Prague 2023 Keynote

Blue O’Clock CANVAS

The Future of Bitcoin by Michael Saylor

Michael Saylor คือผู้ก่อตั้งและประธานของบริษัท MicroStrategy บริษัทมหาชน ที่มี Bitcoin ในครอบครองมากที่สุดในโลก ด้วยจำนวนกว่า 152,333 BTC

โดยในเนื้อหานี้ คือการขึ้นพูดในงาน BTC Prague 2023 Keynote เมืองปราก ประเทศเช็กเกีย ที่ทาง Michael Saylor บอกว่า นี่น่าจะเป็น Presentation ที่ดีที่สุดในปีนี้ของเขา เพราะนี่คือครั้งแรกของปีนี้ที่เขาจัดทำ slide ขึ้นมาเอง และคิดว่า ไม่น่าจะมีเวอร์ชั่นสองที่ดีไปกว่านี้แล้ว

มาเริ่มกันเลย

Economic War – สงครามทางเศรษฐกิจ

Michael Saylor เริ่มต้นประเด็นแรกในเรื่องของ Economic War หรือเรื่องของสงครามทางเศรษฐกิจของโลกเรา ที่ไม่มีวันจบสิ้น

โดยในโลกของเศรษฐกิจนั้น Michael Saylor จะใช้คำว่า Economic Energy คือการส่งพลังงานทางเศรษฐกิจ หรือจะเรียกว่า การส่งผ่านความมั่งคั่ง หรือ Wealth นั่นเอง

ซึ่งการส่งผ่านความมั่งคั่งในโลกของเรานั้น ส่วนใหญ่มันก็ส่งผ่าน Money และ Power หรือการส่งผ่านตัวเงินและอำนาจ

โดยความมั่งคั่งในโลกของเรา ณ ตอนนี้ จะเป็นไปตามแผนภาพที่ Michael Saylor นำมาเปรียบเทียบว่า ณ ตอนนี้ เม็ดเงินภายในโลก มีการกระจายตัวไปที่ตลาดใดบ้าง

โดยจากแผนภาพเม็ดเงินทั้งโลกมีขนาดอยู่ที่ราว ๆ $900 Trillions แบ่งเป็น

  • Real estate: $330T
  • Bonds: $300T
  • Money: $120T
  • Equities: $115T
  • Art: $18T
  • Gold: $12T
  • Cars, collectibles: $6T
  • Bitcoin: 0.4T

โดยการกระจายความมั่งคั่งภายในโลกนี้นั้นทาง Michael Saylor เขาบอกว่า มันได้ถูกขับเคลื่อนอยู่ด้วยกันจาก 3 กลุ่มหลัก ๆ ดังต่อไปนี้ก็คือ

กลุ่มที่ 1: Government policy

นโยบายของทางรัฐบาล ถือได้ว่า มีพลังและอำนาจมากที่สุดในสงครามเศรษฐกิจ เพราะมันคือรัฐบาลทุกหนทุกแห่งที่มีอยู่ในโลกนี้ ที่พวกเขามีอำนาจในการเคลื่อนย้ายความมั่งคั่งไปในที่ต่าง ๆ ได้

กลุ่มที่ 2: Technology

กลุ่มของเทคโนโลยีในที่นี้ ที่มีส่วนร่วมในสงครามทางเศรษฐกิจก็อย่างเช่น บริษัท Tech company ยักษ์ใหญ่ต่าง ๆ ในโลกนี้ อย่างเช่น Apple, Google, Tesla และเป็นเทคโนโลยีที่คอยขับเคลื่อนโลกไปข้างหน้าอย่างเช่น พลังงานไฟฟ้า หรือแม้กระทั่งปัญญาประดิษฐ์

กลุ่มที่ 3: Works

กลุ่มของคนทำงานอย่างหนัก ที่คุณจะต้องใช้พลังงานในการตื่นแต่เช้าเพื่อลุกขึ้นไปทำงานอย่างขยันขันแข็ง และทำการให้หนักเท่าที่สุดเท่าที่คุณจะทำได้

ซึ่งเรื่องจริงที่น่าเศร้าก็คือ ในสงครามทางเศรษฐกิจนี้นั้น พลังจากทางรัฐบาลมีพลังและอำนาจมากที่สุดใน 3 กลุ่มนี้ ซึ่งมากกว่าพลังของเทคโนโลยี และพลังการขับเคลื่อนของเทคโนโลยีก็มากกว่าพลังแรงงานจากคนทำงานหามรุ่งหามค่ำอย่างพวกเรา ๆ อีกทีหนึ่ง

ดังนั้นหาก ณ ตอนนี้ คุณคือคนหนึ่งที่ทำงานอย่างหนัก โดยไม่มีการพึ่งพาเครื่องจักรหรือการใช้คอมพิวเตอร์หรือเทคโนโลยีต่าง ๆ ช่วยในการทำงานเลย คุณจะเสียเปรียบเป็นอย่างมาก และชีวิตคุณก็จะไม่สามารถไปได้ไกลกว่าที่เป็นอยู่ได้เลย

ซึ่งหากลองย้อกลับไปดูแผนภาพขนาดของเม็ดเงินหรือขนาดของความมั่งคั่งในทองคำที่มีอยู่ราว ๆ $12T แล้วล่ะ หากย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 50 ปีที่แล้วจะพบว่า ขนาดของทองคำมันมีขนาดพอ ๆ กับขนาดของ Equities เลย แต่ด้วยพลังของเทคโนโลยีนั้น มันทำให้ตลาดของ Equities เติบโตขึ้นเป็น $115T หรือทิ้งห่างจากขนาดตลาดทองคำเกือบ ๆ สิบเท่า ในรอบห้าสิบปีที่ผ่านมา

เพราะเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่เติบโตขึ้นมานั้น ไม่ว่าจะเป็น semi-conductor เอย โทรศัพท์มือถือเอย เทคโนโลยีเหล่านี้ มันก็ไม่ได้ช่วยให้การขุดเหมืองทองคำนั้นทำได้ง่ายขึ้น

