Blue O'Clock

สตูดิโอผลิตและพัฒนาสื่อการเรียนรู้ด้านการลงทุน ธุรกิจ จิตวิทยาและการพัฒนาตนเอง อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

How to

Bitcoin vs Gold ลงทุนแบบไหนดีกว่ากัน | การดีเบตระหว่างเจ้าพ่อบิตคอยน์ Michael Saylor กับเจ้าพ่อทองคำ Frank Giustra EP.7

และแล้วก็มาถึงยกสุดท้ายในยกที่ 6 ของการดีเบตระหว่าง Michael Saylor ในฝั่งของ Bitcoin และ Frank Giustra ในฝั่งของ Gold ว่าด้วยเรื่องของ Market Forces หรือกลไกตลาด

โดยพิธีกรได้เริ่มถาม Frank ว่า ในยกที่ผ่าน ๆ มาทาง Michael ได้บอกว่า หากพระเจ้าเลือกที่จะสร้างเงินที่สมบูรณ์แบบได้ ท่านคงเลือกที่จะสร้าง bitcoin เพราะมันดูเหมือนจะเป็น Sound Money หรือเงินในอุดมคติที่สมบูรณ์แบบมากที่สุดแล้วในตอนนี้ ซึ่งดูแล้ว bitcoin มันจะสามารถเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาทางการเงินของโลกที่มีมูลค่าหลายล้านล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ และดูเหมือนว่ามันเติบโตอย่างก้าวกระโดด และก็ดูเหมือนว่าไม่มีใครที่จะสามารถหยุดการเติบโตของมันได้ และแน่นอนว่ามันมีผลต่อกลไกตลาดการเงินโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

Frank คุณจะตอบสนองต่อการเกิดขึ้นของ bitcoin ที่มีผลต่อกลไกตลาดโลกอย่างไรบ้าง?

โดย Frank Giustra จะมีเวลาในการอภิปรายอยู่ 5 นาที

โดย Frank เริ่มต้นว่า มันก็ดีอยู่หรอกถ้าพระเจ้าลงมาสร้างเงินในอุดมคติ ท่านก็คงจะเลือก bitcoin และมันก็ดีอยู่หรอกถ้าท่านออกแบบโลกของเราให้มีแต่ความสงบสุข มีแต่สันติภาพ แต่ถ้ามองโลกในความเป็นจริงแล้วนั้นจะพบว่า โลกของเรายังคงมีความขัดแย้งระหว่างประเทศกันอยู่ โลกของเราลุ่มหลงมัวเมาในอำนาจกันอยู่ โลกของเราสร้างให้มนุษย์ยังมีความกลัวและความโลภกันอยู่ โลกของเรายังมีการแข่งขันแย่งชิงกันอยู่ ไม่ใช่โลกที่ทุกคนต่างนั่งร้องเพลงรอบกองไฟกัน

และถ้าหากพูดถึงกลไกทางตลาดของ bitcoin ส่วนตัว Frank มีประเด็นจากที่ Michael Saylor อภิปรายมาอยู่ 2 ประเด็นก็คือ

  • ประเด็นแรก – การคำนวณ Compound Annual Growth Rate หรือการคำนวณอัตราการเติบโตแบบดอกทบต้นรายปี จากการลงทุนใน bitcoin
  • กับประเด็นที่สอง – คือคุณสมบัติของการเป็น Store of Value และค่า Correlation หรือค่าความเกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ประเภทอื่น ๆ

เริ่มต้นกันที่ประเด็นแรก การคำนวณ Compound Annual Growth Rate หรือการคำนวณอัตราการเติบโตแบบดอกทบต้นรายปีที่ Michael Saylor ชอบพูดว่า ตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา การเติบโตของ bitcoin นั้น จะเฉลี่ยอยู่ที่ราว ๆ ปีละ 196% จากนี้และตลอดไป ซึ่งนั่นอาจจะส่งผลให้ราคา bitcoin ในอนาคตพุ่งสูงไปถึง $1,000,000 – $5,000,000 ดอลล่าร์ฯ

