Blue O'Clock

สตูดิโอผลิตและพัฒนาสื่อการเรียนรู้ด้านการลงทุน ธุรกิจ จิตวิทยาและการพัฒนาตนเอง อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

How to

Bitcoin vs Gold ลงทุนแบบไหนดีกว่ากัน | การดีเบตระหว่างเจ้าพ่อบิตคอยน์ Michael Saylor กับเจ้าพ่อทองคำ Frank Giustra EP.8

และแล้วก็มาถึงการปิดอภิปรายสำหรับการดีเบตระหว่างการลงทุน bitcoin กับ gold โดยจะไม่มีการโต้แย้งกันในช่วงนี้ ซึ่งแต่ละฝ่ายจะมีเวลาในการปิดการอภิปรายคนละ 6 นาที

เริ่มต้นกันที่ Michael Saylor

โดย Michael Saylor บอกว่า มุมมองของนักลงทุนที่ลงทุนทั้งทองคำและบิตคอยน์ในระดับมหภาคนั้นมีมุมมองที่เหมือนกัน แต่ติดอย่างเดียวตรงที่ ความหมายของคำว่า ‘MONEY’ นั้นมันคือ Technology และ bitcoin นั้นก็คือเทคโนโลยีที่เหนือชั้น ที่มาพร้อมกับ Network Effect หรือเครือข่ายผู้ใช้งานที่ทรงพลัง ซึ่งที่ผ่านมาที่เขานั่งดูการสัมภาษณ์จากนักลงทุนทองคำหลายต่อหลายคน เขากลับพบว่า ไม่มีนักลงทุนทองคำคนไหนเลยที่พูดถึงเกี่ยวกับเรื่องของเทคโนโลยี

ส่วนเรื่องการกระจายความเสี่ยงนั้น จะไม่เหมาะกับการใช้งานเมื่อสิ่งนั้น สามารถหาคำตอบที่ถูกต้องได้ ไม่ว่าจะเป็นในหลักของกลศาสตร์ วิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ คณิตศาสตร์ ยกตัวอย่างเช่น หากคุณคำนวณส่วนผสมของปีกเครื่องบินมาเป็นอย่างดีแล้วจะพบว่า ส่วนผสมส่วนใหญ่เป็นโลหะ ดังนั้นคุณคงไม่ใช้อย่างอื่นที่ไม่ใช่โลหะ หรือหากใช้ก็ใช้เป็นส่วนผสมที่น้อยมาก ๆ หรือหากคุณพบสูตรในการอัดก๊าซลงในถังเพื่อช่วยหายใจ คุณคงไม่ใส่ปริมาณออกซิเจนลงในถังแค่ 10% เพื่อใช้กับคนในครอบครัวของคุณแน่ ๆ

และเช่นเดียวกัน Money มีทั้งคำตอบที่ถูกและที่ผิด และหากคุณเลือกผิดจะส่งผลเสียเป็นอย่างมาก หากเปรียบกันระหว่างอัศวินทองคำกับมังกรบิตคอยน์จะพบว่า

อัศวินทองคำ มีอายุราว ๆ 30 ปี ไม่ค่อยฉลาดชอบทำอะไรที่งี่เง่าเต่าตุ่น คาดเดาได้ยาก มีน้ำหนักเยอะ อุ้ยอ้ายและเฉื่อยชา

ในขณะที่มังกรบิตคอยน์นั้น มันมีชีวิตเป็นอมตะ ฆ่าไม่ตาย วาปไปที่ไหนที่ใดก็อย่างรวดเร็ว ไร้รูปร่าง มีความปราดเปรื่องเฉลียวฉลาด รวดเร็วอย่างกับสายฟ้าแล่บ

ซึ่งคุณก็ลองคิดดูว่า ถ้าทั้งสองต่อสู้กัน ฝ่ายไหนจะเป็นฝ่ายชนะในการต่อสู้ในครั้งนี้