ดังนั้นการมาของเทคโนโลยี ทำให้สงครามทางเศรษฐกิจนั้นเปลี่ยนสมดุลไปจากเดิม จากเดิมที่เป็นทองคำ แต่ตอนนี้กลับเป็น Equities ที่เติบโตขึ้นมาเป็นอย่างมาก

ส่วนรัฐบาลนั้นก็ควบคุมในเรื่องของ Bonds, Real estate และ Money ที่ในที่นี้หมายถึง fiat money หรือเงินที่รัฐบาลรับรองให้สามารถใช้หนี้ได้ถูกต้องตามกฎหมาย ก็คือเงินกระดาษ เงินเหรียญ ที่เราใช้กันอยู่ทุก ๆ วันนี่แหละ

ดังนั้น หากคุณต้องการอยู่รอดในสงครามทางเศรษฐกิจนี้ได้นั้น นอกจากคุณจะต้องทำงานอย่างหนักแล้วนั้น คุณจะต้องคำนึงถึงนโยบายจากทางรัฐบาลและการมาของเทคโนโลยีด้วย ซึ่งดูยังไงในฐานะคนทำงานอย่างหนัก ก็ตกเป็นเบี้ยล่างสุดในสงครามทางเศรษฐกิจนี้ชัด ๆ

The World Reserve Currency (USD) VS Assets

ทุกคนต่างรู้ดีว่า สกุลเงินสำรองระหว่างประเทศนั้นก็คือ U.S. Dollar ของประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งหากย้อนดูมูลค่าของเงิน USD เมื่อ 100 ปีที่แล้ว จนถึงปัจจุบัน คุณก็จะพบว่า เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับราคาสินค้า ของกิน ของใช้ต่าง ๆ เช่น ลูกอม น้ำดื่ม ก็จะพบว่า ในช่วงร้อยปีที่ผ่านมา พวกมันมีราคาแพงขึ้นถึง 20 เท่า หรือพูดในอีกนัยหนึ่งก็ได้เช่นกันว่า มูลค่าของเงิน USD ในช่วงปี 1910-2023 นั้น มันสูญเสียอำนาจในการจับจ่ายใช้สอยไปแล้วกว่า 95% เมื่อเทียบกับสินค้าอุปโภคบริโภคในปัจจุบัน

แต่หากถามรัฐบาล พวกเขาก็จะบอกว่า U.S. Dollar มันไม่ได้ด้อยค่า แต่ที่ราคาสินค้ามันแพงขึ้นเป็นเพราะ Inflation หรือเงินเฟ้อต่างหาก

ดังนั้นทาง Michael Saylor จึงบอกว่า งั้นเอาค่าเงิน USD ไปเปรียบเทียบกับอย่างอื่นดูบ้างก็ได้

ซึ่งเมื่อนำเงิน USD มาเปรียบเทียบกับทองคำ ก็กลับพบว่า ในรอบร้อยปีโดยประมาณที่ผ่านมา จากปี 1923-2023 ก็จะพบว่า เงิน USD นั้น ได้สูญเสียมูลค่าในตัวมันเองไปถึง 99% แล้ว เมื่อเทียบกับทองคำ

หรือเอาอีกสักตัวอย่าง เมื่อนำเงิน USD ไปเปรียบเทียบกับตลาดหุ้นยักษ์ใหญ่ในอเมริกาอย่าง S&P 500 ที่เป็นตลาดที่รวบรวมบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดจำนวน 500 แห่งในสหรัฐอเมริการวมกัน เทียบมูลค่าหนึ่งร้อยปีที่ผ่านมา 1923-2023 เช่นกัน ก็กลับพบว่า USD ได้สูญเสียมูลค่าในตัวมันเองไปแล้วกว่า 99.8% เมื่อเทียบกับ S&P 500

ซึ่ง Michael Saylor พยายามทำให้คุณมองเห็นภาพว่า นี่ขนาด USD เป็นสกุลเงินที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก ที่มีประเทศที่ชนะศึกสงครามในรอบร้อยปีที่ผ่านมาคอยหนุนหลังอยู่

หรือถ้าทองคำกับหุ้นเอามาเทียบกับสกุลเงิน USD แล้วมันยังดูยากไป ก็ลองไปเทียบกับ Asset อีกสักตัวอย่างนึงที่น่าจะเข้าใจได้ง่ายกว่า โดยทาง Michael Saylor ก็ได้นำมูลค่าของ USD ไปเปรียบเทียบกับราคาในตลาดอสังหาริมทรัพย์ในรัฐ Miami ในช่วงร้อยปีที่ผ่านมา (1923-2023) เช่นกัน ก็จะพบว่า USD มีอำนาจในการจับจ่ายใช้สอยลดลงกว่า 99.8% เมื่อเทียบกับอสังหาริมทรัพย์

และย้ำอีกครั้ง นี่คือ สกุลเงินที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกยังขนาดนี้ แต่… หากเป็นสกลุเงินของประเทศอื่น ๆ บ้างล่ะ จะเป็นยังไงบ้าง?