นั่นหมายถึงว่า ทุก ๆ 6 เดือน ผลกำไรใน bitcoin จะงอกขึ้นเป็นเท่าตัว ซึ่งมันเป็นการคำนวณที่สุ่มเสี่ยงเอามาก ๆ เพราะแต่ละคนที่ลงทุนใน bitcoin นั้น มี position ที่แตกต่างกัน เพราะแต่ละคนเวลาที่เข้าซื้อ bitcoin จะได้ในราคาที่ไม่เท่ากัน ถ้าบางคนเข้าที่ราคาสูงหน่อย อัตราผลตอบแทนไม่ได้เท่านี้แน่ ๆ และที่สำคัญราคาของ bitcoin มันมีความผันผวนที่สูงมาก

และการที่แสดงผลคำนวณมานั้น ทาง Michael Saylor ได้ใช้ตัวเลขจากในอดีตที่มันไม่สามารถการันตีอนาคตได้เลย และการคำนวณดังกล่าว มันหมายถึงว่า คุณจะต้องซื้อ bitcoin ที่ราคาตั้งแต่ $1 ดอลล่าร์ฯ ตั้งแต่ปี 2011 นู่นแน่ะ และแน่นอนว่า ผลกำไรส่วนใหญ่ก็เกิดขึ้นในช่วงในอดีตที่ผ่านมา

ซึ่งนักลงทุนส่วนใหญ่พึ่งเข้ามาในตลาด bitcoin อย่างจริงจังอย่างมากก็ย้อนกลับไปแค่ 2-3 ปี ซึ่งราคามันไม่ใช่ $1 ดอลล่าร์แน่ ๆ ดังนั้นการคำนวณผลการลงทุนแบบอัตราดอกเบี้ยทบต้นนั้นดูจะสูงเกินจริงไปสักหน่อย

ในขณะที่หากผมเป็นที่ปรึกษาความมั่งคั่งให้ใครสักคน ในการเสนอลงทุนในทองคำผมจะพูดว่า หากคุณลงทุนในทองคำตั้งแต่ปี 1970 ที่ราคา ณ ตอนนั้นต่ำสุดอยู่ที่ราว ๆ $35 ดอลล่าร์ต่อออนซ์ แล้วถือมันไปอีก 50 ปี มูลค่าทองคำจะโตขึ้นอีก 50 เท่า หรือเติบโตขึ้นกว่า 6,000% โดยมีอัตราการเติบโตแบบดอกทบต้นอยู่ที่ราว ๆ ปีละ 8% ซึ่งผลประกอบการดีกว่า S&P 500 หรือ ดัชนีตลาดหุ้นที่ติดตามหุ้นของบริษัทขนาดใหญ่ในสหรัฐฯจำนวน 500 แห่ง ซะอีก

ซึ่งนั่นมันระยะเวลาตั้ง 50 ปี แต่หากวัดมูลค่าทองคำย้อนหลังตั้งแต่ปี 1971 แล้วถือไปแค่ 9 ปี โดยวัดช่วงเวลาอายุพอ ๆ กันกับ bitcoin แล้วล่ะก็ ด้านของทองคำก็โตแบบดอกทบต้นเฉลี่ย 42% ปี ซึ่งดูดีขึ้นเยอะเลยทีเดียว ดังนั้น Frank เลยมองว่า เข้าลงทุน bitcoin ผิดจังหวะ ตัวเลขขี้เหร่กว่านี้เยอะ ซึ่งแน่แหละว่าตัวเลขที่ Michael นำมาใช้ในการอภิปรายนั้น จะเอาตัวเลขตรงไหนก็ได้ ที่มันฟังดูสวยหรูดูมีกำไรมากที่สุดมาดีเบตกัน ซึ่งถ้าหากเอาตัวเลขตอนที่ bitcoin crash หรือตอนตลาด crypto พังคลืนลงมานำมาคำนวณอัตราผลตอบแทนแล้วล่ะก็ตัวเลขดูแย่กว่านี้เยอะอย่างแน่นอน