และนักลงทุนในทองคำส่วนใหญ่เลือกที่จะใส่ทองคำลงในพอร์ทโฟลิโออยู่ที่ประมาณ 10% เพื่อป้องกันการล่มสลายของกลุ่มธนาคาร ซึ่งถ้าธนาคารมันล่มจริง แล้วอีก 90% ที่เหลืออยู่ในพอร์ทการลงทุนนั้นจะทำยังไง จะเห็นได้ว่าทองคำไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาในเรื่องของป้องกันความเสี่ยงทางการเงินเลย แต่ในขณะที่ bitcoin นั้น สามารถเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้

และในตอนนี้ ยุคนี้เรากำลังอยู่ในยุคของการเปลี่ยนถ่ายเรื่องการเงินในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต ถ้าหากเราสามารถที่จะเลือกว่า ในโลกการเงิน สิ่งใดคือสิ่งที่จะเป็นผู้ชนะและสิ่งใดคือสิ่งที่จะเป็นผู้แพ้ และมันก็เป็นเรื่องที่น่าเสียดายที่คุณอาจจะนึกเสียใจย้อนหลังแล้วอุทานออกมาว่า แหม่…รู้งี้

ส่วน Gold Standard หรือมาตรฐานทองคำนั้น ถือเป็นระบบการเงินที่ล้มเหลว เพราะมันไม่สามารถแก้ไขปัญหาให้กับผู้คนได้ มันไม่สามารถให้อำนาจทางการเงินแก่ประชาชนได้อย่างทั่วถึงในด้านของการควบคุมสินทรัพย์ด้วยตนเอง เพราะรัฐบาลและธนาคารนอกจากจะเก็บภาษีจากประชาชนที่ถือครองทองคำได้แล้วนั้นยังสามารถกองกฎหมายเพื่อริบทองคำจากประชาชนได้ด้วย

ย้อนไปในปี 1914 ที่เป็นช่วงเริ่มต้นสงครามโลกครั้งที่ 1 ได้ทำการยกเลิก gold standard โดยประเทศต่าง ๆ ที่เข้าร่วมสงครามได้ประกาศยกเลิกการแลกเปลี่ยนเงินตราของตนกับทองคำ รวมถึงห้ามส่งออกทองคำเพื่อรักษาทุนสำรองของประเทศ หลังจากนั้นประเทศอื่น ๆ ก็ได้ทยอยยกเลิกระบบมาตรฐานทองคำด้วยเช่นกัน

ต่อมาในปี 1922 การประชุมเจนัว(Genoa Conference) และ 1944 การประชุมเบรตตัน วูดส์(Bretton Woods Conference) ที่เป็นการประชุมการเงินและเศรษฐกิจโลกระหว่างผู้ที่ชนะและผู้แพ้ในสงคราม โดยผู้ชนะสงครามได้แสดงให้เห็นว่า การสร้าง Gold Standard นั้น เป็นการสร้างมาจากการที่ไปยึดทองคำจากประเทศที่แพ้สงคราม

ในขณะที่ bitcoin นั้น มอบอำนาจการควบคุมการเงินระดับรายบุคคลให้แก่ผู้คนโดยการเข้ารหัส cryptography และมีระบบโปรโตคอลรักษาความปลอดภัยแบบ Decentralization หรือแบบกระจายศูนย์ผ่านระบบ Proof of Work ที่มีคอมพิวเตอร์ทั่วโลกคอยรันสมการทางคณิตศาสตร์เพื่อพิสูจน์ความถูกต้องของการทำธุรกรรมบน blockchain และนอกจากนั้นมันยังสามารถปกป้องจากอัตราเงินเฟ้อ ภาษีและการริบทรัพย์สิน ได้นับพันล้านคนทั่วโลก ผ่านการควบคุมด้วยเทคโนโลยีสมาร์ทโฟนที่เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตที่อยู่ในมือของพวกเขาในการแลกเปลี่ยนหรือซื้อขายด้วยความเร็วแสงได้ด้วยตนเองโดยไม่ต้องขออนุญาตจากใคร