โดยทาง Michael Saylor เขาก็ได้นำค่าเงิน เปโซอาร์เจนตินา (ARS) ไปเปรียบเทียบกับค่าเงิน USD ก็กลับพบว่า ในช่วงแค่ 20 ปีมานี้ มันได้สูญเสียมูลค่าในตัวมันไปมากกว่า 99.8% เมื่อเทียบกับค่าเงิน USD ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่เงิน USD ได้สูญเสียมูลค่าในตัวมันเองไปกว่า 75% เมื่อเทียบกับ S&P index ในช่วงยี่สิบปี

ดังนั้น คุณก็ลองไปคำนวณกันเอาเองว่า สกุลเงินประเทศอื่น ๆ นั้น แย่ยิ่งกว่า USD มากแค่ไหน

ซึ่งถ้าหากคุณทำงานอย่างหนักในประเทศอาร์เจนตินา เปิดบริษัทที่หากปกติมีรายได้ปีละ 1 ล้านเปโซ คุณจะต้องเพิ่มรายได้ของบริษัทให้เป็น 500 ล้านเปโซให้ได้ในช่วงระยะเวลา 20 ปี เพียงเพื่อจะคงความมั่งคั่งเอาไว้ให้เท่าเดิม

ดังนั้น นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมทาง Michael Saylor เขาพยายามจะสื่อว่า การทำงานอย่างหนัก ไม่สามารถเอาชนะในสงครามเศรษฐกิจนี้ได้เลย

ซึ่งวิธีการเดียวที่จะอยู่รอดในสงครามทางเศรษฐกิจนี้ได้ คุณจะต้องออกจากระบบสกุลเงินที่ล่มสลายเหล่านี้ และถ้าถามว่า สกุลเงินประเทศอื่น ๆ เป็นยังไงบ้าง ก็ดูได้จากข้อมูลดังต่อไปนี้

หากคุณเลือกที่ถือสกุลเงิน Lira ของประเทศตุรกี ก็จะพบว่า มันได้สูญเสียมูลค่าในตัวมันเองไปแล้วมากกว่า 95% เมื่อเทียบกับสกุลเงิน USD ในช่วง 22 ปีที่ผ่านมานี้ (2001-2023)

หรือจะลองย้ายไปอินเดีย ที่มีสกุลเงิน Rupee ก็จะพบว่า ในช่วง 42 ปี ที่ผ่านมา(1980-2023) มันได้สูญเสียมูลค่าไปแล้วกว่า 90% เมื่อเทียบกับสกุลเงิน USD

หรือสกุลเงิน Rupee ในประเทศปากีสถานในช่วง 2000-2023 มูลค่าได้หายไปกว่า 82% เมื่อเทียบกับสกุลเงิน USD

หรือจะเป็นประเทศบราซิล สกุลเงิน Real ก็ได้สูญเสียมูลค่าในตัวมันไปแล้วกว่า 65% ในช่วง 2000-2023 เมื่อเทียบกับสกุลเงิน USD

ดังนั้น ความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจในช่วง 100 ปีที่ผ่านมาของโลกเรานั้น จึงถูกถ่ายโอนไปยังผู้ที่ชนะในศึกสงครามทางเศรษฐกิจ ที่เป็นเจ้าตลาดอันดับหนึ่งนั่นก็คือ รัฐบาล แล้วพวกเขาก็เลือกที่จะแจกจ่ายความมั่งคั่งเหล่านั้น ให้แก่พรรคพวก พวกพ้อง ลูกน้อง หรือใครก็ตามที่พวกเขาอยากจะเปย์

โดยสรุปก็คือ หากคุณต้องการที่จะรักษาความมั่งคั่งเอาไว้ คุณจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนสกุลเงินต่าง ๆ เหล่านี้ ไปเป็น Assets ไปเป็นทรัพย์สินที่หาได้ยาก, พกพาได้สะดวก, มีความทนทาน และบำรุงรักษาได้ง่าย

โดย Asset บางอย่างเป็นสิ่งที่หายากและเป็นที่ต้องการของผู้คน แต่พวกมันไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้ อย่างเช่น อสังหาริมทรัพย์ ซึ่งหากคุณเป็นเจ้าของอสังหาฯ ใน Miami ที่มีมูลค่า $1 ล้านดอลล่าร์ฯ แล้วล่ะก็ ในปี ๆ หนึ่ง คุณจะต้องสูญเสียค่าบำรุงรักษาราว ๆ เฉลี่ยปีละ $20,000 ดอลล่าร์ฯ และจะต้องเสียแบบนี้ในทุก ๆ ปี แถมยังมีเรื่องของภาษีที่ยังไม่ได้นับรวมอีกต่างหาก

ส่วนถ้าหากนักลงทุนใครบางคนที่บอกว่า ให้ไปลงทุนในตลาดหุ้นอย่าง S&P 500 ดูสิ เพราะได้ผลตอบแทนเฉลี่ยปีละ 7%-8% ต่อปี แต่เมื่อทาง Michael Saylor ได้นำมาเปรียบเทียบกับกราฟของปริมาณ Money Supply ที่เพิ่มขึ้นนั้น มันก็กลับมีอัตราเรทที่สูงขึ้นพอ ๆ กับดัชนี S&P 500 กันเลยทีเดียว

ซึ่งถ้าหากคุณเป็นนักลงทุนที่ดี คุณก็เริ่มที่จะตระหนักแล้วว่า การลงทุนส่วนใหญ่นั้นมักไม่ได้กำไร

โดยจากกราฟผลตอบแทนจาก Asset Class สินทรัพย์ในรูปแบบต่าง ๆ ที่ทาง JP Morgan .ในรวบรวมข้อมูลข้อมาตลอด 20 ปี (2001-2020) นำไปเทียบกับอัตราเงินเฟ้อ ก็จะพบว่า

Commodity – สินค้าโภคภัณฑ์

ผลตอบแทนจาก commodity หรือสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น พวก แร่เงิน แร่ทองคำ ก๊าซธรรมชาติ น้ำมัน ถั่วเหลือง ท่อนซุง หมูสามชั้น ฯลฯ

ซึ่งสาเหตุที่สินค้าโภคภัณฑ์ เป็นการลงทุนที่แย่นั้นก็เป็นเพราะว่า มันเป็นสิ่งที่มนุษย์เก่งในเรื่องของการผลิตและการสร้างสินค้าเหล่านี้เป็นอย่างมาก ซึ่งสามารถใช้ความรู้ เงินทุนและเทคโนโลยีช่วยในการผลิตสินค้าได้เป็นจำนวนมาก ในต้นทุนที่ต่ำลง กดราคาสินค้าได้