ประเด็นที่สอง คือ การเปรียบว่า bitcoin คือ Store of Value ที่มีค่า correlation หรือค่าความเกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ประเภทอื่น ๆ ที่ต่ำจริงหรือไม่นั้นเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นและตลาดเงินดอลล่าร์ โดยทาง Frank ได้ยกตัวอย่างว่า การที่จะวัดค่า correlation ได้ดีนั้น ให้ดูตอนที่ตลาดการเงินต่าง ๆ เข้าสู่สภาวะวิกฤตหรือตอนที่ตลาดอื่น ๆ กำลังพังลง ตัวอย่างในช่วงปี 2020 ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นได้พังคลืนลงมา แต่ทองคำกลับดรอปลงในช่วงเดือนนั้นเพียงแค่ 8% แล้วหลังจากนั้นก็ฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว แต่ในขณะที่ bitcoin ดรอปลงถึง 40% ซึ่งนี่แค่ผ่านมาวิกฤตเดียว แต่ในขณะที่ฝั่งของทองคำนั้นผ่านวิกฤตมาหลายต่อหลายครั้ง และมันก็พิสูจน์แล้วว่ามันไปต่อได้ ทำให้ในเรื่องนี้ bitcoin ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ว่าถ้ามันเจอวิกฤตหลาย ๆ ครั้งมันจะไปต่อได้หรือไม่ ซึ่งมันทำให้ Frank นั้นคิดว่า ด้าน downside หรือด้านโอกาสขาดทุนในการลงทุนใน bitcoin นั้นค่อนข้างสูง คล้ายกับการลงทุนในตลาดหุ้น ซึ่งก็ต้องดูกันต่อไปว่า ราคาของ bitcoin มันจะลงต่อหรือย่อเพื่อปรับฐานราคาใหม่ และต้องดูกันในช่วงที่ตลาดอื่นร่วงด้วย ซึ่งถาหาก bitcoin มันไม่ร่วงตาม นั่นถึงจะเครื่องพิสูจน์ว่า bitcoin นั้นมีค่า correlation หรือมีค่าความสัมพันธ์กับ Asset อื่น ๆ ที่ต่ำ

แต่ตอนนี้เขายังไม่เห็นแบบนั้น ซึ่งมันก็ทำให้เกิดข้อกังขาว่า bitcoin มันจะเป็น Store of Value ได้จริงหรือไม่ เพราะ bitcoin มันมีอายุผ่านร้อนผ่านหนาวที่น้อยมาก มันยังไม่ได้ถูกทดสอบในช่วงที่เกิดวิกฤษเศรษฐกิจการเงินระดับโลก

ในขณะที่ทองคำนั้น มันทำงานได้ดีมากในสภาวะเงินเฟ้อที่สูง ซึ่งก็ไม่จำเป็นที่จะต้องดูจากค่า cpi หรือดัชนีราคาผู้บริโภคเพียงอย่างเดียว เพราะเมื่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์สูงขึ้น ของกินแพงขึ้น มันจะส่งผลกระทบต่อค่า cpi โดยตรงอยู่แล้ว ซึ่งดูได้จากค่าเงินเฟ้อ cpi ที่เกิดขึ้นสูงในปี 1970 ทำให้ทองคำเติบโตขึ้นกว่า 20 เท่าภายใน 9 ปี

และนี่ก็คือการอภิปรายจาก Frank Giustra ในฝั่งของ ทองคำ

โดยทาง Michael Saylor จะมีเวลาในการโต้แย้งอยู่ 1 นาที

โดย Michael ได้ขอชี้แจงก่อนว่า ตัวเลขที่ Frank บอกว่าทาง Michael เคลมว่า bitcoin ในอนาคตจะเติบโตราว ๆ ปีละ 196% นั้น ไม่ใช่สิ่งที่เขาพูด เพราะสิ่งที่เขานำมาเสนอนั้นคือข้อมูลที่เกิดขึ้นจริงในอดีตที่ผ่านมา ส่วนในอนาคตเขาก็ไม่มีทางรู้ได้เช่นกันว่าจะเป็นอย่างไร เพราะเขาก็ไม่มีลูกแก้ววิเศษบอกได้ขนาดนั้น