ซึ่งเราไม่สามารถเห็น Good Money หรือเงินที่ดีได้จากการที่มันยังคงอยู่ในการควบคุมของรัฐบาล และเราก็ไม่สามารถใช้ความรุนแรงเพื่อแย่งชิงความเป็นอนาธิปไตยทางด้านการเงินจากรัฐบาลได้ ดังนั้นสิ่งที่เราสามารถทำได้ก็คือ การค้นหาสิ่งที่สามารถมอบอำนาจทางการเงินที่รัฐบาลไม่สามารถควบคุมมันได้ นั่นก็คือ bitcoin

และการที่จะเป็นผู้ชนะทางเกมการเงินได้นั้นจะต้องเป็นฝ่ายรุก ไม่ใช่ฝ่ายตั้งรับอย่างทองคำ เพราะ bitcoin เกิดมาเพื่อเป็นฝ่ายรุก บุกโลกอย่างกับไวรัสที่แพร่กระจายไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว ด้วยการเติบโตเฉลี่ย 200% ต่อปี และมันจะเข้าถึงผู้คนกว่า 250 ล้านคนภายในปี 2021 นี้ และเป้าหมายต่อไปคือพันล้านคน และเป้าหมายสุดท้ายคือการเข้าถึงทุกคนบนโลกใบนี้

และ bitcoin ยังได้ดึงดูดเหล่าบรรดาบริษัท Tech Company เข้ามาร่วมวงได้สำเร็จแล้วด้วยกันหลายเจ้าไม่ว่าจะเป็น Coinbase, Binance, Fidelity, Paypal, Tesla, Square, Venmo, Microstrategy และอีกไม่นานบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Apple, Google, Facebook และ Microsoft ก็จะเข้ามาร่วมจอยด้วย

และในตลาดอนุพันธ์ที่มีเงินหมุนเวียนในตลาดกว่า $250 trillion ต่อปีนั้น กำลังเจอกับปัญหาค่าเงินลดลงเฉลี่ยราว ๆ 10% ต่อปี หรือมูลค่าของเงินจะลดลงกว่า $25 trillion ต่อปี ซึ่งมันเป็นเงินมูลค่ามหาศาลมากที่พวกเหล่าบรรดานักลงทุนจะสูญเสียมูลค่านั้นไป ดังนั้นเหล่าบรรดานักลงทุนกำลังมองหาแหล่งเก็บสะสมความมั่งคั่งหรือ store of value ของเงินของพวกเขาอยู่ และ bitcoin สามารถช่วยแก้ไขปัญหานี้ได้ ดังนั้น bitcoin จะไม่ใช่เพียงแค่ตัวเลือกอีกต่อไป แต่จะกลายเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องมีในระบบเศรษฐกิจ ขาดไม่ได้

และ bitcoin จะกลายเป็นพื้นฐานและระบบเศรษฐกิจการเงินใหม่ในอนาคตที่ต่อเชื่อมกับแอพพลิเคชั่นการเงินทั่วโลกอีกนับพันแอพ ที่ผู้คนกว่าห้าพันล้านคนทั่วโลกที่มีสมาร์ทโฟนจะสามารถเข้าถึงระบบการเงินที่พวกเขาสามารถควบคุมอนาคตทางการเงินและทรัพย์สินได้ด้วยตนเอง ที่ปราศจากจากรัฐบาลที่คอยริดรอนสิทธิ์ ปราศจากจากนักการเมืองที่ทุจริต ปราศจากจากการล่มสลายของสกุลเงินที่แย่ ปราศจากจากแหล่งพลังงานสกปรก