ดังนั้นการนำเงินของคุณไปใส่ไว้สินค้าโภคภัณฑ์นั้น เงินของคุณจะละลาย

Cash – เงินสด

การเก็บทรัพย์สินเอาไว้ในรูปของเงินสด เช่นการฝากธนาคารกินดอกเบี้ยเอาไว้นั้น อย่างที่เราเห็นกันอยู่ว่า อยู่ที่ 1% นิด ๆ เท่านั้น ฝากเงินบางประเภทก็ได้ผลตอบแทนน้อยกว่า 1% ซะด้วยซ้ำ

แถมทางรัฐบาลยังออกค่า CPI: Consumer Price Index ดัชนีราคาผู้บริโภค ที่ทางรัฐฯ มักจะยกราคาสินค้าที่มีการเพิ่มราคาที่ไม่มากนัก นำมาแสดงให้ประชาชนดู เพื่อให้ค่าเงินเฟ้อ ดูต่ำที่สุด ที่โดยเฉลี่ยมักจะมีค่า Inflation อยู่เฉลี่ยราว ๆ 2% ต่อปี หรือบางประเทศก็อยู่ที่ราว ๆ 3%-4% ต่อปี ซึ่งก็ดูไม่มากอะไร

แถมยังดูดีมากด้วยเมื่อนำค่า CPI 2% ที่ทางรัฐฯ ไปเปรียบเทียบกับผลตอบแทนที่ได้จากตลาดหุ้นยักษ์ใหญ่อย่าง S&P 500 ที่ได้ผลตอบแทนเฉลี่ย 7.5% ต่อปี คุณก็อาจคิดว่าตนเองนั้น คือนักลงทุนอัจฉริยะ

แต่หากนำไปเปรียบเทียบค่าเงินเฟ้อที่แท้จริง ที่เกิดขึ้นกับเงิน U.S. Dollar ในช่วงร้อยปีที่ผ่านมา มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 8% ต่อปี

ในขณะที่ค่าเฉลี่ยผลตอบแทนของนักลงทุนที่อยู่ในตลาดนั้น มักทำผลตอบแทนได้อยู่ที่แค่ 2.9% ต่อปี

ดังนั้น หากดูจากกราฟดังกล่าวก็จะพบว่า โอกาสเดียวที่คุณจะได้ผลตอบแทนที่สามารถเอาชนะค่าเงินเฟ้อที่แท้จริงได้นั้นคือทางซ้ายสุดของกราฟ นั่นก็คือ REITs : Real Estate Investment Trust คือ กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ โดยหน้าที่ของกองทุนนี้ก็คือ การที่พวกเขาเข้าไปบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ที่สร้างรายได้ได้อย่างต่อเนื่อง แล้วก็นำผลกำไรที่ได้มาจ่ายเป็นเงินปันผลให้กับนักลงทุน ซึ่งต่อให้คุณถือถูกกองทุนที่เก่งกาจ คุณก็แค่เหมือนพึ่งพ้นผิวน้ำเท่านั้นเองเมื่อเทียบกับค่าอัตราเงินเฟ้อที่แท้จริง

กลายเป็นว่า การลงทุนเหล่านี้ ทำไปเพียงเพื่อลดความเร็วในการสูญเสียเงินของคุณว่าคุณจะสูญเสียเงินเร็วหรือช้าก็เท่านั้นเอง

ซึ่งถ้าหวังเอาไว้ว่า จะสามารถรักษาความมั่งคั่งเอาไว้ให้ได้ตลอดหนึ่งร้อยปีต่อจากนี้แล้วล่ะก็ คุณก็ต้องภาวนาและหวังว่า รัฐบาลในประเทศของคุณจะบริหารได้เป็นอย่างดี ไม่ผิดพลาด, หรือหวังเอาไว้ว่าจะไม่โดนภาษีมรดกแบบจุก ๆ ตอนส่งมอบทรัพย์สินให้รุ่นลูกรุ่นหลาน

ดังนั้นมันเป็นความหวังที่ริบหรี่มาก หากคุณต้องการที่จะรักษาความมั่งคั่งที่คุณอุตส่าห์สั่งสมเอาไว้เมื่อร้อยปีที่แล้วในโลกนี้

และสาเหตุที่นักลงทุนส่วนใหญ่ทำผลงานได้ไม่ค่อยดีนัก สาเหตุนั่นก็เป็นเพราะพวกเขาเหล่านั้นมี Bad Habbits หรืออุปนิสัยในการลงทุนที่ไม่ดี

ซึ่งจากกราฟผลตอบแทนในช่วง 30 ปีย้อนหลังล่าสุดที่ผ่านมา ทาง Michael Saylor ได้แสดงกราฟว่า กราฟซ้ายมืออันแรกสุด หากคุณซื้อแล้วถือมันเอาไว้อย่างเดียวโดนไม่ทำการขายเลย ตลอด 30 ปี คุณจะได้ผลตอบแทนอยู่ที่ราว ๆ เฉลี่ยปีละ 7.82%

แต่ในขณะที่หากคุณทำการซื้อ ๆ ขาย ๆ หรือทำการ Trade แล้วพลาดขายในวันที่ไม่ใช่จุดที่ทำกำไรสูงสุดในตลาดได้นั้น ยิ่งคุณเทรดผิดวันมากเท่าไหร่ คุณก็ยิ่งได้ผลตอบแทนน้อยลงเท่านั้น

ยกเว้นเสียแต่ว่า คุณเป็นเทพแห่งการเทรด อันนั้นคือคุณรวยแน่ ๆ อย่างไม่ต้องสงสัย

แต่ในขณะที่นักลงทุนทั่ว ๆ ไป มีโอกาสในการผิดพลาดในการเทรดที่สูงมาก ยิ่งเทรดบ่อย ยิ่งพลาดบ่อย และยิ่งพลาดบ่อย ผลตอบแทนก็ยิ่งน้อยลง จากกราฟจะเห็นได้ว่า ถ้าในปี ๆ หนึ่งคุณเทรดพลาด สัก 50 ครั้ง ผลตอบแทนที่ได้จะออกมาเป็นติดลบ นั่นคือยิ่งเทรดยิ่งจน