แต่ในฐานะนักลงทุน เขาดูจากตัวเลขและสถิติย้อนหลังตามกฎของฟิสิกส์และความก้าวหน้าของเทคโนโลยีของแต่ละ Asset นำมาเปรียบเทียบกันแล้วก็พบว่า bitcoin มันมี Performance หรือประสิทธิภาพดีกว่า Asset อย่างอื่นก็เท่านั้นเอง

ส่วนกรอบเวลาจะวัดอัตราการเติบโตของ bitcoin นั้นก็ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้กรอบเวลา 10 ปี ก็ได้ ใช้กรอบเวลา 5 ปี ก็ดูดีมากกว่าสินทรัพย์อย่างอยู่ดี และการที่บอกว่า bitcoin ไม่เหมาะที่จะเป็น store of value หรือแหล่งเก็บสะสมมูลค่าความมั่งคั่งนั้น ทาง Michael ก็ตอบว่าเขาค่อนข้างแฮปปี้ที่เฝ้าดูการเติบโตทั้งราคาและมูลค่าของ bitcoin ในทุก ๆ ปี ฟินกว่าเฝ้าดู Asset บางอย่างที่มีราคาและมูลค่าเกือบจะคงที่เป็นไหน ๆ

และนี่ก็คือการโต้แย้งจาก Michael Saylor

ต่อมาทางพิธีกรได้ถาม Michael ว่าทุกคนต่างรู้ดีว่า Hard Money มีค่ามากกว่า Easy Money หรือแปลได้ว่า เงินที่ผลิตได้ยากมักจะมีค่าที่สูงว่าเงินที่ผลิตได้ง่าย ซึ่งทาง FED หรือทางธนาคารกลางของสหรัฐฯ ก็ได้ตัดสินใจที่จะผลิต Easy Money โดยการปริ้นท์เงินกระดาษออกมาอย่างมหาศาล

ดังนั้นทางเลือกของเราในการรักษาความมั่งคั่งของตนเองเอานั้นก็คงจะต้องหา Hard Money ซึ่งคุณช่วยบอกเราหน่อยว่า ทำไมเราควรเลือก bitcoin มากกว่าการที่จะเลือกเป็นทองคำ

โดยทาง Michael Saylor จะมีเวลาในการอภิปรายอยู่ 5 นาที

โดย Michael Saylor เริ่มต้นด้วยการบอกว่าหากมองในมุมกลไกตลาดในอนาคต bitcoin จะสร้างตลาดระดับโลก ไม่ว่าจะเป็นในด้านของ พลังงาน(energy), เงิน(money) และ การเงิน(finance) ที่เปิดทำการแบบไร้พรมแดนและอยู่นอกเหนือขอบเขตอำนาจศาลใด ๆ ในโลก และมันจะเปิดทำการตลอด 24 ชั่วโมงต่อวัน 7 วัน ต่อสัปดาห์ 365 วันต่อปี ที่อนุญาตให้ทุกคนบนโลกนี้สามารถเข้าถึงมันได้

กลไกตลาดด้านพลังงาน (Energy)

มาดูในส่วนของตลาดโลกด้านพลังงานกันก่อน หากเปรียบเทียบเครื่องขุด bitcoin ในรุ่นปัจจุบันล่าสุดจะพบว่า นักขุด bitcoin สามารถประมวลผลในการตรวจสอบความถูกต้องในการทำธุรกรรมบน blockchain ได้กว่า 1 ล้านล้านล้านครั้ง โดยใช้กำลังไฟประมาณ 30 megawatts หรือแปลได้ว่า หากคิดจากราคาของ bitcoin ในปัจจุบัน การขุด bitcoin นั้นจะทำให้ความคุ้มค่าในการใช้พลังงานให้เกิดมูลค่าที่สามารถคิดได้อยู่ที่ราว ๆ 45-50 cents ต่อ kilowatt/hour

ในขณะที่การขายพลังงานให้กับบ้านเรือนและที่อยู่อาศัยทั่ว ๆ ไปได้แค่ 13 cents ต่อ kilowatt/hour ส่วนหากขายพลังงานให้กับธุรกิจเชิงพาณิชย์ก็จะได้ราว ๆ 11 cents ต่อ kilowatt/hour