สุดท้าย ถ้าหากคุณเชื่อมั่นใน Sound Money หรือเงินที่แท้จริงที่สามารถกักเก็บมูลค่าความมั่งคั่งของเงินเอาไว้ได้แล้ว มันก็ถึงเวลาแล้วที่เราจะส่งไม้ต่อจากทองคำไปสู่บิตคอยน์ ที่ก่อนหน้านี้โลกได้มีการส่งไม้ต่อจาก การส่งจดหมาย การพิมพ์หนังสือ การล้างรูปภาพจากฟิล์ม การถ่ายวีดีโอเป็นม้วน การประชุมในห้องมีทติ้ง การกางหนังสือพิมพ์อ่าน ในโลกออฟไลน์ ปัจจุบันได้ขึ้นสู่โลกออนไลน์

และครั้งนี้ก็ถึงตาของเงินที่ผู้คนจะสามารถส่งจากกันได้ในรูปแบบดิจิตอลกันได้สักที และ bitcoin ก็คือความหวังของมนุษยชาติที่จะทำให้โลกนี้ดีขึ้น

และนี่ก็คือการปิดการอภิปรายจาก Michael Saylor

ทีนี้ก็เป็นตาของ Frank ในการกล่าวปิดอภิปรายเพื่อชี้ให้เห็นว่าทำไมการลงทุนในทองคำถึงดีกว่าการลงทุนในบิตคอยน์ โดย Frank Giustra จะมีเวลาอยู่ 6 นาที

High Risk High Return ประโยคนี้ สามารถนำมาใช้ได้ตลอด เพราะสิ่งใดที่มีโอกาสทำกำไรได้มาก ก็มีความเสี่ยงสูงที่จะขาดทุนได้มากด้วยเช่นกัน ซึ่งแน่นอนว่า bitcoin มีความเสี่ยงที่สูงมากเมื่อเทียบกับทองคำ และการที่ Michal Saylor บอกว่า bitcoin จะเยียวยาทุกสิ่งอย่างบนโลกใบนี้นั้น เหมือนกำลังอยู่ในโลกยูโทเปีย โลกในอุดมคติ โลกที่สวยงามปราศจากข้อบกพร่อง ซึ่งในมุมมองของ Frank นั้น โลกแห่งความเป็นจริงมันไม่ใช่แบบนั้นเลยสักนิด เพราะโลกนี้เต็มไปด้วยการแข่งขันที่สูง

และนอกจากนั้น Frank เขาก็ยังไม่เชื่อว่า bitcoin มันจะเติบโตมากกว่าตลาดทองคำเป็น 10 เท่า 100 เท่า เพราะเขายังมองไม่เห็นทางที่มันจะเติบโตได้ขนาดนั้นเลย

และการที่ Michael ลงทุนใน bitcoin แบบ All-in หรือทุ่มหมดหน้าตักใน Asset เพียงอย่างเดียวนั้น ดูเป็นเรื่องที่บ้าบอเอามาก ๆ

ส่วนที่ Michael บอกว่า bitcoin มีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 200% ต่อปีนั้น ฟังดูแล้ว มันเหมือนกับรายงานในช่วงปี 1997 ถึงปี 1999 ที่เป็นช่วงฟองสบู่ดอทคอมแตก ซึ่งเขาก็กังวลว่าฟองสบู่บิตคอยน์กำลังจะมาถึงใช่หรือไม่? เพราะการที่โฆษณาสรรพคุณข้อดีต่าง ๆ ของ bitcoin นั้นมันดูเหมือนการชวนเชื่อให้ผู้คนหลงผิด และดึงดูดคนเข้ามาลงทุนใน bitcoin ซึ่ง Frank เขาเชื่อว่าผู้คนที่แห่กันเข้ามาลงทุนในบิตคอยน์นั้น ส่วนใหญ่ก็มีแต่พวกที่จ้องจะเก็งกำไรกันแทบทั้งสิ้น ไอ้ที่บอกว่าจะเป็น bitcoiner maximalist นั้นน่าจะมีสัดส่วนที่น้อยเอามาก ๆ