ดังนั้น ซื้อแล้วถือเอาไว้ คือกลยุทธ์ที่ดีที่สุดในการลงทุน นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ว่า ทำไมทาง Michael Saylor มักจะย้ำอยู่เสมอว่า ใครก็ตามที่กำลังเทรด bitcoin หรือทำการซื้อ ๆ ขาย ๆ มันอยู่ล่ะก็ มันไม่เวิร์คหรอก ให้คุณลองคิดดี ๆ แบบไม่มโน เพราะจากกราฟข้อมูลก็เห็น ๆ กันอยู่ แถมผู้คนส่วนใหญ่ก็มักจะขายเพื่อทำกำไรไม่ถูกที่ถูกเวลา

จากกราฟเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2023 ที่ผ่านมาคุณจะพบว่า หากคุณลงทุนใน S&P 500 หรือบริษัทที่ดีที่สุด 500 อันดับแรก ในสหรัฐอเมริกา จะมีบริษัทจำนวนกว่า 99% หรือจำนวน 493 บริษัท นั้น มีผลตอบแทนแทบจะเป็นศูนย์

ในขณะที่มีบริษัทเพียง 7 บริษัทเท่านั้น ที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้มากกว่า 50% นั่นก็คือ META, AMZN, AAPL, MSFT, GOOGL, TSLA และ NVDA

นั่นหมายความว่า การลงทุนบริษัทในตลาดหุ้นจำนวนกว่า 99% นั้น ไม่สามารถเอาชนะอัตราค่าเงินเฟ้อได้

แต่ถ้าคุณเป็นเซียนหุ้นขั้นเทพก็แล้วไป เพราะคุณน่าจะเลือกลงทุนในหุ้นได้ถูกตัว แต่ในขณะที่นักลงทุนจำนวนกว่าร้อยละ 99 นั้น มักเลือกหุ้นผิดตัว

ส่วนการกระจายความเสี่ยงในการลงทุนในหุ้นหลาย ๆ ตัวนั้น ทาง Michael Saylor เขาก็บอกว่า ถ้าคุณลงทุนเน้น ๆ ที่หุ้นของบริษัท Apple และ Amazon เป็นหลักคุณอาจจะได้ผลตอบแทนที่สูงถึง 44% แต่พอคุณรวมหุ้นจากบริษัทอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ตัวท็อป ๆ ลงไปใน portfolio ของคุณด้วยแล้วนั้น ผลตอบแทนที่คุณจะได้อาจลดลงเหลือแค่เพียง 10% ต่อปีเท่านั้น นั่นจึงทำให้การลงทุนแบบกระจายความเสี่ยงนั้น ไม่ใช่การลงทุนที่ได้รับผลตอบแทนมากที่สุด

What is money? – เงินคืออะไร

โดยในทางทฤษฎีแล้วนั้น เงินคือวิธีการที่คุณจะกักเก็บพลังงานทางเศรษฐกิจของคุณเอาไว้ โดยที่คนอื่นไม่สาามรถขโมยความมั่งคั่งไปจากคุณได้ อย่างเช่น จากรัฐบาลของคุณ หรือจากการลงทุนที่ผิดพลาด ฯลฯ

ดังนั้นการมี Perfect Money หรือเงินที่ยอดเยี่ยมนั้น คือทางออกที่ดีที่สุดในการที่คุณจะสามารถรักษาความมั่งคั่งเอาไว้กับตัวคุณได้นั่นเอง

แล้วทองคำนั้น ใช่เงินที่ยอดเยี่ยมที่เรากำลังตามหาหรือไม่ ซึ่งทาง Michael Saylor เขาก็บอกว่า ทองคำ คือหนึ่งในเงินที่น่าสนใจในการที่มนุษย์พยายามที่จะรักษาความมั่งคั่งเอาไว้ในตัวมัน

แต่ทองคำนั้น ก็มีข้อบกพร่องตรงที่ว่า หากเราดูสถิติการขุดทองคำขึ้มาบนพื้นโลกในช่วงย้อนหลังไปประมาณ 35 ปี ที่มีปริมาณการขุดเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 2%-3% ในทุก ๆ ปี ก็จะพบว่า จำนวนทองคำที่ถูกขุดขึ้นมาบนพื้นโลกแล้วนั้นจะมีจำนวน supply เป็น 2 เท่า หรือสามารถแปลได้อีกนัยหนึ่งก็คือ ทุก ๆ 35 ปี ความมั่งคั่งของคุณที่ฝากเอาไว้ในทองคำนั้น จะลดลงครึ่งนึง เพราะอย่างที่เราทราบกันดีว่า อะไรก็ตามที่ถูกผลิตเพิ่มขึ้นได้ มันก็จะถูกลดทอนมูลค่าลงตามหลักเศรษฐศาสตร์ แถมเมื่อยิ่งมีปริมาณทองคำที่มากขึ้น ก็จำเป็นที่จะต้องยกระดับการปกป้องทรัพย์สินมากยิ่งขึ้น ดูแลได้ยากขึ้น

ซึ่งวิธีการที่จะทำให้ ทองคำ กลายเป็นเงินที่ perfect ได้นั้น สิ่งที่จะต้องทำก็คือ ให้ทำการหยุดทองคำเพิ่มขึ้นมาอีกทั้งโลก และทำให้มันสามารถส่งไปมาหากันได้แบบเทเลพอร์ทข้ามโลก หรือสามารถพกพามันเอาไว้ในหัวของคุณไปไหนมาไหนก็ได้บนโลกใบนี้

ซึ่งแน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ มันไม่สามารถเกิดขึ้นกับทองคำได้อย่างแน่นอน

ดังนั้นการที่จะเป็น Sound Money หรือเงินในอุดมคติได้นั้น มันจะต้องขุดหรือสร้างเงินใหม่ได้ยากมาก ๆ ซึ่งจากกราฟจะเห็นได้ว่า อัตราการขุด bitcoin ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงปัจจุบันนั้นจะพบว่า bitcoin มันขุดยากขึ้นจากเดิมมากถึง 50 ล้านล้านเท่า

ซึ่งสิ่งนี้มันบ่งบอกถึงอะไร?