ซึ่งโดยปกติแล้วเหมืองขุด bitcoin สามารถใช้พลังงานธรรมชาติในการขับเคลื่อนได้ เช่น พลังแสงอาทิตย์ พลังลม พลังน้ำ พลังภูเขาไฟ ซึ่งเป็นพลังงานสะอาดที่สามารถผลิตที่ใดก็ได้บนโลกใบนี้ และด้วยเหตุผลนี้จะก่อให้เกิดอุตสาหกรรมการผลิตพลังงานสะอาดทั่วโลกมากยิ่งขึ้น

ดังนั้นหากขายพลังงานให้กับเหมืองขุด bitcoin จะคุ้มค่ากว่ามาก และด้วยเรทค่าไฟดังกล่าว ถือว่าเป็นรายได้ที่สูงกว่าการขายพลังงานให้กับเมืองเจริญ ๆ อย่าง Manhattan ใน New York ซะอีก มันเป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ และตลอดประวัติศาสตร์ของมนุษยชาตินั้น ไม่เคยเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาก่อนเลยด้วยซ้ำ มันเป็นอะไรที่ amazing มาก ๆ

ซึ่งในอนาคตก็จะมีเม็ดเงินมากกว่าพันล้านดอลล่าร์ฯ ไหลเข้าสู่อุตสาหกรรมพลังงาน เพื่อส่งเข้าสู่เหมืองขุด bitcoin มันเป็นการ diprupt วงการพลังงานโลกกันเลยทีเดียว แถมมันเป็นพลังงานสะอาดที่ดีต่อโลกอีกด้วย

กลไกตลาดด้านเงิน (Money)

bitcoin สามารถทำให้เกิดระบบการแลกเปลี่ยนหรือซื้อขายกันได้ทั่วโลกโดยไม่มีกำแพงขวางกั้นพรมแดน ยกตัวอย่างเช่น หากคุณมี bitcoin อยู่ในครอบครอง ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ทวีปใดก็ตามคุณก็สามารถใช้ bitcoin ในการแลกเปลี่ยนซื้อขายกันได้ ในขณะที่ Asset อย่างที่ดิน หุ้น อนุพันธ์ ที่คุณถือครองอยู่ในประเทศที่คุณอยู่อาศัยนั้น มันกลับไม่สามารถใช้แลกเปลี่ยนกันระหว่างประเทศได้เลย เพราะติดในเรื่องข้อกฎหมายต่าง ๆ เยอะแยะมากมาย จู่ ๆ คุณจะไปพูดว่า ดูนี่สิ ฉันมีฉโนดที่ดินอยู่ที่ Manhattan ที่อเมริกา ฉันขอเอาฉโนดค้ำเพื่อแลกเงินกับคุณในสิงคโปร์ใช้หน่อยจะได้ไหม ซึงแน่นอนว่าใครจะไปเอาด้วย

กลไกตลาดด้านการเงิน (Finance)

สิ่งที่จะเกิดขึ้นเกี่ยวกับระบบการเงินก็คือ จะมีการใช้ bitcoin เพื่อเป็นเครดิต ในการจ่ายเงิน การชำระเงิน ประกันภัย การลงทุน

บริษัทเทคโนโลยีด้านการเงินเข้าสู่ตลาด crypto มากขึ้น อย่างตอนนี้ที่เข้ามาแล้วก็จะมี paypal, square, venmo, robinhood และสถาบันการเงินต่าง ๆ รวมไปถึงธนาคารก็เริ่มทยอยหลั่งไหลเข้ามาด้วยเช่นกัน และด้วยเม็ดเงินจากพวกเขาเหล่านี้ จะทำให้ตลาด bitcoin สามารถเติบโตได้อีกเป็น 10 เท่า

และถ้าเหล่าบรรดาบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่าง Google, Amazon, Apple, Facebook ลงเข้ามาเล่นตลาดนี้ด้วยเมื่อไหร่ มันก็จะยิ่งส่งผลให้ตลาด bitcoin เติบโตพุ่งเป็นพลุแตกกันเลยทีเดียว เพราะพวกเขาสามารถเข้าถึงคนนับพันล้านได้ภายในเวลาอันน้อยนิด