และคำโฆษณาอีกอย่างที่เขากังวลมากที่ทาง Michael Saylor พูดออกสื่ออยู่บ่อย ๆ ว่า จงซื้อ bitcoin แล้วถือมันเอาไว้ไปตลอดชีวิตโดยไม่ขาย และถ้าไม่มีเงินสดใช้กินใช้จ่ายก็ bitcoin ไปค้ำแล้วกู้เอาเงิน fiat เอาออกมาใช้

หรือแม้กระทั่งเชียร์คนให้ไปเอาบ้านเอารถไปจำนองเพื่อมาซื้อ bitcoin ในการต่อสู้กับดอกเบี้ยเงินกู้นั้น เป็นคำแนะนำที่ถือว่าตั้งตนอยู่ในความประมาทและขาดความรับผิดชอบเอามาก ๆ เพราะหากมีคนเจ๊งจากคำแนะนำของ Michal Saylor แล้วนั้น เขาก็ไม่ต้องรับผิดชอบความเสียหายที่ผู้คนเหล่านั้นประสบพบเจอ

โดย Frank กล้าพนันเลยว่า ผู้ติดตามของ Michael Saylor บน Twitter เป็นล้านคนนั้น กว่าร้อยละ 90 ส่วนใหญ่ไม่ได้เป็น Millionaire เศรษฐีเงินล้าน หรือ Billionaire เศรษฐีพันล้านเฉกเช่นตัวของ Michael อย่างแน่นอน

และแน่นอนว่า เมื่อตอนที่ราคาของ bitcoin ร่วงลงกว่า 80% หรือแม้แต่ร่วงลง 50% นั้น จะมีนักลงทุนรายย่อยอีกจำนวนมากที่จะเจ๊งยับจากตลาดนี้

และนอกจากนั้นทาง Frank เขาก็ไม่ชอบการทำการตลาดและการสื่อสารบนช่องทางโซเชียลมีเดียที่เหล่าบรรดา bitcoiner ทำกัน ไม่ว่าจะเป็น การใช้มันเพื่อด่านักวิจารณ์ทองคำ การเปลี่ยนรูปโปรไฟล์ตนเองให้มีแสงเลเซอร์ที่ตา และมีแคมเปญรณรงค์ต่าง ๆ มันฟังดูเหมือนกับลัทธิอะไรสักอย่าง ไม่ก็เป็นศาสนานอกรีต ที่ไม่ได้มีความจริงจังอะไรมากมายเกี่ยวกับการลงทุน

ซึ่งถ้า bitcoin มันดีจริง มันไม่จำเป็นที่จะต้องทำการตลาดทำการสื่อสารในรูปแบบนี้ก็ได้

และแน่นอนว่า เมื่อคุณมีส่วนได้ส่วนเสียกับการลงทุนใน bitcoin มันก็เป็นธรรมดาที่คุณจะต้องเชียร์มันอยู่แล้ว ในขณะที่เขาไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับบิตคอยน์อยู่แล้วเพราะเขาไม่ได้ซื้อมันเอาไว้

และหลักการลงทุนที่ดีนั้น คุณจะต้องกระจายความเสี่ยงดังประโยคที่ว่า อย่าใส่ไข่ทุกฟองลงในตะกร้าใบเดียว เพราะถ้าตะกร้าใบนั้นมันตกลงมาก็จะทำให้ไข่ของคุณมีโอกาสแตกทั้งหมด ดังนั้นการที่บอกให้ใส่ไข่ทั้งหมดลงในตะกร้าใบเดียวนั้น มันเป็นคำแนะนำในการลงทุนที่โง่เง่าเต่าตุ่นที่สุดเลยก็ว่าได้ ซึ่งใคร ๆ ก็แนะนำได้ไอ้ของแบบนี้