สิ่งนี้มันบ่งบอกถึงว่า การที่จะเป็น Sound Money หรือเงินในอุดมคติที่ดีได้นั้น จะต้องมี supply หรืออุปทานที่จำกัด และการที่จะทำให้มีอุปทานที่จำกัดนั้นก็คือ ทำให้สิ่งนั้นมันสร้างขึ้นใหม่ได้ยากขึ้นเป็นทวีคูณ

ซึ่งเหล่าบรรดา bitcoiner ที่เสมือนเป็นคนชนกลุ่มเล็ก ๆ ที่โดนดูแคลนนั้น พวกเขากลับช่วยกันสร้าง network ของ bitcoin มาตลอดระยะเวลากว่า 14 ปี ที่สามารถต่อสู้กับระดับสติปัญญาของมนุษย์ที่พยายามสร้างผลผลิตออกมาเป็นจำนวนมหาศาลได้เมื่อวันเวลาผ่านไป

แต่ถึงมนุษย์จะมีสติปัญญาและเงินทุนมากเท่าไหร่ ก็ยังไม่สามารถทำให้ปริมาณการขุดของ bitcoin เพิ่มขึ้นได้ ซึ่งนี่คือสิ่งที่หากันไม่ได้ง่าย ๆ ที่จะมีอะไรต่อกรกับสติปัญญาของมนุษย์

ซึ่งการที่อะไรมันสร้างขึ้นใหม่ได้ยากและเป็นที่ต้องการของผู้คนนั้น เป็นคุณสมบัติสำคัญของการเป็น Sound Money หรือเงินในอุดมคติ

จากที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ เราจะเห็นได้ว่า half-life ของทองคำ หรือปริมาณ supply ของทองคำจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในทุก ๆ 35 ปี ซึ่งทองคำก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า มันทำหน้าที่เป็นเงินในการรักษาความมั่งคั่งได้ดีกว่า สกุลเงิน U.S. Dollar ดีกว่าแร่เงิน ดีกว่าเงินสกุลเปโซอาร์เจนตินา และดีกว่าน้ำมัน

แต่ในขณะที่ เวลา bitcoin halving กำลังจะมาถึงในปี 2024 นี้ half-life ของ bitcoin จะขยับขึ้นเป็น 100 ปี และในปี 2036 half-life ของ bitcoin จะขยับเป็น 1,000 ปี และในปี 2048 half-life ของ bitcoin จะขยับเป็น 10,000 ปี

ความหมายที่ Michael Saylor พยายามจะสื่อก็คือ เงินประเภทอื่น ๆ นั้น มันมีการเพิ่มขึ้นของจำนวน supply อยู่ตลอดเมื่อวันเวลาผ่านไป แต่ในขณะที่ bitcoin นั้น ยิ่งนานวันมันยิ่งผลิตได้น้อยลง ทำให้ยิ่งนานวัน มันจะไม่ลดมูลค่า มันจะสามารถรักษามูลค่าความมั่งคั่ง หรือรักษา Economic Energy หรือพลังงานทางเศรษฐกิจ แบบไม่สูญเสียมูลค่าในตัวมันเองได้ตลอดไป

และจากการคำนวณของทาง Michael Saylor นั้น เขาก็มองว่า เจ้า bitcoin นี่แหละ คือความหวังของทั้งในระดับองค์กรและระดับครัวเรือน ที่จะสามารถรักษาความมั่งคั่งไว้กับตัวเองได้ มีโอกาสหลุดพ้นจากความยากจน

ซึ่งถ้าเอาข้อมูลนี้ไปคุยกับนักการเมือง เอาไปคุยกับคนที่มีอำนาจในสินค้าโภคภัณฑ์ (commodities) พวกเขาก็จะบอกว่า กราฟนี้มันเป็นไปไม่ได้หรอก

แต่จากการคำนวณของทาง Michael Saylor เขาก็พบว่า bitcoin นี่แหละคือทางออกจาก Economic War นี่คือวิธีการเอาชนะในสงครามทางเศรษฐกิจ

นั่นก็คือ การ hold หรือถือครองทรัพย์สินทางเงินที่ดีที่สุด

ซึ่งจากกราฟก็จะเห็นได้ว่า ถ้าคุณเลือกที่จะถือครองสกุลเงิน U.S. Dollar ที่แม้เป็นสกุลเงินที่ดีที่สุดในโลก แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป มันจะมีค่าเข้าใกล้ศูนย์อย่างรวดเร็ว

ส่วนการเลือกถือทองคำนั้น ดูดีกว่าสกุลเงิน U.S. Dollar

และหากเลือกถือครองหุ้น ก็ดูดีกว่าการถือครองทองคำ

และการเลือกถือครอง bitcoin ที่ถือว่าเป็นเงินที่ดีที่สุดในท้องตลาดนั้น คือทางออกของสงครามทางเศรษฐกิจ (Economic War)

ต่อมาทาง Michael Saylor ได้เปรียบเทียบระหว่างความเสี่ยงในการเก็บเงินเอาไว้ในรูปของหุ้นบริษัท กับความได้เปรียบในการเก็บความมั่งคั่งเอาไว้ใน bitcoin

โดยความเสี่ยงจากการที่หากเลือกที่จะเก็บความมั่งคั่งเอาไว้ในรูปของหุ้นบริษัทต่าง ๆ ก็จะพบว่า มันจะมีความเสี่ยงอย่างน้อยอยู่ 7 อย่าง