ในขณะที่ตลาดของทองคำนั้น ไม่มีกลุ่มเทคโนโลยีใด ๆ ผลักดันตลาดนี้เลย นอกจากการทำการตลาดผ่านช่องทางเดิม ๆ ด้วยประโยคสุดคลาสสิคว่า ทองคำมันเป็นเงินที่ถูกยอมรับมานับพันปี

ส่วนถ้ามองในด้านเหมืองขุดทองคำแล้วนั้น มันมีต้นทุนสูงกว่าเหมืองขุด bitcoin มากกว่าถึง 20 เท่า และในอนาคตก็จะต้องทุ่มเงินอีกมหาศาลนับล้านล้านดอลล่าร์ฯ เพื่อใช้ในการขุดแร่โลหะสีทองนี้ขึ้นมา นั่นมันทำให้ทองคำมีต้นทุนที่สูงลิบ แต่ค่าของมันกลับด้อยลง เพราะราคาที่มันสูงนั้นมันเกิดจากต้นทุนในการขุด ไม่ใช่แพงเพราะตัวมันเอง

และทุกการใช้จ่ายในอุตสาหกรรมเหมืองขุด bitcoin นั้น มันได้รวมค่าระบบรักษาความปลอดภัยสำหรับคนหลายพันล้านคนทั่วโลกเอาไว้เรียบร้อย เพื่อที่ผู้คนจะได้ใช้เป็นพื้นที่ในการสะสมความมั่งคั่งหรือ Store of Value แลแน่นอนว่าเขาเลือก bitcoin

และนี่ก็คือการอภิปรายจาก Michael Saylor

โดยทาง Frank จะมีเวลาในการโต้แย้งอยู่ 1 นาที

โดย Frank เริ่มต้นว่าเขายังงงกับคำพูดของ Michael Saylor อยู่ว่า ไม่ว่าจะฟังกี่รอบ ก็เหมือน Michael พยายามจะใช้ตัวเลขสถิติในอดีตของ bitcoin มาเพื่อตัดสินใจหรือชี้แนวทางในอนาคตว่ามันจะเติบโตแบบในอดีต

ส่วนในด้านพลังงานที่ทั่วโลกพร้อมใจและร่วมมือกันส่งพลังงานไปยังเหมือง bitcoin นั้น ฟังดูแล้วก็ดูเหมือน Michael Saylor กำลังอยู่ในโลกนิยายอยู่ดี เพราะในโลกแห่งความเป็นจริง เราหนีไม่พ้นข้อกฎหมาย ข้อกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ของแต่ละประเทศ ซึ่งมันเป็นไปได้ยากมากที่โลกทั้งใบจะร่วมมือกันในเรื่องของ bitcoin

และยังไงก็ตามรัฐบาลและธนาคารกลาง จะมอง bitcoin ว่ามันเป็นภัยคุกคาม เพราะพวกเขากำลังเห็นเม็ดเงินที่พวกเขาคอยควบคุมอยู่นั้น กำลังไหลเข้าสู่ตลาด bitcoin ดังนั้นพวกเขาจะพยายามยับยั้งมัน ทำลายมัน นี่เป็นเรื่องที่เราไม่สามารถเพิกเฉยได้

และนี่ก็คือยกสุดท้ายของการดีเบต ซึ่งใน Episode ถัดไปจะเป็นตอนสุดท้ายที่ทั้งคู่ จะออกมาปิดการอภิปรายของแต่ละฝ่ายโดยไม่มีการโต้แย้งแล้ว แล้วพบกันไป Episode สุดท้ายครับ


กระดานซื้อขายแลกเปลี่ยน Bitcoin & Cryptocurrency

อันดับ 1 ของไทย คนส่วนใหญ่นึงถึง Bitkub

อันดับ 1 ของโลก คนส่วนใหญ่นึกถึง Binance


*หมายเหตุ: นี่ไม่ใช่ content แนะนำในการลงทุนใด ๆ เป็นเพียงข้อมูลฐานทั่วไปเท่านั้น โดยนักลงทุนควรศึกษาเพิ่มเติมด้วยตนเองก่อนที่จะตัดสินใจลงทุนใด ๆ ด้วยตัวของท่านเอง

Resources