ในขณะที่ตัวของ Frank เองนั้น จะแนะนำกับนักลงทุนว่า จงจัดพอร์ทแบบกระจายความเสี่ยง โดยให้พอร์ทส่วนใหญ่ถือครอง Hard Asset เป็นหลัก อะไรที่ถือว่าเป็นทรัพย์สินที่หายาก ผลิตได้ยากจะยิ่งมีมูลค่า ยกตัวอย่างเช่น อสังหาริมทรัพย์, ทองคำ, งานศิลปะ และส่วนหนึ่งก็อาจจะเป็น bitcoin หากคุณอยากที่จะลองใส่มันลงไปในพอร์ทการลงทุน

แต่การที่ Michael บอกให้เหล่าบรรดาผู้ติดตามของเขาไปขายทองคำให้หมดแล้วเอาไปซื้อ bitcoin นั้น ทาง Frank มองว่ามันเป็นเรื่องที่แย่ เพราะจะทำให้พวกเขาเหล่านั้นพลาดโอกาสที่จะถือทองคำเพื่อปกป้องความเสี่ยงในช่วงที่ตลาดอื่นพังลง เพราะอย่าลืมว่าทองคำนั้นมีค่าผกผันเมื่อเปรียบเทียบกับตลาดอื่น เช่น หากตลาดหุ้นพังลงมา ทองคำจะไม่ได้รับผลกระทบอะไรมากมาย แต่ในขณะที่ bitcoin นั้นได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก

ดังนั้นทาง Frank จึงอยากให้ Michael นั้นหยุดการสื่อสารกับผู้ติดตามของเขาในรูปแบบของโลกยูโทเปีย โลกสวยงามดั่งในอุดมคติสักกะที เพราะมันเหมือนเป็นการทำร้ายผู้คนทางอ้อมเป็นจำนวนมาก ที่เคลิ้มไปกับโลกในจินตนาการ

ดังนั้น ส่วนตัวแล้วเขาก็ไม่ขัดหากใครจะซื้อ bitcoin คุณซื้อได้ แต่คุณต้องมีทองคำติดตัวเอาไว้เพื่อเป็นหลักประกัน

และนี่ก็คือการกล่าวปิดอภิปรายของ Frank Giustra

และแล้วก็จบกันไปในการดีเบตระหว่าง Michael Saylor ในฝั่งของ bitcoin และ Frank Giustra ในฝั่งของทองคำ ซึ่งก็ต้องยอมรับว่า ทั้งคู่เป็นยักษ์ใหญ่ในวงการของแต่ละคน ซึ่งทั้งคู่ต่างก็เป็นมหาเศรษฐีพันล้าน ไม่มีอะไรจะต้องพิสูจน์อีกแล้ว หรือแม้กระทั่งพวกเขาก็ไม่จำเป็นที่จะต้องมานั่งเสียเวลาในดีเบตนี้ซะด้วยซ้ำ

โดยพิธีกรก็ได้ถามส่งท้ายกับ Frank ว่า หลังจากจบการอภิปรายนี้แล้ว เขาจะซื้อ bitcoin ตามที่ Michael Saylor ได้ให้ข้อมูลมาหรือไม่ โดยทาง Frank ก็ตอบว่า ‘อาจจะ’ แต่ตอนนี้ยังไม่ซื้อ ทาง Michael ก็พูดออกมาทันทีว่า Frank ถ้าคุณซื้อ bitcoin นะ ผมจะซื้อน้ำมันมะกอกจากบริษัทของคุณด้วยอ่ะ 555+


กระดานซื้อขายแลกเปลี่ยน Bitcoin & Cryptocurrency

อันดับ 1 ของไทย คนส่วนใหญ่นึงถึง Bitkub

อันดับ 1 ของโลก คนส่วนใหญ่นึกถึง Binance


*หมายเหตุ: นี่ไม่ใช่ content แนะนำในการลงทุนใด ๆ เป็นเพียงข้อมูลฐานทั่วไปเท่านั้น โดยนักลงทุนควรศึกษาเพิ่มเติมด้วยตนเองก่อนที่จะตัดสินใจลงทุนใด ๆ ด้วยตัวของท่านเอง

Resources