  • ค่าจัดการจัด ซึ่งแน่นอนว่าพวกเขาเลือกที่จะจ่ายค่าแรงให้กับตัวเองอยู่แล้ว จากการบริหารงาน โดยให้คิดไว้สัก 1%
  • ความเสี่ยงด้านแรงงาน ที่อย่างน้อยบริษัทจะต้องขึ้นค่าแรง 1%
  • มีการแข่งขันในตลาด คุณจะต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มในการผลิตสินค้าออกมาให้มากขึ้นคิดเป็น 1%
  • ด้านเทคโนโลยี จะต้องมีค่าใช้จ่ายด้านนี้เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ดียิ่งขึ้น คิดเป็น 1%
  • มีค่าใช้จ่ายด้านกฎระเบียบข้อบังคับ ให้คิดเป็น 1%
  • ค่าภาษีคิดเป็น 1%
  • กรณีที่อาจเกิดสงครามระหว่างประเทศที่อาจจะเป็นการที่จู่ ๆ เรือบรรทุกน้ำมันก็ระเบิด หรือสงครามทางเศรษฐกิจที่จู่ ๆ ก็มีการเก็บภาษีที่สูงลิ่วเพิ่มขึ้นแบบฉับพลัน ก็ให้คิดเป็นสัก 1%

หรือรวม ๆ แล้ว ความเสี่ยงในการกิจการบริษัทนั้น จะต้องคิดรวมความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากกรณีต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น รวม ๆ แล้วมีความเสี่ยงอย่างน้อย -7%

ในขณะที่ฝั่งของการเลือกเก็บความมั่งคั่งเอาไว้ในรูปของ bitcoin นั้น แทบจะตัดความเสี่ยงในแบบที่บริษัทมีไปได้เลย เช่น

  • การบริหารเป็นระบบซอร์ฟแวร์ควบคุม ไม่ได้ใช้คนบริหารงาน
  • ด้านแรงงานคนไม่ต้องใช้ เพราะเป็นระบบดิจิตอล
  • ด้านการแข่งขันนั้นไม่มี เพราะ bitcoin คือหนึ่งเดียวที่แตกต่างจากเหรียญ altcoin อื่น ๆ เพราะผู้สร้างอย่าง Satoshi Nakamoto เมื่อสร้างมาแล้ว เขาก็ปล่อยให้เป็นประโยชน์แก่โลก โดยปราศจากการได้รับผลประโยชน์ใด ๆ และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวไม่เหมือนเหรียญอื่นใด
  • ด้านเทคโนโลยีนั้น มันแตกต่างจากการที่จะมีเวอร์ชั่นใหม่ ๆ อย่าง iPhone 15 ออกมาในอนาคต แต่ในขณะที่ bitcoin นั้น มันมีได้เพียงแค่ 21 ล้านเหรียญเท่านั้น ถ้าวันนี้คุณครอบครองจำนวน 1 เหรียญ bitcoin ไม่ว่าจะอีกร้อยปี พันปี หมื่นปี มันก็จะยังคงเป็น 1 ใน 21 ล้านเหรียญเช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
  • และเนื่องจาก bitcoin มันอยู่บนโลกไซเบอร์ มันจึงไม่มีการเน่าเปื่อย
  • ไปได้ทั่วโลก
  • และไม่สามารถทำลายได้ แม้มีสงคราม

ดังนั้นทาง Michael Saylor จึงคิดให้ว่าอย่างน้อย การลงทุนใน bitcoin นั้นได้ผลตอบแทนอย่างขี้เหร่เลยเอาสัก 14% ต่อปี (ซึ่งเอาจริง ๆ ในช่วง 1-3 ปี ที่ผานมามันมีผลตอบแทนอยู่ที่ราว ๆ 40$-50% ซะด้วยซ้ำ และถ้าลงทุนนานก่อนหน้านี้ก็จะยิ่งมีผลตอบแทนมากกว่านี้เป็นเท่าตัว)

ทีนี้ทาง Michael Saylor เขาก็ได้กางตารางกลยุทธ์ในการถือเงินเอาไว้ในรูปของ asset ต่าง ๆ เทียบกันดูว่า ถ้าในวันนี้วันมีมูลค่าอยู่ที่ $1,000,000 ดอลล่าร์ฯ ในอีก 100 ปีข้างหน้า มันจะเหลือมูลค่าเท่าไหร่ ถ้าสมมติให้อัตราค่าเงินเฟ้ออยู่ที่ -7% ต่อปี

ถ้าบริษัทคุณหรือครอบครัวของคุณ ถือเงินเอาไว้ในรูปของเงินสด สกุลเงินสำรองระหว่างประเทศที่ดีที่สุดในโลกอย่าง U.S. Dollar ภายในปี 2023 นี้ เป็นจำนวน $1,000,000 ในปี 2123 มันจะเหลือมูลค่าเพียง $977

ถ้าเก็บเงินเอาไว้ในรูปของ Bonds หรือตราสารหนี้ พวกพัธบัตรรัฐบาล โดยมีผลตอบแทนเฉลี่ยปีละ 3.5% ภายในปี 2023 นี้ เป็นจำนวน $1,000,000 ในปี 2123 มันจะเหลือมูลค่าเพียง $31,250

ถ้าเก็บเงินเอาไว้ในรูปของ S&P หรือในรูปของหุ้นบริษัท ที่มีผลตอบแทนเฉลี่ยปีละ 7% ในปี 2023 นี้ เป็นจำนวน $1,000,000 ภายในปี 2123 มันจะเหลือมูลค่าเท่าเดิมคือ $1,000,000 เพราะมันหักล้างกับอัตราค่าเงินเฟ้อพอดี

ถ้าเก็บเงินเอาไว้ในรูปของ S&P ครึ่งหนึ่ง และแบ่งไปเก็บใน Bitcoin อีกครึ่งหนึ่ง เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยง ในปี 2023 นี้ เป็นจำนวน $1,000,000 ภายในปี 2123 มันจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเป็น $512,500,000

แต่ถ้าคุณเก็บเงินเอาไว้ในรูปของ Bitcoin เพียงอย่างเดียว และเอาแค่ให้ผลตอบแทนที่ประมาณ 14% ต่อปี ในปี 2023 นี้ เป็นจำนวน $1,000,000 ภายในปี 2123 มันจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเป็น $1,024,000,000 ซึ่งมีมูลค่ามากกว่าพอร์ทแบบการกระจายความเสี่ยงในแบบที่ผสมกับพวกหุ้น S&P ถึง 2 เท่าตัวเลยทีเดียว

ดังนั้น หากคุณถือเงินในรูปของ Bitcoin เอาไว้ในตอนนี้จำนวน $1,000,000 ที่คิดแค่เพียงผลตอบแทน 14%/year และสมมติว่าอัตราเงินเฟ้อเอาไว้ที่ -7%/year หรือมีผลตอบแทนที่แท้จริงหลังจากหักค่าเงินเฟ้อแล้วอยู่ที่ 7%/year แล้วถือมันเอาไว้เป็นเวลาหนึ่งร้อยปี คุณจะกลายเป็น Billionaire หรือเศรษฐีพันล้านโดยอัตโนมัติ โดยที่ไม่ต้องไปมัวเทรด ซื้อ ๆ ขาย ๆ ให้เสียเวลา

ซึ่งถ้าเราย้อนดูข้อมูลจริง ๆ ที่ขึ้น ย้อนกลับไปเมื่อช่วงเดือนสิงหาคม ในปี 2020 ก็จะพบว่า ผลตอบแทนในทรัพย์สินต่าง ๆ นั้น Bitcoin ชนะขาดลอย ชนะทั้ง S&P 500, Nasdaq ในขณะที่การลงทุนใน Gold, Silver และ Bonds กลับทำให้คุณจนลง

ซึ่งในเดือนสิงหาคม ปี 2020 คือครั้งแรกที่บริษัท Microstrategy ของ Michael Saylor นั้น เขาได้ตัดสินใจใช้กลยุทธ์ในการถือเงินในรูปของ Bitcoin จนมาถึงวันที่ 2 มิถุนายน 2023 ก็ทำให้บริษัท Microstrategy เติบโตถึง 145% เพราะนอกจาก Bitcoin ราคาจะขึ้นแล้ว ราคาหุ้นของบริษัทยังขึ้นเสริมไปด้วย

ดังนั้น ทาง Michael Saylor จึงบอกว่า นี่คือบริษัทหรือครอบครัวใดก็ตามที่ใช้กลยุทธ์ในการซื้อแล้วถือ Bitcoin เอาไว้โดยไม่ขาย ซื้อแบบ DCA คือการถัวเฉลี่ยซื้อไปเรื่อย ๆ โดยไม่สนใจว่าราคา ณ ตอนนั้นจะเป็นอย่างไร ไม่สนใจที่ถือเงินในรูปแบบอื่นอย่าง ทองคำ แร่เงิน หรือตราสารหนี้

ซึ่งก็สังเกตได้ว่าทางบริษัท Microstrategy นั้น ได้มีการถือ Bitcoin อยู่เรื่อย ๆ โดย ณ วันที่ 3 กรกฎาคม ปี 2023 ล่าสุดนี้ บริษัท Microstrategy มี Bitcoin ในครอบครองแล้วจำนวนกว่า 152,333 BTC

และจากกราฟแรกสุด ตอนนี้ทั้งโลกต่างก็รู้แล้วว่า Bitcoin มันได้เข้ามาร่วมในสงคราม Asset ทั่วโลกนี้แล้ว และถ้าหาก Bitcoin มันเติบโตขึ้นไปอีก และเพียงแค่มันได้ส่วนแบ่งจากตลาดทรัพย์สินอื่น ๆ ทั่วโลก อย่างละเล็กอย่างน้อย ตามตารางด้านล่างนี้แล้วล่ะก็

Bitcoin จะมีศักยภาพเติบโตได้อย่างน้อยสุดคือเท่ากับขนาดตลาดทองคำที่ $12 ล้านล้านดอลล่าร์ฯ หรือโตขึ้นจากปัจจุบันได้อีก 30 เท่า และมีศักยภาพเติบโตสูงสุดถึง $200 ล้านล้านดอลล่าร์ฯ หรือโตขึ้นจากปัจจุบันได้อีก 500 เท่า (ซึ่งถ้าสัดส่วนได้ตามนี้ ราคาของ Bitcoin จะอยู่ที่ราคาเหรียญละ $10 ล้านดอลล่าร์ฯ ต่อ BTC เลยทีเดียว เอ้า!! ซู้ดดดดดด)

ซึ่งทุกคนที่มองเห็นความจริงก็สามารถมองออกว่า ในโลกนี้

ไม่มีประเทศใดในโลกที่สามารถหยุดยั้ง Inflation หรือค่าเงินเฟ้อได้

และบริษัททั้งหมดในโลกนี้จำนวนกว่า 99% ส่วนใหญ่ก็ไม่สามารถเอาชนะเงินเฟ้อได้

และคนทำงานหาเช้ากินค่ำจำนวนกว่า 99% ไม่สามารถเอาชนะเงินเฟ้อได้

มีบริษัทและจำนวนคนเพียง 1% เท่านั้น ที่สามารถเอาชนะตลาดนี้ได้ โดยอาศัยฝีมือที่เก่งกาจ ไม่ก็โชคดีล้วน ๆ ดังนั้น อย่าคิดไปเองว่าคุณคือคนใน 1% นั้น

แต่คนทั่ว ๆ ไป สามารถเอาชนะค่าเงินเฟ้อได้ เอาชนะสงครามทางเศรษฐกิจนี้ได้ โดยไม่ต้องอาศัยโชค นั่นก็คือ ทุกคนสามารถซื้อ Bitcoin เป็นของตัวเองได้ ดังนั้น ซื้อ Bitcoin ซะ

*หมายเหตุ : นี่ไม่ใช่คำแนะนำในการลงทุน เป็นเพียงการนำเสนอมุมมองส่วนตัวจาก Michael Saylor อย่างเดียวเท่านั้น ดังนั้น เงินของคุณ คุณต้องตัดสินใจกันเอาเอง

Resources